งานต่อให้เรารักแค่ไหน แต่ทำไปทำมาเมื่อมันเริ่มวนลูปเดิม ๆ เจอปัญหาเก่า ๆ ที่แก้แล้วแก้อีกก็ยังวนกลับมาไม่หยุด คนเราก็ต้องมีเบื่อบ้าง หรือบางคนอาจจะเบื่อจนอยากร้องตะโกนโวยวายทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วรู้ว่าต้องไปทำงาน ถ้ามันจะเบื่อขนาดนั้นแล้วล่ะก็ UNLOCKMEN เห็นว่าไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลยไปแล้วคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ UNLOCKMEN เสนอว่ามันพอมี 5 วิธีเล็ก ๆ น้อยให้ลองทำดูเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง งานมีไว้ทำแค่ที่ทำงาน แม้จะดูเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน แต่ถ้าชีวิตเดินทางมาถึงจุดที่การต้องตื่นไปทำงานทุกวันทำให้คุณรู้สึกเหมือนโลกจะแตกสลาย หรือถ้าโลกแตกสลายลงก็ยังดีกว่าต้องแบกร่างไร้วิญญานไปทำงานแล้วล่ะก็ นี่ก็อาจเป็นกลยุทธแรก ๆ ที่คุณไม่ควรมองข้าม คุณเข้างานตรงเวลาก็ควรเลิกงานตรงเวลา ปล่อยให้งานอยู่แค่ที่ทำงานเท่านั้น ทันทีที่คุณเลิกงานคุณควรปล่อยวาง เลิกคิดว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไร มีอะไรที่คั่งค้าง แล้วใช้เวลากับการพักผ่อนให้เต็มที่ อีเมลงานก็ปล่อยไว้ก่อนเพื่อรักษาสุขภาพจิตของตัวเองสักระยะ แล้วค่อยมาเช็คอีเมลทันทีที่เวลาเริ่มงานตอนเช้าเริ่มต้นก็ไม่เสียหาย สมองคุณจะได้แยกแยะให้ชัดเจนว่าเวลาไหนคือเวลางาน เวลาไหนคือเวลาที่ได้พักผ่อนเต็มที่เพื่อชาร์จพลังไว้สู้กับงานในเวลางานได้อย่างเต็มกำลังนั่นเอง ออกไปพักผ่อนเสียบ้าง อีกสาเหตุที่อาจทำให้คุณรู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับการทำงานเหลือเกิน อาจเป็นเพราะว่าคุณรู้สึกว่าชีวิตนี้ของคุณมันไม่มีอะไรหลงเหลือให้รอคอยอยู่อีกแล้วนอกจากงาน งาน และงาน ถ้าเป็นช่วงที่คุณมีไฟเหลือเฟือ ตะลุยงานได้ไม่มีวันหยุดหย่อนก็ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะคุณจะพร้อมกระโจนใส่งานได้อย่างโคตรบ้าคลั่ง แต่ไม่ใช่กับช่วงหมดไฟ UNLOCKMEN แนะนำว่าคุณต้องการการพักผ่อนอย่างถึงที่สุด อาจจะลาไปพักร้อนสัก 3-4 วันยาว ๆ หรือจะชอบใช้วันหยุดทีละเล็กละน้อย ลาเพิ่มจากวันเสาร์อาทิตย์ไปเลยสัปดาห์ละวัน ก็ได้พักผ่อนแทบทุกอาทิตย์ไปอีกแบบ แต่เรารับรองได้ว่าการชักปลั๊กการทำงานไปพักผ่อนที่จะทำให้คุณลืมเรื่องงานไปได้ชั่วคราวจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้นหลายระดับ หารางวัลไว้หลอกล่อตัวเอง
