เซเลปรอบโลกเมื่อมีครอบครัวแล้ว เด็ก ๆ ในครอบครัวมักจะถูกจับตามองอยู่เสมอ ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ยันออกมาเผชิญโลกกว้าง หลาย ๆ ครอบครัวก็ยังคงใช้ชีวิตปกติ พาหนูน้อยออกสื่อ ออกงานสังคมบ้าง แต่บางครอบครัวนั้น ต้องการรักษาความเป็นส่วนตัวของเด็ก ถึงขนาดที่ไม่เปิดเผยแม้แต่ชื่อของเด็กเลยด้วยซ้ำ พาออกงานน่ะหรอ อย่าหวังเลย จะเห็นว่าแต่ละบ้านก็มีวิธีเลี้ยงลูกที่แตกต่างกันไป UNLOCKMEN พามาแกะรอยเทคนิคการเลี้ยงลูกแบบเท่ ๆ จากคุณพ่อเซเลปสุดคูล ให้ได้ดูกันว่า แมน ๆ สอนลูก เขาสอนกันยังไง Ryan Reynolds & Blake Lively แม้ Ryan Reynolds จะขึ้นชื่อเรื่องความขี้เล่นแบบไม่มีใครเถียง ทั้งจากคาแร็กเตอร์ในชีวิตจริง ทั้งคาแร็กเตอร์จากภาพยนตร์ โดยเฉพาะที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Deadpool ถึงจะมีลุคขี้เล่นแบบนั้น ครอบครัวนี้กลับขึ้นชื่อเรื่องความหวงความเป็นส่วนตัวของลูก ๆ เอามาก ๆ ชนิดที่ว่าลูกสาวคนเล็กของครอบครัวนี้ เพิ่งได้ออกสื่อเป็นครั้งแรกในงาน Hollywood Walk of Fame ที่เขาไปจารึกชื่อลงบนทางเดินแบบวิถีเซเลปฮอลลีวู้ด ที่ทำไว้เพื่อเป็นเกียติแก่บุคคลในวงการภาพยนตร์ ซึ่งเจ้าหนูคนเล็กนั้น ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีรูปออกสื่อเลยด้วยซ้ำ มีเพียงรูปเดียวคือ รูปที่หนูน้อยหันหลังเห็นเพียงเท้าของเธอเท่านั้น เด็ดสุดคือ เขายังไม่เปิดเผยชื่อของเธอกับสื่อเลยด้วยซ้ำ แถมยังเคยจะตัดความสัมพันธ์กับเพื่อนรักของตัวเอง ที่พยายามเอารูปของลูกสาวไปขายให้กับสื่อ
หลายอาชีพเสี่ยงต่อการตกงาน จากการโดนเทคโนโลยี Artificial intelligence ที่พัฒนาได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งเริ่มเข้ามาแย่งเก้าอี้ทำงานแทนที่มนุษย์ไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานใช้แรง ที่สามารถทำงานได้มากกว่ามนุษย์หลายเท่าแบบไม่มีเหนื่อย หรือแม้แต่งานใช้ความคิดคำนวณ ที่ AI สามารถตัดสินใจเพื่อหาออพชั่นที่ดีที่สุด โดยไม่มีความผิดพลาดจากอารมณ์เข้ามาเกี่ยวเหมือนที่มนุษย์ทำ และวันนี้เรามีข่าวร้ายสำหรับอาชีพ Bartender ที่ต้องเข้าข่ายเสี่ยงโดน AI แย่งงานไปอีกหนึ่งอาชีพ Makr Shakr คือ Bionic Bar ที่พัฒนาโดยกลุ่มนักวิจัยจาก MIT (Massachusetts Institute of Technology’s Senseable City Lab) ไม่ใช่แค่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนา AI Bartender แต่ได้ออกแบบประสบการณ์ Robotic Bar System มานานตั้งแต่ปี 2015 ด้วยความเข้าใจดีว่า แม้ Robot Bartender ไม่สามารถมี Social Skills การพูดคุยกับลูกค้าซึ่งเป็นเสน่ห์สำคัญของคนอาชีพ Bartender แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการนั่งคุยกับ Bartender ยังมีนักดื่มอีกจำนวนมากที่ต้องการเพียงเครื่องดื่มดี ๆ ที่รสชาติสมบูรณ์แบบ เพื่อ enjoy
