ช่วงนี้ก็จะได้ยินเพลงของ Bakery Music บ่อยหน่อยเนาะ เพราะว่าโปรเจกต์ Back To The Bakery VOL.2 ที่เพิ่งปล่อยออกมาทั้ง 9 เพลงนั้น มันชวนให้รู้สึกเหมือนกับว่าเข็มเวลาที่เคยหยุดไปของเพลงในช่วงเวลา 90s ได้กลับมาเดินอีกครั้ง เพลงที่ยังคงดังอยู่ในหัวใจของชาว Bakerian เสมอทุกครั้งที่เปิดฟัง วงการเพลงไทยไม่เคยเหมือนเดิมตั้งแต่จุดเริ่มต้นในปี 1994 ของการก่อตั้งค่ายเบเกอรี่ เบื้องหลังความสำเร็จของค่ายเพลงไทยที่ทำอะไรไม่เหมือนใคร และตามใจตัวเองสุด ๆ (อ้างอิงจากคำพูดของป๋าเต็ด) มีเพื่อนสำคัญคนหนึ่งที่สามารถใช้เนื้อเพลงของวง PAUSE “เพื่อนฉันคนนี้นั้นไม่มีวันห่าง และไม่มีวันจากไปไหน” นิยามได้ เขาคนนั้นคือ ‘ไฮเนเก้น’ แบรนด์ที่ซัพพอร์ตเบเกอรี่มาตั้งแต่วันแรก ๆ เพราะเชื่อว่าความแตกต่างคือเชื้อเพลิงสำคัญที่จะขับเคลื่อนวงการเพลงไทยให้วิ่งต่อไปข้างหน้าได้ .. และการที่ Bakery Music ได้ส่งแรงบันดาลใจมากมายให้กับวงดนตรีไทยมาจนถึงยุคปัจจุบัน ก็ตอบได้อย่างชัดเจนว่าไฮเนเก้น คิดถูกต้อง ด้วยความรักที่มีให้กับ Bakery Music และความชื่นชมที่มีให้กับสิ่งที่ไฮเนเก้นทำ UNLOCKMEN ขอใช้โพสต์นี้เล่าช่วงเวลาที่หอมหวานที่สุดครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์วงการเพลงไทย ผ่านเรื่องราวความผูกพันระหว่างค่ายเล็ก ๆ ค่ายหนึ่งที่ทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่ออย่างแรงกล้า กับแบรนด์ที่เชื่อมั่นในความตั้งใจตรงนั้นไม่ต่างกัน การร่วมมือที่ทำให้วงการเพลงไทยไม่เหมือนเดิมอีกเลย เชื่อว่าทุกคนรู้จัก
#ThrowBack งานจบแต่ความมันส์ยังไม่จบ UNLOCKMEN ก็เลยขอรวบรวมภาพเก็บตกความประทับใจจาก ThaiGP 2024 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 25 – 27 ตุลาคม มาฝากกัน 📸 ✨ งานนี้ Thai Honda ได้ชวนเราไปสัมผัสความดุเดือดของการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกรายการ PT Grand Prix of Thailand 2024 กันแบบใกล้ชิดครบทุกมิติ ทำให้เราได้รู้เลยว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งในทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งวงการมอเตอร์สปอร์ตที่เน้นการขับเคี่ยวชิงชัย แต่ภายในงานต้องเรียกได้ว่าเป็น Festival ดี ๆ ที่ไม่ควรพลาด ไม่ว่าจะเป็นแฟนพันธุ์แท้วงการสองล้อ หรือใครก็ตามที่กำลังอยากหาอะไรสนุก ๆ ทำในช่วงสุดสัปดาห์ ก็สามารถแวะมาจอยกันได้ เพราะงานนี้ Honda จัดเต็มกิจกรรมมากมายให้ได้ร่วมสนุกภายใต้บรรยากาศความยิ่งใหญ่ของมหกรรมกีฬาระดับโลกที่วนมาจัดในบ้านเราเพียงปีละครั้ง เริ่มต้นก้าวเท้าเข้างานก็ได้พบกับความเร้าใจ ในโซน Honda Test Riding เปิดโอกาสให้ได้ลองขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ Honda หลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรถบิ๊กไบค์ CBR Series รวมถึงรถจาก