ไม่ว่าองค์กรเล็กใหญ่หรือใครก็ล้วนเคยผ่านวิกฤตดราม่าจากคำพูดกันแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าคำพูดจะออกมาด้วยความตั้งใจ ไม่ตั้งใจ หรือคนตีความผิดไปเองจนงานเข้าเรื่องราวบานปลาย แต่เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเรารับมือและจัดการกับวิกฤตดราม่าจากคำพูดครั้งนั้นได้อย่างไรบ้างต่างหาก UNLOCKMEN จึงเล็งเห็นแบบชัดแจ้งเต็มตาว่าในโลกที่โซเชียลมีเดียถูกสุมไฟดราม่าให้คุกรุ่นได้ง่าย เราทุกคนล้วนต้องการหาทางลงให้กับดราม่าที่เกิดขึ้นอย่างเท่ ๆ ซึ่งเรารับรองว่า 5 วิธีนี้ใช้ได้ทั้งองค์กรธุรกิจและคนธรรมดา 1.รุ่นใหญ่ใจต้องนิ่ง การโต้ตอบหรือจัดการวิกฤติที่เกิดขึ้นแบบรวดเร็วทันใจมันก็ดูเหมือนจะดีในโลกที่ทุกอย่างวิ่งไวในโลกออนไลน์ไปเสียหมดอย่างนี้ แต่มันจะดีกว่าถ้าเราได้นั่งนิ่ง ๆ ตรวจสอบสถานการณ์ทั้งหมดให้ถี่ถ้วนในเวลาที่เร็วที่สุดแต่ก็รอบคอบที่สุดว่าวิกฤตเกิดจากอะไร กรณีที่บุกเดี่ยวมาแต่แรก ก็นิ่งไว้ก่อนดีที่สุด ยิ่งตอบโต้ในช่องทางออนไลน์ ทุกอย่างจะมีแต่แย่ลง ๆ ในขณะที่ถ้าเป็นระดับองค์กรก็ควรบอกให้ทุกคนนิ่งเข้าไว้ รู้ว่าหัวร้อนแต่อย่าให้ใครไปโต้ตอบในช่องทางออนไลน์เด็ดขาด ควรปล่อยให้ฝ่ายสื่อสารองค์กรลุยเท่านั้น 2.รวมทีมอเวนเจอร์ซะ! ซุปเปอร์ฮีโร่เขายังไม่สู้คนเดียว เพราะคนเดียวหัวหาย หลายคนมีแต่ดี หลังจากวิกฤตการณ์เกิดขึ้นแล้ว ให้รีบรวบรวมทีมผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับองค์กรทั้งหมดให้เร็วที่สุดเพื่อช่วยกันปรึกษา ขอความคิดเห็นหลากหลายแบบในการรับมือ หรือร่างข้อความที่จะสื่อสารกลับไป ไม่ว่าจะเป็นการขอโทษ การชี้แจงในส่วนของเรา หรือการโต้ตอบในกรณีที่จำเป็น นอกจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในองค์กรแล้ว ควรเชิญผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่กำลังดราม่านั้นมาด้วย แต่ถ้าเป็นกรณีที่บุกเดี่ยวก่อดราม่าคนเดียวมาแต่แรก ก็อาจปรึกษาเพื่อน คนใกล้ตัว หรือผู้ใหญ่ที่เราเชื่อถือควบคู่กันไปแทน 3.อย่ารีบด่วนสรุป ท่องจำให้ขึ้นใจว่าทุกอย่างต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงเท่านั้น ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึก! โดยเฉพาะเมื่อทุกคนกำลังหัวร้อน คันไม้คันมืออยากโต้ตอบ แต่ข้อสรุปแรก ๆ ที่เราได้และวางแผนจะจัดการมักจะผิด (ไม่เสมอไป แต่บ่อยครั้ง) ดังนั้นคิดให้ครบสองสามรอบก่อนตัดสินใจลงมือชี้แจงอะไร 4.ให้คนคนเดียวออกมาพูด