สัญชาตญาณที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของผู้ชายทุกคนมักตะโกนบอกให้เราบุกตะลุยไปสัมผัสสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้ได้สักครั้งในหนึ่งชีวิต ไม่ว่าจะบุกปาฝ่าดงเพื่อไปดูวิวที่สวยที่สุดในโลกก่อนตาย ไม่ว่าจะทุ่มเททำงานแบบ Work Hard Play Hard เพื่อสัมผัสขีดจำกัดของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะพยายามปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ด้วยการใช้ชีวิตแบบสุดขั้ว ฯลฯ แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชายสุดขีดในแบบไหน UNLOCKMEN ก็ขอกระซิบบอกว่าในหนึ่งชีวิตสุดขีดจำกัดนี้ คุณควรพาตัวเองไปสัมผัสวัฒนธรรมมการดูโชว์ที่อัดแน่นไปด้วยการแสดง เนื้อหา และแสงสีเสียง ดังนั้นคุณจึงไม่ควรพลาดการดูโชว์สร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกเพื่อปลดล็อกความท้าทายใหม่ ๆ ให้ตัวเองให้ได้ก่อนตาย ถ้าจะพูดถึงโชว์ที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกที่ผู้ชายทุกคนควรสัมผัสเพื่อเข้าถึงวัฒนธรรมแห่งการดูโชว์ UNLOCKMEN มั่นใจว่า CIRQUE DU SOLEIL (เซิร์ค ดู โซเลย์) คือชื่อที่โดดเด่นขึ้นมาและเราไม่ควรพลาดที่จะทำความรู้จักกับพวกเขาด้วยประการทั้งปวง CIRQUE DU SOLEIL : ความยิ่งใหญ่ระดับโลกที่ผู้ชายทุกคนต้องสัมผัส จุดเริ่มต้นการแสดงของ CIRQUE DU SOLEIL คือคนทำงานเพียง 73 คนในปี 1984 แต่ด้วยการฟันฝ่าและพิสูจน์ความสามารถแห่งความสร้างสรรค์อย่างล้นเหลือ ปัจจุบัน CIRQUE DU SOLEIL จ้างพนักงานทั่วโลกถึง 4,000 คน โดยการสื่อสารผ่านการแสดงของ CIRQUE DU SOLEIL เต็มไปด้วยความหลากหลายเพราะพนักงานและศิลปินขององค์กรมีมากกว่า 50 สัญชาติและใช้ภาษาแตกต่างกันถึง 25
เวอร์จิล อับเบลาะห์ (Virgil Abloh) ดีไซเนอร์ผู้โด่งดังจากแบรนด์ OFF-WHITE และคิม โจนส์ (Kim Jones) ผู้อำนวยการศิลป์ของ Dior Homme จับมือกับไนกี้ สร้างสรรค์ผลงานผ่านคอลเลคชั่นที่นำเสนอความสวยงามของฟุตบอลผ่านสองมุมมองที่แตกต่าง สำหรับอับเบลาะห์ ฟุตบอลคือโอกาสในการย้อนอดีตไปสู่ความทรงจำในวัยเด็ก เช่น ช่วงเวลาที่เขาฟังเพลงฮิพฮ็อพ ระหว่างเดินทางไปเตะฟุตบอลสมัยมัธยมปลาย โดยนำความทรงจำนี้มาผสมผสานระหว่างแบรนด์ไลฟ์สไตล์และสปอร์ตเข้าด้วยกัน ทำให้ดีไซน์ของเขาเต็มไปด้วยรายละเอียดที่เปี่ยมความหมาย เพื่อให้เกียรติสุดยอดกีฬาอย่างฟุตบอล การร่วมงานกับไนกี้ในคอลเลคชั่นรองเท้าฟุตบอลครั้งแรก เขานำเสนอความสง่างามและความหรูหราของฟุตบอลผ่าน คอลเลคชั่น Nike x Off-White การผสมผสานกันระหว่างสุดยอดนวัตกรรมและวัสดุอันล้ำสมัยจากไนกี้ โดยคอลเลคชั่นของอับเบลาะห์บอกเล่าเรื่องราวของฟุตบอลผ่านมุมมองส่วนตัว วัฒนธรรม และความเชื่อมโยงทางจิตใจของเขา ที่มีต่อกีฬาฟุตบอล ไม่ว่าคุณจะเป็นนักฟุตบอลสไตล์ไหน คอลเลคชั่น Nike x Off-White จะเปลี่ยนมุมมองที่คุณมี ต่อฟุตบอลไปเลย ส่วนโจนส์นั้นมองฟุตบอลในแง่ของแฟชั่น เขานำเสื้อผ้าสำหรับกีฬาฟุตบอล เช่น กางเกงขาสั้น เสื้อเจอร์ซีย์ และ เสื้อแจ็คเเก็ตก่อนลงแข่ง มาดัดแปลงให้เกิดรูปทรงใหม่ ๆ ผลลัพธ์ก็คือเสื้อผ้าที่มีการตัดเย็บเรียบหรูแบบอิตาเลียน ผสมผสานกลิ่นอายความเป็นพั้งก์แบบลอนดอนในยุค 70s และ 80s ดีไซเนอร์ชื่อดังนำสไตล์แบบยุโรปของเขามาสู่ คอลเลคชั่นใหม่ของรองเท้าฟุตบอลไนกี้ด้วยแรงบันดาลใจจากกีฬาโปรดของคนทั่วโลก เขานำรองเท้ารุ่นคลาสสิกมาผสมผสานกับสไตล์ที่แปลกใหม่ของเขา พร้อมกลิ่นอายพั้งก์จากยุค 70s ในลอนดอน รังสรรค์ออกมาเป็นคอลเลคชั่น ที่มีความโดดเด่นและไม่เหมือนใคร
ในตลาดสินค้า ใครตัวเล็กตัวใหญ่ไม่ได้วัดจากผลกำไรเพียงอย่างเดียว เบื้องหลังความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่ยังคงอยู่ใน Top of Mind ของพวกเราเสมอมันต้องมีดีในมิติอื่นด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ทุกปี BRANDZ ออกมาจัดอันดับมูลค่าของแบรนด์ว่าปีที่ผ่านมาผลงานของธุรกิจแต่ละอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นหน้าใหม่หน้าเก่าที่ผลัดเปลี่ยนกันมาโชว์ความเก๋าในสนามผู้บริโภคในปัจจุบัน WHO’s BRANDZ? แน่นอนว่าชื่อของ BRANDZ ในฐานะโพลล์จัดอันดับแบรนด์ระดับโลกคงมีหลายคนคุ้นหูหรือคุ้นตากันอยู่บ้าง เพราะเขาถือไม้บรรทัดวัดมูลค่าแบรนด์ต่อเนื่องมายาวนาน ปีนี้เป็นปีที่ 20 แล้ว แต่สิ่งที่บางคนยังไม่รู้คือเจ้าโพลล์ BRANDZ นี้มันได้แต่ใดมา? ใครก่อตั้งและมีไว้ทำไม? BRANDZ เกิดขึ้นจากบริษัทวิจัยทางการตลาดและสื่อสารการตลาดระดับโลก Millward Brown และเป็นบริษัทลูกของ WPP บริษัทโฆษณารายใหญ่ที่สุดในโลก โดยใช้วิธีประเมินมูลค่าแบรนด์จาก BRANDZ Model ที่ว่าด้วยวิธีสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ 5 ประการ ได้แก่ Presence ทำให้แบรนด์เป็นที่พบเห็นทั่วไป Relevance สร้างความเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับลูกค้า Performance คุณสมบัติพื้นฐานของแบรนด์ Advantage ประโยชน์ของแบรนด์ในมุมของลูกค้า Bonding ความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ดังนั้น ทำเนียบมูลค่าที่ BRANDZ สำรวจจึงมาจากหลายมิติ ไม่ใช่แค่ผลกำไรที่แบรนด์ทำได้เท่านั้น แต่มุมมองการรับรู้ของแบรนด์ที่มีต่อผู้บริโภคและความภักดีจะถูกเก็บมาใช้เป็นคะแนนในการคำนวณร่วม ส่วนประโยชน์ของการจัดอันดับวิน-วิน ทั้งสองฝ่าย ด้านเจ้าของแบรนด์ก็ได้เห็นผลลัพธ์ของการลงทุนลงแรงทำงานตลอดปี แบรนด์ดีมีกำลังใจและหาหนทางเป็นดาวค้างฟ้าต่อ
