แม้ปัจจุบันหลายคนจะจำภาพรถสมรรถนะสูงสัญชาติฝรั่งเศสในชื่อของ Bugatti แต่ในอดีตยังมีรถที่เคยสร้างตำนานไว้มากมาย รวมถึงครั้งนึงเคยได้ชื่อว่าเป็น Supercar ที่เร็วที่สุดในฝรั่งเศสอีกด้วย นั่นคือ Venturi 400 GT ตัวแข่งที่เกิดมาอยู่ในสนามแข่งโดยเฉพาะ ก่อนจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นรถที่ใช้งานบนท้องถนนได้ เชื่อว่าชื่ออาจจะไม่คุ้นหูชาว UNLOCKMEN หลายคน วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับตำนานที่ถูกนำออกประมูลด้วยมูลค่าที่คาดว่าจะสูงถึงเกือบ 7 ล้านบาท ย้อนไปในปี 1984 มี 2 วิศวกรผู้ก่อตั้ง Venturi นามว่า Claude Poiraud และ Gerard Godfroy หวังอยากสร้างรถยนต์ที่สามารถลงแข่งขันในรายการต่าง ๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้โลกได้รู้จักกับ French performance GT Cars มากขึ้น กว่าจะมีรถยนต์ที่ติดป้าย Venturi ออกมาก็กินเวลาไปถึงปี 1986 ก่อนบริษัทจะถูกขายออกไปในปี 2000 ให้กับเจ้าของคนใหม่ Gildo Pallanca Pastor ผู้หันไปเอาดีทางด้าน Formula E ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้นมีรถยนต์ถูกผลิตออกมาหลายรุ่น แต่ในปี 1992 Venturi ได้มีผลงานรถยนต์ที่เป็นพระเอกของค่าย ซึ่งปัจจุบันก็ยังถูกพูดถึงจากนักเลงรถยนต์ตัวจริงทั่วโลก
สร้างความแปลกใจต่อวงการมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลกไม่น้อย สำหรับข่าวการเอาชนะอดีตนักขับรถสูตร 1 ในสนามแข่งจริงของโปรเกมเมอร์วัย 23 ปี ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในสนามแข่งจริงแม้แต่วินาทีเดียว โดยอาศัยเพียงการฝึกซ้อมจากโปรแกรมจำลองที่ถูกเรียกว่า Virtual Motorsports อย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ระหว่างการแข่งขัน Race Of Champion (ROC) ซึ่งเป็นการแข่งขันที่รวบรวมเอานักกีฬามอเตอร์สปอร์ตในทุกรูปแบบ มาจัดแข่งแบบพบกันหมด โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1988 และ ROC 2018 ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบียถือเป็นการเปิดโอกาสให้นักแข่งที่ฝึกฝนจากโปรแกรมเสมือนจริง ๆ เข้าร่วมด้วยเป็นครั้งแรก แต่ใครจะไปเชื่อว่าหนึ่งปีหลังจากนั้นใน Race Of Champion 2019 ที่ประเทศเม็กซิโก ก็เกิดเรื่องเซอร์ไพรส์วงการมอเตอร์สปอร์ตทันที เนื่องจาก Enzo Bonito นักแข่งที่ฝึกฝนจากโปรแกรมจำลองวัย 23 ปี สามารถเอาชนะ Lucas Di Grassi อดีตนักขับรถ Formula 1 ที่เคยอยู่กับทีม Virgin Racing Team ในช่วงปี 2010-2014 และยังเป็นนักแข่ง Formula E ในสังกัดทีม
รถยนต์อเนกประสงค์อย่าง SUV คือรถที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เพราะไม่ว่าถนนจะขรุขระหรือเป็นหลุมเป็นบ่อแค่ไหนก็สามารถพาเราผ่านไปได้ทุกที่ และจะเป็นอย่างไรถ้ารถ SUV ที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับการขับขี่บนทุกถนนกลายเป็นรถยนต์สุดหรูที่มีราคาสูงเกือบร้อยล้านบาท ด้วยฝีมือของแบรนด์รถยนต์น้องใหม่อย่าง Karlmann King Karlmann King คือรถยนต์ SUV ที่มีหน้าตาแหวกแนวรถ SUV ในแบบเดิม ๆ เกิดจากผลงานการดีไซน์โดยทีม Automobile Technology (IAT) ที่ออกแบบให้กับ Unique Club ซึ่งเป็นสำนักแต่งรถยี่ห้อ Ford และ Chevrolet ในประเทศจีน โดยจะผลิตรถยนต์หน้าตาดุดันอย่าง Karlmann King เพียงแค่ 12 คันเท่านั้น ในราคาสูงลิบถึง 2 ล้านดอลลาร์ ที่คิดเป็นเงินไทยราว 70 ล้านบาท การที่รถยนต์ SUV มีราคาสูงขนาดนี้ รวมถึง Karlmann King เป็นแบรนด์รถน้องใหม่ไร้ชื่อและประวัติที่บอกเล่าเรื่องราวอันยาวนานเหมือนกับแบรนด์รถยนต์สุดหรูเจ้าดังอย่าง Rolls-Royce ที่เพิ่งออกรถยนต์ SUV อย่าง Rolls-Royce Cullinan ไปเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความเป็นน้องใหม่แต่ออกรถยนต์ราคาสูงยิ่งกว่า
กล้าใช้คำว่า “ดุดันแต่ก็สวยงาม” ได้เต็มปากเต็มคำทีเดียว เมื่อเห็นรถยนต์ Sport Serie คันล่าสุดจากค่าย McLaren เจ้าของฉายา Longtail รุ่นห้าอย่าง McLaren 600LT Spider ที่มาในสไตล์เปิดประทุนซึ่งถูกพัฒนารูปแบบจาก McLaren 600LT ซึ่งเปิดตัวออกมาช่วงเดือนมิถุนายนของปีที่ผ่านมา แต่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง UNLOCKMEN จะพาชมไปพร้อม ๆ กัน เริ่มจากดีไซน์ภายนอก McLaren 600LT Spider ยังคงไว้ซึ่งดีไซน์จากรุ่น Coupe โดยตัวรถมีพื้นฐานความแข็งแกร่งจากโครงสร้างของแชสซีเฉพาะตัวอย่าง Carbon-Fibre MonoCell II Chassis อยู่ภายใต้รูปลักษณ์อันโค้งมน ส่วนที่อดพูดถึงไม่ได้ก็คือหลังคา Hard-Top ที่ระบบการทำงานเหมือนกับใน 570 Spider คือเปิด-ปิดได้ในความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมประตูแบบ Butterfly Door และท่อไอเสียคู่ตรงส่วนบนของรถก่อนถึงสปอยเลอร์หลัง รวมกันออกมาเป็นรูปลักษณ์ดุดันและลงตัวกับโมเดลเปิดประทุน ด้านขุมพลังใต้ฝากระโปรงของ McLaren 600LT Spider เป็นเครื่องยนต์ V8 ขนาด 3.8 ลิตร Twin-Turbocharged ให้กำลัง 592 แรงม้าทำงานควบคู่กับชุดเกียร์ 7-Speed Twin-Clutch transmission ที่สร้างอัตราการเร่ง
นอกจากรถยนต์มากมายที่ทยอยเปิดตัวใน Detroit Auto Show ไม่ว่าจะเป็น Toyota Supra (5th gen) หรือ Mustang Shelby 500GT ที่เป็นตัวแรงน่าโดนประจำงานแล้ว ภายอีเวนต์ยังขนของเล่นชิ้นใหญ่เอาใจชาว Truck Lover อย่าง Chevrolet Silverado ที่ผลิตจากเลโก้กว่า 300,000 ชิ้น มาตั้งอวดโฉมไว้ในงานอีกด้วย Chevrolet Silverado LEGO สเกล 1:1 เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Chevrolet, Lego และ Warner Bros ที่เริ่มโปรเจกต์แรกด้วยกันเมื่อปี 2017 ด้วย Batmobile LEGO โดยเป็นแบบจำลองเสมือนจริงที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก 2019 Chevrolet Silverado 1500 LT Trail Boss ในลุค Premium Truck สีแดงสด LEGO Silverado มีน้ำหนัก 3,307 ปอนด์ (1,500