ปัจจุบันนี้เราเห็น Clip VDO มากมายไปหมด ตามเว็บไซต์ที่บอกว่า เป็น VDO สามารถสร้างแรงจูงใจ หรือ สร้างแรงบันดาลใจให้คุณ แต่จะมีสักกี่ครั้งกันที่คุณจะเห็น VDO ที่ถูกสร้างมาเพื่อสร้างแรงจูงใจ หรือ สร้างแรงบันดาลใจให้กับ Entrepreneurs โดยเฉพาะบ้าง? คำตอบก็คือ มีน้อยมาก จนอาจจะแทบจะไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ แต่นั่นคือ สิ่งที่เรามองเห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์ไม่ใช่น้อยเลย ถ้าหากมีใครสักคนรวมเอา VDO ดี ๆ ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบรรดา Entrepreneurs ทั้งหลายเอาไว้ ให้ดูกันฟรี ๆ เพื่อจุดประกายในการทำงานกลับมาให้ไฟลุกโชนจนกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในชีวิตกันต่อไปในอนาคต และต่อไปนี้คือ VDO ที่สามารถสร้าง Motivation ให้กับเหล่า Entrepreneurs รวมไปถึงคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี รับรองได้ว่า คุณจะได้รับทั้ง Inspiration และ Motivation ในการอยากที่จะก้าวไปสู่จุดที่เรียกได้ว่า ประสบความสำเร็จในชีวิตมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน 1#The Life of An Entrepreneur in
ขอบคุณเทคโนโลยีและความยืดหยุ่นในปัจจุบันที่ทำให้เราสามารถทำงานจากที่บ้านได้ แม้การทำงานที่บ้านจะเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย แต่ถ้าสบายเกินไป เราอาจทำงานไม่เสร็จได้ นี่จึงเป็น 5 วิธีที่จะช่วยให้คุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพแม้จะอยู่ภายใต้บรรยากาศสุดสบายอย่างการทำงานที่บ้านก็ตาม 1.สบายได้ แต่ให้พอดี สิ่งที่ดีที่สุดของการได้ทำงานอยู่ที่บ้านก็คือความสบาย สบายไปหมดตั้งแต่ได้อยู่ในพื้นที่ที่เราคุ้นเคย ได้สวมใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ ไม่ต้องเป็นทางการมาก จะนั่งทำงาน นอนทำงานก็สบายไปหมดทุกสิ่งอย่าง ความสบายเป็นสิ่งที่ดีแต่ถ้ามากเกินไป แทนที่จะทำงานก็อาจจะกลายเป็นนอนกลิ้งไปกลิ้งมาได้ ดังนั้นจัดท่าทาง พื้นที่ของตัวเองให้สบายได้ แต่อย่าสบายเกินไปจนไม่เป็นอันทำงาน 2.จัดพื้นที่ให้เหมาะสม การทำงานที่บ้านเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย และสิ่งรบกวน ทั้ง ๆ ที่กำลังจะตั้งใจทำงานอยู่ดี ๆ หันไปเจอตู้เย็นที่เต็มไปด้วยของกินก็เสียสมาธิเสียแล้ว หรือหันไปเจอโทรทัศน์พร้อมกับจินตนาการถึงหนังเรื่องโปรดก็พร้อมจะปรี่เข้าไปหา สิ่งเหล่านี้ควรถูกกำจัดให้พ้นทางด้วยการหาโต๊ะทำงาน จัดบรรยากาศให้เหมาะแก่การทำงานที่ห่าง หรือให้สิ่งรบกวนอยู่พ้นสายตาออกไปหน่อย จะได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานมากขึ้น 3.