ไม่รู้ว่านี่คือปรากฏการณ์ Butterfly Effect การอุปทานหมู่ หรือวงล้อยุคสมัยแห่งดนตรีเวียนมาบรรจบพอดี แต่ที่แน่ ๆ คือสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่านี่คือปีทองของวงการ Hip-Hop ไม่ใช่แค่ในไทย แต่กระแสทั่วทั้งโลกก็กำลังมาไม่ต่างกัน เห็นได้ชัด ๆ จาก Billboard Chart ชาร์ตเพลงอันดับ 1 ของโลก 100 อันดับแรกมีเพลง Hip-Hop เกินครึ่ง หรือถ้าเป็นในไทย รายการโทรทัศน์เกี่ยวกับ Hip-Hop ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงจนเป็น Talk of the Town นอกจากนั้นคลับบาร์แนว Hip-Hop ที่เมื่อก่อนแทบจะนับจำนวนคนในร้านได้ แต่ตอนนี้ต้องไปรอต่อคิวเข้าตั้งแต่หัวค่ำ เพราะฉะนั้นคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่ากระแส Hip-Hop กำลังมาแรงจริง ๆ แต่ในทุกความเจริญก้าวหน้าย่อมมีสิ่งไม่ดีซ่อนอยู่เสมอ วงการ Hip-Hop ก็เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าความขัดแย้งนั้นมีเนิ่นนานแล้ว แต่เมื่อประชากรในวงการเยอะขึ้น แสงสปอร์ตไลท์ส่องเข้ามาในวงการมากขึ้น ความขัดแย้งก็ดูจะเด่นชัดและเป็นสาธารณะมากขึ้น Hip-Hop เป็นแค่คำนิยามกว้าง ๆ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทแยกย่อยออกไปอีกได้มากมาย และนี่คือต้นเหตุแห่งความขัดแย้ง เพราะรสนิยมของคนเราย่อมไม่เหมือนกัน จึงเกิดการแบ่งฝ่าย พูดจาข่มกันไปมาว่าแนวนี้ดีกว่าแนวนี้
ขึ้นแท่นเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาลแบบไม่มีใครกล้าเทียบไปแล้วสำหรับ One Piece เรื่องราวของกลุ่มโจรสลัดที่นำโดยมังกี้ ดี ลูฟี่ และออกเดินทางสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่เพื่อตามล่าความฝันในการเป็นจ้าวแห่งโจรสลัด โดยล่าสุดซีรีส์การ์ตูนเรื่องนี้ทำยอดขายรวมทั่วโลกกว่า 440 ล้านเล่ม ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง Dragon Ball ซึ่งทำยอดขาย 240 ล้านเล่มแบบไม่เห็นฝุ่น อะไรคือปัจจัยของความสำเร็จนี้? หนึ่งในวลีที่เหล่าผู้ประสบความสำเร็จมักจะพูดกันเสมอคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการจะประสบความสำเร็จนั้นคือคุณต้องคลั่งไคล้กับสิ่งที่คุณทำ ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องนี้ Eiichiro Oda ผู้เขียน One Piece ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน เราไปดูกันดีกว่าเคล็ดลับและวิธีการทำงานของเขากัน