ในชีวิตมนุษย์ทำงานทุกคน เราล้วนต้องเผชิญหน้ากับคำวิจารณ์หรือฟีดแบ็คอยู่เสมอเพื่อพัฒนาตัวเองและผลงานให้ดียิ่งขึ้น คำวิจารณ์เชิงบวกไม่ต่างอะไรจากของขวัญล้ำค่าที่เรารอคอย ในขณะที่คำวิจารณ์หรือฟีดแบ็คเชิงลบเป็นสิ่งที่เราอยากหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว เพราะฟังทีไรก็เจ็บลึก สร้างแผลทางความรู้สึกไปนานแสนนาน แต่อยากให้รู้ไว้ว่าบนโลกใบนี้ ไม่มีใครที่รับฟีดแบ็คด้านลบได้อย่างร่าเริงเสมอไป เพียงแต่โลกใบนี้มีมีหนทาง “รับฟีดแบ็คด้านลบแบบมืออาชีพ” อยู่ ที่ต่อให้ข้างในเราจะกระทบกระเทือนเพียงไหน แต่เราจะสามารถรักษาความเป็นมืออาชีพและสามารถนำฟีดแบ็คนั้นมาพิจารณาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดได้ เพราะในชีวิตการทำงานหรือแม้แต่ชีวิตด้านอื่น ๆ ฟีดแบ็คเชิงลบนี่เองที่จะทำให้เราเห็นข้อผิดพลาด หรือส่ิงที่ต้องปรับปรุง รวมถึงได้เห็นตัวเองในเวอร์ชันที่เราอาจไม่เคยมองเห็นมาก่อน UNLOCKMEN จึงเอาทั้งศาสตร์และศิลป์แห่งการ “รับฟีดแบ็คด้านลบแบบมืออาชีพ” มาฝากกัน รับฟังคำวิจารณ์ครั้งต่อไป เราจะรับฟังอย่างสง่างาม มืออาชีพ และนำมาปรับปรุงตัวเองได้ดีขึ้นแน่นอน ศาสตร์แห่งการไม่หัวร้อน: เพราะคำวิจารณ์ด้านลบ ทำลายภาพที่เราเห็นตัวเอง วินาทีแรกที่เราถูกวิจารณ์ ไม่แปลกที่เราจะโกรธ เนื่องจากนี่คือกลไกอัตโนมัติที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนเมื่อตัวเองได้ฟังฟีดแบ็คที่เราไม่เชื่อว่าตัวเราเป็น โดยขั้นแรกเราจะเริ่มโมโห หัวร้อน จากนั้นเราจะเริ่มสร้างเกราะมาปกป้องตัวเองทุกหนทางเท่าที่จะทำได้ และเราจะจบลงด้วยขั้นสุดท้ายคือการเข้าข้างตัวเอง และโยนคำวิจารณ์นั้นทิ้งไป (ทั้ง ๆ ที่มันอาจมีประโยชน์ต่อเรามาก) Tasha Eurich นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาระบุไว้ในบทความ The Right Way to Respond to Negative Feedback ว่าทั้งหมดนั้นเป็นกลไกปกติ แต่ถ้าเราอยากเป็นมืออาชีพมากขึ้น และรับฟีดแบ็คลบ
ตอนนี้ข่าวเรื่องแบนอเมริกาว่อนโลกโซเชียล แต่หลายคนยังจับต้นชนปลายเรื่องนี้ไม่ค่อยถูกว่ามันมีที่มายังไง รู้แค่ว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกาเซ็นระงับสิทธิ์ GSP สินค้าส่งออกจำนวน 571 รายการจากไทย เรื่องนี้ทำให้หลายคนเริ่มออกมาแสดงวิสัยทัศน์แบนสินค้าอเมริกา เข้าทำนองแบนมาแบนกลับไม่โกง แต่เอาเข้าจริง เรารู้บ้างไหมว่าวันนี้สินค้าจากอเมริกามีอะไรบ้าง และการโดนระงับสิทธิ์ GSP ที่สหรัฐอเมริกาทำกับเรามันกระทบกับเราแค่ไหน เราควรง้อหรือเดินหน้าไปทางไหนดี วันนี้ UNLOCKMEN จะสรุปคร่าว ๆ ให้เข้าใจ ทรัมป์ไม่เซ็น GSP ว่าแต่ GSP นี่มันอะไรนะ? เรื่องนี้มันเริ่มต้นจาก GSP (Generalized System Preference) คือสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรที่ประเทศพัฒนาแล้วยกให้ประเทศกำลังพัฒนา ไม่ต้องเสียหรือลดหย่อนภาษีสินค้านำเข้าเวลาส่งไปขายในประเทศผู้ให้สิทธิ์ จะได้สามารถส่งออกสินค้าไปแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ เช่น จีนมีกำลังการผลิตสูง ถ้าแข่งตามปกติและโดนภาษีนำเข้าด้วย ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ อาจจะไม่สามารถแข่งขันได้เลย เป็นต้น เขาให้ฟรีหรือเปล่า ? คำตอบคือ “เปล่า” ถึงแม้ประเทศที่ให้สิทธิ์จะไม่เรียกร้องประโยชน์ในรูปแบบตัวเงิน แต่เขาก็มีเงื่อนไขสำหรับการมอบสิทธิ์ GSP ให้เราทำตาม สำหรับกรณีของสหรัฐฯ ที่กำลังเป็นคู่กรณีกับเราตอนนี้ก็วางเงื่อนไขแบบพอสังเขปไว้ตามด้านล่างมานานแล้ว รายได้ประชากรต่อหัว