จัดลำดับความสำคัญของงานที่ต้องทำ พอไม่ต้องเดินทางไปกลับจากที่ทำงาน เวลาที่มีเท่าเดิมก็ดูเหมือนมีเพิ่มจนมากมายแบบไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งเรารู้สึกว่ามีเวลาเหลือมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกว่าเดี๋ยวค่อยทำนั่น เดี๋ยวค่อยทำนี่ก็ได้ ซึ่งสุดท้ายจะทำให้งานไม่เสร็จโดยไม่รู้ตัว หรือถ้าเสร็จก็เสร็จแบบไม่ทันเวลา ดังนั้นคุณควรจัดลำดับความสำคัญว่างานไหนที่ต้องทำเสร็จเป็นลำดับแรก ๆ และต้องเสร็จภายในเวลาเท่าไหร่ เป็นการกำหนดเดดไลน์ให้ตัวเอง 4.จัดเวลา ทำงานที่บ้านก็ยังแปลว่าทำงาน ถ้าคุณไม่ได้ทำงานเสร็จเร็วในเวลาไม่กี่ชั่วโมง การแบ่งสัดส่วนเวลาทำงานก็เป็นสิ่งที่ดี เพื่อไม่ให้ตัวเองทำงานมากเกินไป หรือมัวแต่พักผ่อนเพลินเกินไป โดยคุณอาจแบ่งเวลา 6-8 ชั่วโมงว่านี่เป็นเวลาทำงาน
ลาออกจากงานประจำแล้วไปเริ่มทำธุรกิจซะ! เรามักได้ยินประโยคทำนองนี้จนชินหูในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนเราอาจหลงลืมไปว่าการทำธุรกิจ การเป็นผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องมีสูตรสำเร็จที่ตายตัว และคุณอาจไม่จำเป็นต้องลาออกทันทีเหมือนที่ใครว่าไว้ แต่เรียนรู้จากการทำงานประจำ เพราะงานประจำนี่แหละที่แอบซ่อนบทเรียนธุรกิจไว้ให้เราเรียนรู้แบบที่เราคาดไม่ถึงมาก่อน Steve Tobak ที่ปรึกษาด้านการจัดการกล่าวถึงการเรียนรู้จากงานประจำที่ใคร ๆ ก็คิดว่าน่าเบื่อไว้ว่า “ความจริงก็คือ ผมเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการและการทำธุรกิจจากการทำงานให้คนอื่น” เขายังบอกเพิ่มเติมอีกว่า “ผมเริ่มต้นจากการเป็นปลาตัวเล็ก ๆ ในบ่อใหญ่ จากนั้นค่อยเป็นปลาใหญ่ในบ่อเล็ก ๆ แล้วค่อยกลายเป็นปลาใหญ่ในบ่อใหญ่ จนตอนนี้ผมได้แหวกว่ายในบ่อเล็ก ๆ ของตัวเองลำพัง มันรู้สึกดีมากเลยล่ะ” แล้วเราจะเรียนรู้การเป็นผู้ประกอบการที่ดีจากงานประจำได้อย่างไรบ้าง? เรียนรู้จากโครงสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ การได้ทำงานในองค์กรสักองค์กรหนึ่งนั่นแปลว่าองค์กรธุรกิจนั้นต้องประสบความสำเร็จแล้วระดับหนึ่ง นี่จึงเป็นอีกที่ที่เราจะได้เรียนรู้พื้นฐานและโครงสร้างธุรกิจที่ดีที่สุด โดยคุณต้องสังเกตว่าโครงสร้างองค์กรเป็นอย่างไร ใครทำอะไรบ้าง แต่ละแผนกติดต่อสื่อสารกันอย่างไร แต่ละคนมีแรงบันดาลใจในการทำงานอย่างไร โดยเฉพาะคนที่คุณมองว่าประสบความสำเร็จที่สุดในบริษัท คุณต้องสังเกตว่าเขาทำอะไร มีเส้นทางอย่างไรตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดที่คุณคิดว่าเขาประสบความสำเร็จ เรียนรู้จากหัวหน้างานของคุณ ในองค์กรธุรกิจเต็มไปด้วยหัวหน้างานจากหลากหลายฝ่าย สิ่งที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้จากหัวหน้างานเหล่านั้น โดยหัวหน้างานแต่ละคนย่อมมีจุดเด่นและข้อดีที่เราสามารถเรียนรู้และนำไปใช้ในธุรกิจตัวเองในอนาคตได้ แบกรับความเสี่ยงต่ำ(กว่า) การทำงานประจำช่วยให้คุณเรียนรู้ที่จะบริหารความเสี่ยงจริง ๆ แต่คุณไม่ได้รับผลของความเสี่ยงโดยตรงเท่าเจ้าของธุรกิจหรือองค์กรที่คุณทำงานอยู่ด้วย เราไม่ได้กำลังบอกให้คุณทำอะไรเสี่ยง ๆ อย่างไรก็ได้แบบไม่แคร์เพราะนี่ไม่ใช่ธุรกิจของคุณ แต่เรากำลังจะบอกให้คุณเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้เต็มที่ ถ้าผิดพลาดคุณก็รับผิดชอบเฉพาะตำแหน่งที่คุณทำ แต่ไม่ต้องรับผิดชอบถึงระดับองค์กร และรีบเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นเพื่อเป็นบทเรียนให้กับธุรกิจของตัวเองในอนาคต เรียนรู้ข้อผิดพลาดขององค์กร เมื่อสังเกตและเรียนรู้ข้อดี โครงสร้าง และแนวทางที่ประสบความสำเร็จแล้ว
การเป็นนักลงทุนคือสิ่งที่ใครก็ใฝ่ฝัน แต่การเป็นนักลงทุนที่ดีนั้นคือสิ่งที่ยากยิ่งกว่า ทำอย่างไรเราถึงจะรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตเพื่อเป็นนักลงทุนที่ดีได้ วันนี้ UNLOCKMEN มีนิสัย 6 อย่างที่ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหรือยังไม่เป็นนักลงทุนก็สามารถเอาไปปรับใช้ได้ เผื่อวันหนึ่งที่เราได้เป็นนักลงทุน เป็นเจ้าของกิจการของตัวเองจะได้ทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด เก็บเงินให้มากขึ้น ใคร ๆ ก็เก็บเงิน แต่การจะเป็นระดับเจ้าของกิจการ หรือการเป็นนักลงทุนยิ่งทำให้คุณควรต้องเก็บเงิน และประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนที่ไม่จำเป็นมากกว่าเดิม เพื่อเอาไปใช้ในการลงทุนต่อไปในอนาคคต เชื่อเถอะว่าปลูกฝังนิสัยนี้ไว้ ไม่ผิดหวัง เพื่ออิสรภาพทางการเงินที่สดใสวันข้างหน้า เข้านอนเร็วขึ้นเพื่อตื่นเร็วขึ้น เรามักเข้าใจว่านักลงทุนต้องงานยุ่งจนไม่เป็นอันหลับอันนอนแน่ ๆ แต่การเข้านอนเร็วและการตื่นเช้าจะทำให้คุณทึ่งมากว่าในวัน ๆ หนึ่งคุณมีเวลาให้ทำอะไรมากขนาดไหน แถมการตื่นก่อนคนอื่นยังทำให้คุณได้ใช้เวลาส่วนตัวทำอะไรต่อมิอะไร ได้อยู่กับตัวเอง ทำสมาธิกับตัวเองอย่างปลอดโปร่งจนคุณคาดไม่ถึงทีเดียว อย่ามัวแต่ทำธุรกิจ จนลืมความสัมพันธ์ แม้ธุรกิจและการลงทุนจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความสัมพันธ์กับผู้คนกลับเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า เพราะคอนเนคชั่นและคนรอบตัวเราคือใจความสำคัญของความสำเร็จในชีวิต ดังนั้นแบ่งเวลา 2-3 ครั้งต่ออาทิตย์ในการส่งเมสเสจหรือโทรหาคนสำคัญ ๆ ที่เราไม่ได้ติดต่อหาเขานานแล้วเสียบ้าง โฟกัสกับสิ่งที่ทำ การโฟกัสกับสิ่งที่ทำไม่ได้แปลว่าต้องโฟกัสกับอะไรแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง คุณอาจจะลงมือทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกันก็ได้ เพราะนั่นคือส่วนหนึ่งของการเติบโตเป็นนักลงทุนที่ดีในอนาคต แต่คุณต้องมั่นใจว่าทุกสิ่งที่คุณทำนั้นคุณทำมันด้วยความตั้งใจจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำให้มันผ่าน ๆ ไป หาต้นแบบสักคน เราไม่จำเป็นต้องหาคนที่สำเร็จระดับโลกเพื่อมาเป็นครูหรือต้นแบบให้ตัวเอง แต่หาใครสักคนที่คุณเชื่อถือ เคารพ
การเจอใครสักคนเป็นครั้งแรกไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะการเจรจาทางธุรกิจที่ไม่ว่าแมนแค่ไหนก็ต้องมีหวั่น ๆ กันบ้าง แค่จะคุยให้ราบรื่น ไม่มือไม้สั่นก็ยากแล้ว แต่จะคุยอย่างไรให้คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกชอบคุณได้ใน 5 นาที? ไม่ต้องคิดเองให้สมองระเบิด UNLOCKMEN มี 5 ข้อง่าย ๆ ทำได้จริง ที่ไม่ว่าเจรจากับใคร คนที่คุยด้วยก็จะชอบคุณได้ใน 5 นาที 1.ถามคำถามปลายเปิด คำถามปลายปิด หรือการเปิดโอกาสให้คู่สนทนาที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกตอบได้แค่ใช่หรือไม่ใช่นั้นทำให้บทสนทนาสั้นลงกว่าที่ควรเป็นหลายระดับ แต่การถามคำถามปลายเปิดให้คู่สนทนามีโอกาสคิดคำตอบกว้าง ๆ เป็นการทำให้เขารู้สึกว่าเราอยากรับฟังเขา เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญยังทำให้เราสามารถต่อบทสนทนาให้ยาวขึ้นอีก ด้วยการถามคำถามเพิ่มเติมจากคำตอบที่เขาให้กลับมา 2.นิ่งฟังอย่างตั้งใจ แม้ว่าเราจะอยากนำบทสนทนาไปสู่กาเจรจาอันสมบูรณ์แบบที่เราตั้งความหวังไว้ต้งแต่แรก แต่คุณควรนิ่ง ตั้งใจฟัง สบตาคู่สนทนา พยักหน้าแสดงความสนใจเพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังตั้งใจฟังอยู่ เมื่อฟังไปสักพัก ค่อยตั้งคำถามกลับจากเรื่องที่คู่สนทนากำลังเล่า แต่ไปในทิศทางที่คุณต้องการ เพื่อให้เขารู้สึกว่าคุณไม่ได้จงใจมาสื่อสารแค่เรื่องของคุณ แต่ตั้งใจฟังเรื่องของเขามากกว่า 3.หาอะไรที่คุณกับอีกฝ่ายมีเหมือนกัน การมีความสนใจคล้าย ๆ กัน การมีะไรเหมือน ๆ กัน จะยิ่งทำให้คุณสองคนหาเรื่องคุยได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง แต่ความสนใจที่เหมือนกันจะทำให้คุณหาเรื่องมาคุยได้ไม่รู้จบ ยิ่งทำให้ทั้งคุณและคู่สนทนาไม่รู้สึกดดันกับการคุยกับคนคนนั้นเป็นครั้งแรก ดังนั้นพยายามชวนคุยด้วยคำถามปลายเปิดเยอะ ๆ เพื่อที่จะรู้ว่าคนคนนั้นชอบอะไรบ้าง และมีอะไรที่เราชอบเหมือนกัน ถ้าเจอแล้วคุยถูกคอ