ว่ากว่าจะพาการ์ตูนเรื่องหนึ่งเดินทางขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลกได้ต้องฟันฝ่าอะไรมาบ้าง เพราะการเดินทางแสนยาวไกลจึงไม่อาจพักผ่อน “ทำไม One Piece ออกช้าจังไม่ทันใจเลย”, “One Piece อาทิตย์นี้งดอีกแล้ว เซ็งว่ะ” ถ้าคุณเคยเป็นคนหนึ่งที่เคยมีความคิดแบบนี้ลองฟังความจริงข้อนี้ก่อนรับรองว่าความคิดคุณจะเปลี่ยนไปแน่นอน ชีวิตประจำวันของชายวัย 43 ปีนาม Eiichiro Oda เริ่มต้นลุกจากเตียงตั้งแต่ตี 5 ฟ้ายังไม่ทันสว่างด้วยซ้ำ และเริ่มต้นทำงานทันทีโดยไม่ลุกไปไหน ไม่มีการพัก เว้นแต่ตอนทานข้าวหรือเข้าห้องน้ำเท่านั้น จนกระทั่งเวลาตี 2 เขาถึงจะลุกจากโต๊ะทำงานไปนอน สรุปแล้ว Eiichiro Oda ทำงานวันละ 21
การแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคานับล้าน มีคลังรถซุปเปอร์คาร์ที่บ้าน เดินทางไปไหนมาไหนด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ล่องเรือยอชท์ออกไปในมหาสมุทรพร้อมสาว ๆ ในชุดบิกินี่ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ ฝันกันว่าสักวันหนึ่งจะเป็นแบบนั้นให้ได้ แต่มีผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ต้องฝัน เพราะเขาใช้ชีวิตแบบนั้นแทบทุกวัน ชื่อของเขาคือ ‘Dan Bilzerian’ Who is Dan Bilzerian? Dan คือชายฉกรรจ์ชาวอเมริกันวัย 37 ปี เกิดที่มลรัฐฟลอริด้า เป็นลูกชายของนักควบรวมกิจการชื่อดัง จึงพอสรุปได้ว่าเขาใช้ชีวิตบนกองเงินกองทองมาตั้งแต่เด็ก ส่วนปัจจุบันนั้นไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าอาชีพและแหล่งรายได้ของเขานั้นมาจากไหน แต่เขาเคลมตัวเองว่าเขาคือนักเล่นโป๊กเกอร์ Dan คงเป็นแค่คนรวยทั่วไปที่ไม่มีใครรู้จัก ถ้าเขาไม่อวดไลฟ์สไตล์ของเขาลง Instagram และไลฟ์สไตล์ของเขานั้นดูน่าสนใจเหลือเกินเพราะมีทั้งรูปที่เขาถ่ายคู่กับสาว ๆ ในชุดบิกินี่นับสิบ, Celebrity มากมาย, เครื่องบินเจ็ทส่วนตัว, อาวุธสงคราม, คลังรถซุปเปอร์คาร์, และพฤติกรรมห่าม ๆ อีกมากมายราวกับเขาเป็นคนที่มีอิสระที่สุดในโลก จนได้รับฉายา ‘Instagram King’ มีคนติดตามกว่า 20 ล้านคน นักโป๊กเกอร์ตัวปลอม ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เขาแสดงอวดผ่านโลกโซเชียล จึงทำให้มีคนไม่น้อยที่รู้สึกหมั่นไส้และพยายามสืบค้นว่าชายคนนี้ทำมาหากินอะไร ทำไมถึงรวยขนาดนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะบอกกับทุกคนว่าเขาเป็นนักโป๊กเกอร์ เงินของเขาได้มาจากการเล่นโป๊กเกอร์และการพนันต่าง ๆ แต่บอกไว้ก่อนว่าถ้าประเทศไทยมีนักสืบ