เรามักสนใจสิ่งรอบข้าง หรือวิธีสู่ให้สำเร็จมากเกินไป จนลืมไปว่า สิ่งที่แรกที่เราควรเข้าใจและพัฒนาที่สุดคือ ตัวเราเอง
พูดถึงเรื่อง Mindset หลายคนอาจยังไม่เข้าใจความหมายที่ชัดเจน ว่าตกลงแล้ว Mindset คือนิสัยที่ติดตัวเรามาหรือเปล่า
ถ้าความฝันคือ “สูตรสำเร็จ” ที่คนในยุคนี้ต้องการ ถ้า “ธุรกิจของตัวเอง” คือทางออกของอิสระการใช้ชีวิต เคยสงสัยไหมว่าทำไมถึงยังมีคนคิดต่างจากเราและมีความสุขกับการเป็นลูกจ้าง ไม่ต้องลุกมาเป็นเจ้าของธุรกิจอะไรไปจนเกษียณ ทำไมเวลาเราดูรายการญี่ปุ่น เรามักเห็นพนักงานมีอายุหรือคนหนุ่มสาวที่ทุ่มเทและตั้งใจทำงาน ทั้งที่เขาเป็นเพียงพนักงานตัวเล็ก ๆ แต่กลับมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่และมีความสุขจนทำให้เรารู้สึกอิจฉา คำตอบนี้เราได้มันมาหลังจากมีโอกาสได้พูดคุยกับ ดร. กฤตินี พงษ์ธนเลิศ อาจารย์สอนการตลาดที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ที่หลายคนรู้จักเธอในชื่อ “เกตุวดี Marumura” นี่ถือเป็นหนึ่งในคำถามที่ผุดขึ้นมาระหว่างพูดคุยกันช่วงสัมภาษณ์ยาว (ใครอยากดูฉบับเต็มรอติดตามได้) แต่เชื่อว่าประเด็นนี้ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจ คิดว่าชาว UNLOCKMEN น่าจะอยากรู้เหมือนกัน เราเลยสรุปและนำมาแบ่งปันแล้วด้านล่าง แรงงานต่างชาติน้อยกว่า ดร. กฤตินี เริ่มประเด็นแรกด้วยเรื่องแรงงาน ชี้ปัจจัยความต่างเบื้องต้นว่า “สังคมญี่ปุ่นเขาไม่ได้มีแรงงานจากประเทศข้างเคียงมากเท่ากับไทย” นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนที่ทำงานตลอดสายพาน ตั้งแต่งานในโรงงานจนถึงงานนั่งโต๊ะ ส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่นทั้งหมด ดังนั้น เรื่องนี้คงต้องบอกว่าปัจจัยทางสังคมส่งเสริมให้คนญี่ปุ่นเขาเป็นลูกจ้างด้วย ขณะที่ไทยอาจจะมีคนที่เข้ามาทำหน้าที่นี้ทดแทนได้ เพราะมีแรงงานจากประเทศข้างเคียงทั้งพม่า ลาว ฯลฯ ที่เข้ามาทำงานในไทยมากกว่า องค์กรทำงานเป็นทีมและร่วมแรงร่วมใจกัน ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึงทุกข์กับการเป็นลูกจ้าง แต่ญี่ปุ่นกลับไม่ใช่อย่างนั้น? เหตุผลที่เราอยากอยู่เหนือคนอื่น อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ อยากเติบโตไว ส่วนหนึ่งจะมองว่าเป็นเรื่องขั้นบันไดการเติบโตที่จำเป็นจะต้องไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็ได้
หากคุณกำลังจิตตกจากตลาดหุ้น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อหุ้นตก เรามีคำตอบให้คุณ