เราต่างมีเวลาในหนึ่งวันเท่า ๆ กัน แต่การจัดการและการเลือกใช้เวลาไม่เหมือนกัน คนประสบความสำเร็จเขาทำอะไรในหนึ่งวันเราคงพอจะรู้กันมาบ้าง แต่สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาทำก่อนนอนคืออะไรบ้าง ทำแล้วจะช่วยให้นอนอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นไหม? หรือทำแล้วชีวิตวันต่อไปจะง่ายขึ้นบ้างหรือเปล่า? เรามาดูกันว่าคนประสบความสำเร็จระดับโลก 7 คนเขาทำอะไรก่อนเข้านอนกัน 1.Bill Gates: อ่านหนังสือก่อนนอน เจ้าพ่อไมโครซอฟต์อย่าง Bill Gates มักจะเผื่อเวลาก่อนเข้านอนของตัวเองไว้สำหรับการอ่านหนังสือเสมอ โดยเขาจะอ่านหนังสือก่อนเข้านอนเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ไม่ว่าคืนนั้นเขาจะนอนดึกขนาดไหน 2.Sheryl Sandberg: ตัดขาดการติดต่อสื่อสาร Sheryl Sandberg คืออดีตกรรมการอำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของโซเชียลมีเดียชื่อก้องโลกอย่างเฟซบุ๊ก เธอเลิกที่จะชัตดาวน์การสื่อสาร ด้วยการปิดโทรศัพท์มือถือคู่กายลงเมื่อเธอจะต้องเข้านอน โดยเธอยอมรับว่าแม้มันจะเจ็บปวดมากเมื่อต้องปิดมือถือแต่ละที แต่ก็คุ้มค่ากับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ 3.Oprah Winfrey: นั่งสมาธิ ถ้าจะให้บอกว่า Oprah Winfrey เป็นใคร ก็คงต้องไล่กันยาว เพราะเธอเป็นทั้งนักธุรกิจ นักแสดง โปรดิวเซอร์ และพิธีกรชื่อดัง แต่ไม่ว่าในแต่ละวันเธอจะยุ่งมากขนาดไหน ก่อนนอนเธอก็จะแบ่งเวลาให้กับการทำสมาธิเสมอ ๆ 4.Elon Musk: หยุดกินกาแฟ CEO ระดับโลกที่กำลังมาแรงที่สุดขณะนี้อีกคนหนึ่งคงหนีไม่พ้น Elon Musk ที่ปกติเขาต้องดื่มกาแฟ
คำพูดไม่ใช่แค่สิ่งที่เอาไว้เพื่อสื่อสารกันเท่านั้น แต่คำพูดส่งผลต่อชีวิต แรงบันดาลใจ และมีอิทธิพลต่อวิธีคิด รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันได้จริง ๆ คำพูดดี ๆ ก็ดึงดูดพลังดี ๆ เข้ามา แต่ลองหลับตาจินตนาการถึงคนที่พ่นพูดแต่คำด่า คำบ่น คำหยาบคาย บรรยากาศแวดล้อมก็ไม่ชวนเข้าใกล้ หรือถ้าเข้าใกล้ก็ชวนให้หดหู่ไม่อยากทำอะไรไปหมด การประสบความสำเร็จก็เช่นกัน ถ้ามัวแต่คิดหรือพูดอะไรที่ย่อท้อ โทษตัวเอง หรือไม่มั่นใจในตัวเองอยู่เป็นประจำก็พาให้แรงใจ แรงกายถดถอยไปได้ นี่จึงเป็น 7 ประโยคที่คุณจะไม่มีวันได้ยินคนที่ประสบความสำเร็จเขาพูดกัน เพราะมันไม่ทำให้อะไรดีขึ้น แล้วคุณล่ะยังพูดประโยคพวกนี้อยู่หรือเปล่า? 1.ผมทำไม่ได้หรอก ไม่มีใครทำอะไรเป็นทุกสิ่งอย่างมาตั้งแต่แรกเกิด การบอกว่าทำไม่ได้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มถือเป็นการดูถูกตัวเองอย่างมาก คนที่ประสบความสำเร็จมักจะไม่โฟกัสถึงสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ แต่เรียนรู้ว่าอะไรที่พวกเขาทำได้ และค่อย ๆ หาวิธีการจัดการและเริ่มต้นทำในสิ่งที่พวกเขายังทำไม่ได้ แต่ถ้ากังวลจนไม่รู้จัทำยังไง ลองลิสต์รายการสิ่งที่เราเคยทำไม่ได้มาตั้งแต่เราลืมตาดูโลก แล้วเช็คดูสิว่าทุกวันนี้เราเรียนรู้และทำอะไรได้ตั้งกี่อย่างแล้ว ดังนั้นอย่าหยุดเรียนรู้ต่อไป และอย่าเอาแต่บอกตัวเองว่าทำไม่ได้ 2.