ใกล้เข้ามาทุกขณะสำหรับมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ‘ฟุตบอลโลก’ ซึ่งเจ้าภาพในปี 2018 คือดินแดนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เต็มไปด้วยหมีขาว และแสนหนาวเหน็บอย่างประเทศรัสเซียนั่นเอง นอกจากวลาดิเมียร์ ปูติน, โจเซฟ สตาลิน, จัตุรัสแดง, มหาวิหารเซนต์บาซิล แล้วอีกหนึ่งสิ่งที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันก็คือความป่าเถื่อนและโหดสัสของกองเชียร์ชาวรัสเซียนี่แหละ ถ้าใครเป็นคอฟุตบอลประมาณนึงคงพอทราบกันดีถึงสรรพคุณของแฟนบอลหรืออาจจะเรียกว่า ‘ฮูลิแกน’ ชาวรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นเกมฟุตบอลในระดับทีมชาติหรือสโมสร เมื่อมีทีมจากต่างประเทศไปเยือน อุปสรรคที่เจอนอกจากอากาศหนาวเหน็บ พื้นสนามฟุตบอลที่ปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลน ยังมีผู้เล่นคนที่ 12 หรือกองเชียร์ฝั่งเจ้าบ้านที่พร้อมจะกดดันทีมผู้มาเยือนอย่างเดือดดาล ทั้งตะโกนเหยียดผิว ขว้างปาสิ่งของ จุดพลุ กระทั่งการไล่ทำร้ายกองเชียร์ฝั่งตรงข้ามก็มีให้เห็นกันบ่อย ๆ วันนี้ UNLOCKMEN จึงรวบรวมวีรกรรมสุดแสบของเหล่าฮูลิแกนหมีขาวมาให้ได้รับรู้กัน เผื่อเพื่อน ๆ ชาว UNLOCKMEN คนไหนวางแผนไปชมฟุตบอลโลกครั้งนี้ถึงขอบสนามจะได้ระมัดระวังตัวกันไว้ อังกฤษคือคู่รักคู่แค้น พวกเขาไม่เคยเป็นมิตรกับใคร แต่ถ้าถามว่าชาติไหนที่ยอมไม่ได้ที่สุดแน่นอนว่าคืออังกฤษ! เรียกได้ว่าฮูลิแกนรัสเซียและอังกฤษเจอหน้ากันเมื่อไหร่มีใส่กันเมื่อนั้น แต่ครั้งที่ร้ายแรงและโจ๋งครึ่มที่สุดต้องย้อนไปเมื่อปี 2016 ในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 เจ้าภาพคือประเทศฝรั่งเศส ซึ่งต้องมารับเคราะห์กรรมที่พวกเขาไม่ได้ก่อขึ้นเลย เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มจากความดวงสมพงศ์กันเมื่ออังกฤษและรัสเซียจับฉลากได้มาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน และถึงแม้ว่าทางฝรั่งเศสเจ้าภาพจะตระหนักถึงแนวโน้มที่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น โดยได้จัดกำลังตำรวจมารักษาความสงบปลอดภัยแล้วแต่ก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่พุ่งพล่านของกองเชียร์ทั้ง 2 ฝั่งได้ โดยก่อนเกมการแข่งขันระหว่างรัสเซียกับอังกฤษจะเริ่มขึ้น กองเชียร์ของพวกเขาก็ปะทะกันไปแล้วถึง 3 ครั้ง! ในช่วงบ่ายของวันที่
โบราณว่าไว้ โจรขึ้นบ้านสิบ ไม่เท่าไฟไหม้บ้านครั้งเดียว เป็นคำคมที่เราท่องมากันตั้งแต่เด็กโดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดไว้ให้ แต่ที่แน่ ๆ ถ้าเจ้าตัวยังอยู่คงต้องดัดแปลงประโยคนี้ซะใหม่ เพราะคดีสะเทือนขวัญในด้านค่าปรับล่าสุดที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา คงต้องบอกว่าไฟไหม้บ้านสิบครั้ง ยังไม่เท่าทำไฟไหม้ป่าแค่ครั้งเดียวแน่นอน วัยรุ่นชาวเมือง Vancouver