เราต่างก็หวาดกลัวการถูกปฏิเสธ เพราะการปฏิเสธหมายถึงการไม่ได้อย่างที่ใจหวัง การถูกมองว่าเราดีไม่พอ เราไม่เป็นที่ต้องการ หรือการที่เราไม่ถูกเลือก แต่วันนี้ UNLOCKMEN ขอนำเสนอเรื่องราวของ Jia Jiang ชายหนุ่มชาวจีนที่จะทำให้คุณมองเรื่องราวของการถูกปฏิเสธเปลี่ยนไปตลอดกาล ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธต้นเหตุของความไม่กล้า Jia Jiang ไม่ต่างอะไรจากผู้ชายอย่างเรา ๆ ที่มีไอดอลในดวงใจหนึ่งคนแล้วใฝ่ฝันว่าสักวันจะเป็นอย่างเขาคนนั้นให้ได้ ตอน Jia Jiang อายุ 14 เขาได้ฟัง Bill Gates พูด ทันทีที่ได้ฟังเขาก็รู้สึกฮึกเหิมมากและคิดว่าภายในอายุ 25 ปีเขาต้องมีบริษัทเป็นของตัวเองให้ได้และบริษัทนั้นต้องยิ่งใหญ่ ร่ำรวยมากพอที่จะซื้อบริษัทไมโครซอฟต์ของ Bill Gates ให้ได้เช่นกัน! แต่เวลาล่วงผ่านไปจนจะเข้าอายุ 30 เขาก็ยังไม่มีความกล้าหาญที่จะทำอะไรอย่างที่เขาตอนอายุ 14 พูดไว้แม้แต่น้อย เขารู้สึกท้อใจและนั่งทบทวนว่าอะไรกันแน่คือสาเหตุที่เขาไม่ประสบความสำเร็จ แล้วเขาก็พบว่ามันคือความกลัวที่จะถูกปฏิเสธนั่นเอง เราไม่กล้าออกไปพรีเซนต์งานเพราะกลัวจะถูกมองว่าทำได้ไม่ดี เราไม่กล้าเริ่มอะไรใหม่ ๆ เพราะกลัวจะผิดหวัง เราไม่กล้าลงมือทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนเพราะกลัวว่าจะถูกปฏิเสธให้พลาดไปจากความตั้งใจเดิมของเรา Rejection Therapy: เพราะเราต้องเผชิญหน้ากับการปฏิเสธ Jia Jiang ตัดสินใจแแล้วว่าเขาจะไม่ยอมให้ความกลัวมาทำให้เขาจมอยู่กับที่อีกต่อไปแล้ว เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อตามหาวิธีเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธนี้จนกระทั่งเข้าไปเจอ Rejection Therapy เกมที่ถูกคิดค้นขึ้นโดย
คุณเบื่อไหม เมื่อพูดถึงความยั่งยืน? คุณเบื่อเพราะคิดว่ามันเป็นคำพูดสวย ๆ คำนึงเพื่อใช้ขายของอะไรสักอย่าง แต่เพราะคุณมัวแต่เบื่อ เยาวชนอย่าง Greta Thunberg ถึงลุกขึ้นมาเริ่มพูดว่าคุณควรจะสนใจมันได้แล้วนะ คุณอย่ามัวเอาแต่พูดว่าใส่ใจห่าเหวอะไรในโลกใบนี้ คุณต้องทำอะไรสักอย่างกับมันสักที ไม่ใช่เอาแต่ฝากความหวังให้คนรุ่นหลังโดยไม่แม้แต่จะพยายามทำอะไรสักอย่าง ความเดือดดาลของเด็กสาวคนนึงที่พูดประโยคตีแสกหน้าในเวทีการประชุมสหประชาชาติต้นอาทิตย์ทำให้เราเริ่มคิดถึงเรื่อง Core Corporate หรือ Core Business ที่อยู่รอบตัวคนเมืองอย่างพวกเราในไทย มีใครบ้างที่คิดถึงเรื่องความยั่งยืน มีใครบ้างที่เขาคิดถึงคุณภาพชีวิต ถึงเราจะพูดว่าคุณภาพชีวิตและความยั่งยืน แต่อย่าเหมาเอาว่าเราจะพูดถึงองค์กรการกุศลเด็ดขาด การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีมันไม่ใช่ให้ควักเนื้อทางธุรกิจ เรื่องนี้ต้องเคลียร์ให้ขาดจากกัน เพราะการทำแบบนั้นมันไม่ได้ยั่งยืน ไม่มีคนซื้อพวกเขาจะเอารายได้จากไหนมาพัฒนาให้นิเวศสมดุล? ทุกอย่างล้วนต้องลงทุนทั้งนั้น เอาเป็นว่าเราจะไปอ่าน Vision ไม่ใช่ตัวเลข และบอกก่อนว่า คอนเทนต์นี้ไม่ได้มีไว้เพื่อขาย แต่เอาไว้เป็นกรณีศึกษา หลังจากที่เรามีโอกาสได้รับฟังและรู้เรื่องข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของการสร้างโครงการใหม่ ๆ กับเบื้องหลังปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนเท่านั้น ครั้งนี้ UNLOCKMEN เลยเริ่มคิดถึงที่แรกอย่างคอนโดก่อน เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมืองที่เราอยู่มันต้องเริ่มจากรากที่เรานอน เราจึงเลือกพูดถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เขากล่าวกันว่าจะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้เราเป็นประเภทแรก คำว่าดีมาจากไหน คำว่าดี ดีอย่างไร ? เราขอเริ่มต้นเจาะริเน็นจากที่ AP THAILAND เป็นที่แรก เพราะเรารู้มาว่าเขาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับมิตซูบิชิ เอสเตท เรสซิเดนซ์ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวคิดการทำอสังหาฯ
ทุกวันนี้เซอร์วิสแบบ all in one ป้อนถึงที่ คายถึงปาก แทบจะกลายเป็นสิ่งที่ทุกอุตสาหกรรมลุกขึ้นมาทำกันทั้งนั้น กระทั่งเอเจนซี่เองก็มีหน้าใหม่หน้าเก่าเข้าออกในวงการอยู่ตลอดเวลา อะไรที่ทำให้บางเอเจนซี่ขายได้ แต่บางแห่งต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ยังขายไม่ออก? หรืออะไรที่ทำให้เอเจนซี่เล็ก ๆ แย่งงานเอเจนซี่เจ้าดังได้ เราเองพยายามหาข้อเท็จจริงเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน กระทั่งไปเจอแนวคำตอบที่น่าสนใจของ Dave Trott นักโฆษณาที่เขียนหนังสือชื่อ “Predatory Thinking” หรือที่แปลเป็นฉบับไทยว่า “เกิดเป็นกระต่ายต้องคิดได้ให้อย่างหมาป่า” ซึ่งพูดถึงการคิดต่างที่จะทำให้เราพลิกเกมการทำงานและการใช้ชีวิตได้ UNLOCKMEN คิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจสำหรับทั้งคนทำธุรกิจและพนักงานตาดำ ๆ ทั่วไป เราจะไม่พูดเด็ดขาดว่าเราไม่อยากเป็นเจ้าของเงินก้อนนั้นที่ลูกค้าวางไว้ ดังนั้น เพื่อให้คุณมีโอกาสได้เงินก้อนนั้นมาก่อนที่คนอื่นจะคาบไปรับประทาน ลองมาดูกันว่าเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าไม่ซื้อมันเพราะอะไรกันแน่ โฆษณาดีแค่ไหนก็ไม่ได้การันตียอดขาย อยากมีตัวตน อยากให้คนพูดถึง อยากเอาชนะการกด skip นี่คือโจทย์ที่นักโฆษณามือทองทุกคนพยายามดันผลงานให้ไปถึง แต่คำว่า “ดี” นั้น ต่อให้มากแค่ไหน คว้ารางวัล Cannes Lions มาได้ ก็แทบไม่มีความหมาย หากลูกค้าต้องการให้นำไปวัดเม็ดเงินที่จะคืนกลับมาที่บริษัท รู้ไหมเพราะอะไร? เพราะความเป็นจริงคนเราไม่ได้ตัดสินใจซื้อจากแค่โฆษณาไง ถ้าคุณเป็นคนไม่สูบบุหรี่ ต่อให้เราพยายามขายบุหรี่พรีเมี่ยมแค่ไหนให้ คุณก็ไม่ซื้อมันอยู่ดี คุณเป็นคนไม่อยากได้รถ เราโฆษณารถหมื่นแรงม้า
ข่าว Jack Ma ลงจากเก้าอี้ แม้ว่าได้ยินมาตั้งแต่ช่วงนี้ปีที่แล้ว แต่พอนับ Day 1 การเกษียณจริง ๆ เปลี่ยนตำแหน่งจาก CEO ไปนั่งเป็นกรรมการบริหารบริษัทแทน อาจทำให้บางคนรู้สึกใจหาย ทว่าสำหรับผู้ถือหุ้น เรื่องนี้ไม่ค่อยมีผลกระทบนัก เพราะจระเข้แห่งแยงซีรุ่นต่อไปของ Alibaba อย่าง Daniel Zhang เองก็ซ่อนเขี้ยวเล็บที่ไม่ธรรมดาไว้มากมาย ภาพเฮีย Ma ขาร็อก แสดงบนเวทีเป็นการส่งท้ายลงบัลลังก์อย่างประทับใจและมี Daniel Zhang ขึ้นมาร้องเพลงบนเวทีเป็น Extra Special ในงานฉลองครบรอบบริษัท 20 ปี ถือเป็นบทส่งท้ายของผู้ก่อตั้งที่ทั้งเท่ แหวกแนว ติดตาคนทั่วโลก LEEEEEEET'S ROCK! Sunglass-clad Jack Ma performs rock music during the Alibaba gala in Hangzhou on Tuesday. #JackMa @AlibabaGroup