Bioceramic MoonSwatch MISSION TO EARTHPHASE สดุดีแต่โลกและดวงจันทร์ ซึ่งรุ่นนี้ไม่ได้มีแค่ฟังก์ชันบอกดิถีของดวงจันทร์เท่านั้น แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ยังมาพร้อม ฟังก์ชันบอกดิถีของโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์วงการการประดิษฐ์เรือนเวลาอีกด้วย ทำให้ Swatch พลิกแพลงวาทะอันโด่งดังของกาสิเลโอ “แต่โลกก็ยังโคจรรอบดวงอาทิตย์ต่อไป!” (And yet it moves!”) และเย้าหยอกว่า “แต่โลกและดวงจันทร์ก็ยังโคจรรอบดวงอาทิตย์ต่อไป!” ส่วนฟังก์ชันบอกดิถีของโลก หากคุณดูตรงหน้าปัดย่อยที่ตำแหน่งสิบนาฬิกา ก็จะได้ดื่มด่ำกับการโคจรของโลกเราเมื่อมองจากดวงจันทร์ มีการแต่งแต้มสีสันให้กับฟังก์ชันบอกดิถีของโลกที่จดสิทธิบัตรแล้วเพื่อสดุดีแด่ความหลากหลายและความงดงามของโลกสีครามของเรา คุณจะมองเห็นก้อนเมฆ รวมถึงสีสันที่ตัดกันของมหาสมุทร ป่าไม้และผืนทะเลทราย นอกจากนี้ ยังมีการเคลือบหมึกพิมพ์ยูวี (เปล่งแสงสีฟ้า) ที่มองเห็นเมื่อโดนแสงยูวีเท่านั้นตรงมหาสมุทรเพื่อเพิ่มความล้ำทะลุจักรวาลเข้าไปอีก รุ่น Bioceramic MoonSwatch MISSION TO EARTHPHASE จะวางจำหน่ายทั่วโลกที่ร้านค้าของ Swatch ที่ร่วมรายการตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายนเป็นต้นไป และเช่นเดียวกับนาฬิกาทั้งหมดในคอลเลกชัน Bioceramic MoonSwatch ก็จำกัดสิทธิ์ในการซื้อ 1 เรือน/ 1 สาขา/ 1 คน/ 1 วันเท่านั้น
MacBook Pro M4 ความทรงพลังล่าสุดจาก Apple ด้วยชิปตระกูล M4 ทั้ง M4, M4 Pro และ M4 Max ขุมพลังขับเคลื่อนประสิทธิภาพให้ทำทุกอย่างได้เร็วยิ่งขึ้น มีแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงขึ้น เมื่อรวมเข้ากับตัวเร่งความเร็วด้านการเรียนรู้ของระบบใน CPU, GPU ที่ล้ำสมัย และ Neural Engine ที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย พร้อมเสริมความสามารถให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นไปอีกด้วย Apple Intelligence ช่วยให้โมเดลการเรียนรู้ภาษาขนาดใหญ่ (LLM) และโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่อื่นๆ ทำงานบนอุปกรณ์ได้อย่างลื่นไหล นอกจากนี้ทุกรุ่นยังมาพร้อมจอภาพ Liquid Retina XDR ที่ดียิ่งขึ้น พร้อมตัวเลือกจอภาพ Nano-texture แบบใหม่หมดที่ลดแสงสะท้อนและภาพสะท้อนรบกวนสายตาลงได้มาก และในสภาพแสงที่สว่าง MacBook Pro ใหม่ยังสามารถแสดงคอนเทนต์ SDR ที่ความสว่างสุงสุด 1,000 นิต และยังคงแสดงคอนเทนต์ HDR ที่ความสว่างสูงสุดเฉพาะจุดสูงถึง 1,600 นิต ซึ่งทั้งหมดนี้จะพลิกโฉมประสบการณ์ให้กับผู้ใช้ที่ต้องทำงานกลางแจ้งไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงกล้อง 12MP