ผู้ที่ได้กลายเป็นคดีตัวอย่างให้ใครอีกหลายคนต้องคิดให้ดี ก่อนจะจุดประทัดดอกไม้ไฟในป่า เพราะตัวเค้าโดนศาลสั่งให้ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายเป็นมูลค่าสูงจนตาค้างถึง 1.2 พันล้านบาท ($36 million) ผลพวงจากวีรกรรมที่เจ้าตัวเป็นต้นเหตุไฟป่าครั้งใหญ่ กินพื้นที่มากถึง 121,000 ไร่ ได้รับการบันทึกชื่อเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า ‘Eagle Creek Wildfire’ ถ้าถามว่าเดือดร้อนขนาดไหน ลองคิดดูเล่น ๆ ว่าเหตุการณ์ไฟไหม้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2017 กว่าจะประกาศว่าควบคุมไฟป่าได้ 100% ก็กินเวลาไปถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน กินเวลาเกือบ 3 เดือนเต็ม ๆ สร้างความเสียหายให้ทรัพย์สินราชการ เอกชน และอื่น ๆ อีกมากมาย เรียกว่างานนี้โจทก์เพียบเป็นหางว่าวเลยทีเดียว หลังการสืบสวนเหตุการณ์ไฟป่าครั้งนี้ Oregon State Police พบหลักฐานต้นตอเหตุไฟไหม้สันตะโร ว่าเกิดจากการจุดประทัดดอกไม้ไฟอย่างผิดกฎหมายจากเด็กวัยรุ่นคนนึง
วันนี้คือวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เป็นวันอังคารธรรมดา ๆ วันหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ถ้าย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อนเชื่อว่านี่คือวันที่คนไทยหลายคนคงจำกันได้ดี เป็นวันที่มีรถถังและทหารขวักไขว่เต็มท้องถนน แน่นอนว่ามันคือวันที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคสช. นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา” ภายหลังการรัฐประหาร ทุกครั้งที่เปิดโทรทัศน์หรือรับสื่อใด ๆ ก็ตามเรามักจะได้ยินเพลง ๆ นี้ดังขึ้นมาเสมอ จนกระทั่งผ่านมาแล้ว 4 ปี ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม จนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า “ขอเวลาอีกไม่นาน” นี่คือขอเวลาเท่าไรกันแน่ หรือว่าเมื่อไหร่ที่ความชัดเจนในการปฏิรูปบ้านเมืองจะออกมาให้เห็น ซึ่งคงไม่มีใครจะรู้ดีเท่ากับเจ้าหน้าที่ผู้เป็นคนลงมือทำงานอยู่ในขณะนี้ และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นแบบ Happy Ending งั้นเรามาย้อนดูกันดีกว่าว่าเคยมีผู้นำเผด็จการทหารคนไหนเคยผิดคำพูดอะไรไว้บ้าง ขอออกตัวก่อนว่านี่เป็นเพียงการรวบรวมทางสถิติที่มีจารึกไว้เท่านั้น ไม่มีใครเกี่ยวข้องกัน ไม่ได้หมายความว่าทุกคนถูกหรือผิดใด ๆ ครับ Bashar al-Assad Bashar al-Assad คือประธานาธิบดีแห่งซีเรีย ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการสืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดาของเขา Hafez al-Assad ซึ่งปกครองซีเรียมาอย่างยาวนานกว่า