ผมไม่รู้นี่ครับว่าต้องทำยังไง ไม่ว่าอะไรที่เราทำสำเร็จ เราล้วนต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้มันมาก่อนทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่การเดิน การขี่จักรยาน หรือแม้แต่การลงทุน การทำธุรกิจ การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เราต้องทำตลอดชีวิต ไม่มีใครรู้ทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เริ่มลงมือทำ ดังนั้นอย่ากลัวที่จะเรียนรู้ บอกว่าตัวเองไม่รู้เพื่อจะเรียนรู้ต่อไปได้ แต่อย่าบอกว่าไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการลงมือทำอะไรสักอย่าง 3.ผมมีเวลาไม่พอหรอก เวลาคือทรัพยากรที่มีค่าที่ทุกคนมีเท่า ๆ กัน
ไม่รู้ว่า “เงินในกระเป๋า”กลายเป็นสิ่งที่ลดแทบทุกวัน จนเหมือนว่าไม่มีแนวโน้มจะเพิ่มเลยได้อย่างไร? แต่หลายคนก็เป็นอย่างนั้นแทบทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตการเงินที่เอาแต่ลดไม่รู้จักเพิ่มอีกต่อไป วันนี้ UNLOCKMEN เลยงัด 5 ข้อ 5 ทางที่จะทำให้เงินงอกเงยเพิ่มขึ้นจากเดิม ทำ 5 ข้อนี้ในอีก 5 ปี เงินเพิ่มเป็น 5 เท่าได้แน่นอน เริ่มทำธุรกิจ ธุรกิจฟังดูเป็นสิ่งใหญ่โต แต่ในวันที่ตลาดออนไลน์กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน ๆ การเริ่มลงมือทำธุรกิจสักหนึ่งธุรกิจไม่ได้ต้องเริ่มจากการหาทำเล การลงทุนกับหน้าร้านอีกต่อไปแล้ว เราสามารถเริ่มต้นธุรกิจอะไรก็ได้จากเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องทิ้งงานประจำมาลงทุนลงแรงเต็มตัวให้ยากเหมือนยุคก่อน ๆ ที่ผ่านมา เรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จทางการเงินจำนวนมากเปิดเผยว่าพวกเขามีเมนเทอร์ที่เป็นตัวอย่างความสำเร็จของตัวเอง ดังนั้นเราเองก็ควรหาคนที่เป็นต้นแบบความสำเร็จของตัวเองสักคน ไม่ต้องถึงขั้นสตีฟ จอบส์ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก แต่เป็นคนใกล้ตัวสักคนที่เรารู้สึกว่าเขาค่อย ๆ เติบโตไปอยู่ในจุดที่เราก็ฝันไว้ แล้วหมั่นเข้าไปพูดคุย ถามไถ่ถึงวิธีการของเขา เรียนรู้และหาบทเรียนจากคนคนนั้นให้ได้มากที่สุด ลงทุน การลงทุนอาจไม่ได้หมายถึงการลงทุนกับการทำธุรกิจเสมอไป แต่การลงทุนเพื่อให้เงินทำงานแทนเราแม้เราจะนั่งอยู่เฉย ๆ ก็มีรายได้เข้ามาไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นหุ้น กองทุนต่าง ๆ การซื้อประกัน