ช่วงเวลาแห่งความดุเดือดในโลกแห่งความเร็ว หลัง McLaren พึ่งจะเปิดตัว W1 ออกมาได้ไม่นาน ด้าน Porsche ก็เตรียมเปิดตัว hypercar รุ่นใหม่เร็ว ๆ นี้ ฝั่ง Ferrari ก็ได้เปิดตัวโมเดลใหม่ออกมาในชื่อ F80 เป็น flagship ที่จะมาสานต่อตำนานความยิ่งใหญ่ของ LaFerrari ด้วยขุมพลัง 3.0-liter V6 turbocharge Hybrid 900 แรงม้าจากเครื่องยนต์ พ่วงพลังงานจาก Tri-motor AWD ให้กำลังรวมเกือบ 1,200 แรงม้า เคลมตำแหน่ง “The Most Powerful Ferrari” ที่เคยผลิตออกจากโรงงานจนถึงวันนี้ สามารถทำความเร็วถึง 100 km/h ได้ภายใน 2.15 วินาที และถึง 200 km/h ใน 5.75 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุด 350 km/h
6lur (เบลอ) อัลบั้มที่ 6 ของ Slur เป็นเหมือน ‘สายลม’ ที่พัดพาช่วงเวลา ความรู้สึก ไปพร้อมกับการกักเก็บความทรงจำของคนฟังเอาไว้อยู่ในมวลอากาศ จะเปิดฟังแบบที่ไม่ต้องโฟกัสก็ได้ แต่ในวันที่เปิดฟังจริงจังก็ยิ่งรู้สึกมากเหลือเกิน โดยเฉพาะพาร์ทของเพลงเศร้าที่ทำให้เราคิดย้อนกลับไปถึงวันที่ฟังอัลบั้มแรก Boo! ในมุมที่ว่า ‘ความ Youth Power แบบ Slur มันโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกครั้งแล้วว่ะ’ พลังวัยรุ่นในวันนั้นมันถูกเคี่ยวจนงวดเป็นความมันส์ด้วยท่าทีที่สุขุมขึ้น เศร้าอย่างเข้าใจ และซ่าแบบที่ลิมิตจะไปถึง การได้ฟังเพลงในอัลบั้มนี้หลาย ๆ รอบเพื่อเขียนถึง ทำให้เข้าใจความเป็น Slur หลาย ๆ อย่างที่ไม่เคยมองเห็นเหมือนกันนะ อย่างเนื้อร้องของพี่เย่ที่เลือกเพียงคำที่ทำงานกับความรู้สึกจริง ๆ ไลน์กีตาร์ของพี่เฮาส์ดีไซน์ให้มีความเย็น ๆ ซนแต่ไม่ซ่าจนเกินไปก็เข้ากับความเป็น Slur ในยุคหลังได้ถูกต้องที่สุด ไลน์เบสของพี่บู้ที่มีความแฟชั่นดีไซน์ไม่ตีกรอบอยู่เสมอ และริทึ่มกลองของพี่เอมที่หวดแบบวิ่ง ๆ สับ ๆ ริทึ่มที่เป็นมากกว่าให้จังหวะแต่ยังเป็นเหมือนเมโลดี้คุมตัวตนความซนของ Slur ในทุกเพลง Next Cover, Same Mood ตอนล่าสุดเลือกหนังและซีรีส์สำหรับคนที่มูฟออนจากเพลงหลากอารมณ์ในอัลบั้ม 6lur ไม่ได้
“คุณเคยดูหนังโฆษณาน้ำมันเชื้อเพลิงมาแล้วกี่ชิ้น?” คำถามนี้คงยากจะให้คำตอบเป็นจำนวนที่แน่ชัด แต่เชื่อเหลือเกินว่าเมื่อพูดถึงโฆษณาน้ำมัน ภาพในหัวของใครหลายต่อหลายคน คงหนีไม่พ้นภาพจำซ้ำ ๆ เดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพปั๊มน้ำมัน หรือภาพ CG กระบอกสูบ, เครื่องยนต์กำลังทำงาน ปิดท้ายด้วยภาพรถยนต์พุ่งทะยานไปบนท้องถนน แต่ ณ ขณะที่เรากำลังเขียนบทความนี้ น่าจะมีผู้คนจำนวนไม่น้อย ที่ได้รับชมหนังโฆษณาน้ำมันตัวใหม่ล่าสุดของ ‘บางจาก’ ที่ไม่ได้ใหม่แค่เพราะเพิ่งถูกเผยแพร่ แต่มันคือความใหม่ และแปลกตาในแง่ของงานภาพและเนื้อหา ที่น่าจะไม่เคยมีใครได้สัมผัสผ่านหนังโฆษณาน้ำมันมาก่อน ซึ่งความแปลกและแตกต่างที่เกิดขึ้น มีต้นทางมาจากแนวคิดของแบรนด์บางจากที่เชื่อมั่นในการ “สร้างสรรค์พลังไม่รู้จบ” กับเป้าหมายในการพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองเทคโนโลยียานยนต์ที่พัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง สู่การพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิง Bangchak Hi Premium อย่าง Bangchak Hi Premium 97 และ Bangchak Hi Premium Diesel S ยืนหนึ่งในความเป็นพลังสะอาด ที่มาพร้อมความแรง และสามารถปกป้องเครื่องยนต์ได้ 100% ในทุกจังหวะที่เหยียบคันเร่ง การันตีประสิทธิภาพได้จากความเชื่อมั่นของ บริษัท AAS AUTO SERVICE ตัวแทนจำหน่าย PORSCHE, BENTLEY
การคอลแลบระดับตำนานที่ทุกคนรอคอยได้เริ่มขึ้นแล้ว เมื่อแบรนด์รถมอเตอร์ไซต์ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นราชาแห่งท้องถนนของโลกอย่าง Harley-Davidson โคจรมาพบกับ โซดาสิงห์ เครื่องดื่มดีเอ็นเอแห่งความซ่าเบอร์ 1 ในใจคนไทย กับแคมเปญ “RIDE YOUR WAY” ซ่า…ให้สุดทาง ด้วยจุดประสงค์เพื่อผลักดันวัฒนธรรม 2 ล้อของฮาร์ลีย์ พร้อมสร้างแรงบันดาลใจและซัพพอร์ตทุกเส้นทางของทุกคนให้มั่นใจทำสิ่งที่รักให้สุดทาง ! วันที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมา UNLOCKMEN ได้ไปพรีวิวความมันส์ในโปรเจกต์ระหว่าง Singha Soda กับ Harley-Davidson ในครั้งนี้ เราเลยขอเอามาเล่าต่อ และจะบอกว่าทำไมคนรักฮาร์ลีย์และแฟนโซดาสิงห์ทุกคนไม่ควรพลาดทั้งงาน และ Merchandise ในครั้งนี้กัน “หนึ่งในความยิ่งใหญ่ของโปรเจกต์ครั้งนี้คือการที่โซดาสิงห์เป็นแบรนด์เครื่องดื่มแรกในเอเชียที่ได้ทำงานกับ Harley-Davidson” ในฐานะที่ UNLOCKMEN เป็นแฟนคลับของทั้ง 2 แบรนด์อยู่แล้ว เราไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่โปรเจกต์นี้เกิดขึ้นได้ เพราะไม่ว่าจะด้วย Heritage Story / Brand Character หรือจะ Goal Of Brand ที่นิยามออกมาได้ด้วคำว่า ‘มันส์’ และ
Aston Martin DB12 Goldfinger Edition ฉลองครบรอบ 60 ปี ให้กับสายลับ 007 Goldfinger ด้วยแรงบันดาลใจจาก iconic DB5 ที่ขับโดย Sean Connery ในปี 1964 ซึ่งเป็นครั้งแรกในซีรีส์ James Bond ที่ได้ขับ Aston Martin ในภาพยนตร์ รถคันนี้ถูกสร้างแบบ special edition บนโมเดล 2023 DB12 ผลงานการตกแต่งเป็นพิเศษโดยแผนก “built by Q” limited production จำนวน 60 คัน ด้านขุมพลังของ Aston Martin DB12 Goldfinger Edition ยังคงใช้สเปกเดิม เครื่องยนต์ 4.0-liter twin-turbo V8 ให้กำลัง 671 hp