เรียกได้ว่าสมการรอคอยสำหรับ New Mustang Shelby GT500 ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน Detroit Auto Show ไปหมาด ๆ พร้อมกับคำเปิดเผยจาก Ford ว่านี้จะเป็น “มัสแตงค์ที่แรงที่สุดของค่ายในเวลานี้” ด้วยขุมกำลังที่มาพร้อมแรงม้ามหาศาล Mustang Shelby GT500 (2020) เปิดตัวพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกที่ถูกพัฒนาใหม่ให้มีความดุดัน ด้วยกระจังหน้า 2 ช่องขนาดใหญ่ซึ่งจะสนับสนุนการทำงานของระบบ Aerodynamic และหมุนเวียนระบายความร้อนในระบบได้ดีขึ้นจาก Shelby GT350 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีบังโคลนขนาดใหญ่และ Diffuser ด้านหลังผลิตจากวัสดุที่สามารถระบายความร้อนได้ โดยทีมวิศวกรจาก Ford เคลมว่าอุโมงค์ลมที่เกิดจากการวิ่งของ Shelby GT500 (2020) นั้นสมบูรณ์แบบ ด้านภายในห้องโดยสารของ Mustang Shelby GT500 (2020) ก็ถูกออกแบบมาให้ป้องกันเสียงอย่างเงียบสนิท เริ่มจากแผงคอนโซลซึ่งผลิตจากเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์ เบาะผู้โดยสารจาก Recaro ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์เรื่องความนุ่มสบาย แต่ได้อารมณ์ของการเป็นรถสนามเต็ม ๆ แน่นอน นอกจากนี้แต่งเติมความหรูหราด้วยการตกแต่งด้านในของประตูด้วยหนังกลับ
ถือเป็นปีแห่งการแข่งขันสำหรับตลาดของรถสปอร์ต โดยเฉพาะสองค่ายยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น BMW ที่ปล่อย Z4 (G29) และ Toyota ที่ตัดสินใจหวนกลับมาผลิตตำนานที่เป็น Iconic ของค่ายอย่าง Supra (5th GEN) ออกมาอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือทั้งสองรุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นจากโรงงานเดียวกัน พร้อมข่าวลือสะพัดว่ามีการแชร์แพลตฟอร์มในการสร้างร่วมกันด้วย เพื่อคลายความสงสัยวันนี้เราจะมาเปรียบเทียบให้ชมกันว่าทั้งคู่นั้นมีจุดเหมือนและแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน BMW Z4 (G29) และ TOYOTA Supra (5th Gen) เปิดตัวออกมาในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน แต่ขณะเดียวกันทั้งสองก็มีความเหมือนก็คือการถูกย้ายฐานการผลิตออกจากบ้านเกิดตัวเอง ด้าน Z4 ไม่ได้ถูกผลิตขึ้นจากโรงงาน BMW ใน Dingolfing ประเทศเยอรมนี ส่วนทาง TOYOTA Supra (5th Gen) เองก็เป็นครั้งแรกที่สละแนวทางของความเป็นรถ Japan Domestic Market (JDM) ด้วยการย้ายฐานการผลิตจากโรงงาน Motomachi ใน Toyota City (ผลิต 4th Gen) ที่ควรใช้ผลิต Supra มาเข้าสายพานโรงงานเดียวกับ
Passion หรือ แรงบันดาลใจ คำพูดที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเอามาใช้เป็นตัวชี้วัดถึงความตั้งใจของคนเรา ซึ่งบางครั้งถูกใช้อย่างฟุ่มเฟือยจนหลายคนมองว่ามันก็เป็นแค่คำพูดเท่ ๆ ที่เอาไว้ใช้ตอบคำถามอย่างมีสไตล์ในกลุ่มคนที่ไม่เคยลงมือทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ เท่านั้น แต่สำหรับบางคนแล้วคำว่า Passion มีอยู่จริงแถมยังเป็นเหมือนก้อนพลังงานชั้นดีที่คอยกระตุ้นให้พวกเขาฟันฝ่าอุปสรรค รวมไปถึงคำดูถูกที่เคยได้รับมา เช่นเดียวกับเหล่า Collector และ Creator ประจำปี 2018 ทั้ง 5 คนที่ UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยรวมถึงรับฟังเรื่องราวของชีวิตที่ใช้ความหลงใหลเป็นแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อน สิ่งที่ทั้ง 5 คนมีเหมือนกันก็คือ พวกเขารู้ว่าตัวเองต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่กับอะไร จากนั้นจึงพลิกโจทย์ดังกล่าวมาเป็นแรงผลักดันจนในที่สุดก็สร้างชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการได้สำเร็จ มาย้อนฟังแนวความคิดและการใช้ชีวิตอันสุดโต่งจากกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางที่เลือกด้วยตัวเอง หวังว่าจะเป็นพลังที่ส่งต่อให้ผู้ชายทุกคนกล้าออกไปเสี่ยงกับความฝันของตัวเองดูสักครั้ง ในปีต่อไปที่กำลังจะมาถึง หมอโดม DOGTOR GARAGE ความหลงใหลคือการได้คืนชีพรถคลาสสิกให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง มองภายนอกอาจดูเหมือนกับผู้ชายที่ชื่นชอบในรถยนต์ทั่วไป แต่สำหรับ หมอโดม สุทธิพงษ์ ธีติปริวัติร์ แห่ง Dogtor Garage เป็นอะไรที่มากกว่านั้น เริ่มจากความชื่นชอบรถคลาสสิกมาตั้งแต่จำความได้ ด้วยเหตุผลว่ารถทุกคันมีความแตกต่างของตัวมันเอง แต่ละคันล้วนมีเอกลักษณ์และเรื่องราวที่สะท้อนวัฒนธรรมของยุคสมัยนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี แต่แน่นอนว่าการใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่หลงใหลในทุกวัน ๆ
หลังจากเปิดตัว 911 Carrera S และ Carrera 4S รหัสตัวถัง 992 ในโมเดล Coupe ออกมาให้ยลโฉมกันแล้วก่อนหน้านี้ ล่าสุดทาง Porsche ก็ได้เสนอทางเลือกในการเสียเงินให้กับแฟน ๆ ของค่ายด้วยโมเดลขาประจำอย่าง Cabriolet หรือในลุคเปิดประทุนออกมา ซึ่งจะมีฟังก์ชันอะไรแตกต่าง ๆ จากรุ่นก่อนหน้าบางไปชมกันเลย แม้จะเปิดตัวพร้อมกันในงาน Los Angeles Auto Show แต่ดูเหมือนทาง PORSCHE ตั้งใจจะปล่อย 911 Carrera S และ 911 Carrera 4S ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในโมเดล Cabriolet ออกมาตามหลังรุ่น Coupe โดยในสายการผลิตล่าสุด ทางค่ายตั้งใจออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับโมเดลดั้งเดิมในขนาดที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจทำให้แฟน ๆ ที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงของมันต้องผิดหวัง แต่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเสน่ห์ที่แบบเดิม ๆ จะต้องถูกใจอย่างแน่นอน ด้านขุมกำลังของ 911 CCarrera S Cabriolet
หนุ่ม ๆ ผู้หลงใหลในการขับขี่พาหนะ 2 ล้อโดยเฉพาะจากค่าย Harley-Davidson คงต้องเริ่มเตรียมเก็บเงินกันได้แล้ว เพราะในปี 2019 นี้จะเป็นศักราชใหม่ที่พวกเขาจะใช้เปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทรงสมรรถนะคันแรกของค่าย ที่หลายคนรู้จักกัน Livewire™ ออกมาในช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าทุกวันนี้พาหนะที่ใช้พลังงานทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคือหนึ่งในทางเลือกใหม่สำหรับหนุ่มผู้หลงใหลความเร็วทั้งหลาย ที่พร้อมใจหันมาเทคะแนนให้ความสนใจกันมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าช่วงหลายปีที่ผ่านบรรดาค่ายรถต่างพากันพัฒนารถในสายการผลิตของตัวเองสู่เส้นทางนี้มากขึ้น รวมถึง Harley-Davidson ที่ได้วางแผนรวมถึงเริ่มต้นสายการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของตัวเองตั้งแต่ปี 2014 จนในที่สุดโมเดลสมบูรณ์ของมันในชื่อ Livewire™ ก็พร้อมให้ทุกคนได้ทำความรู้จักแล้ว หลังจากพัฒนามาร่วม 4 ปี ในที่สุด Harley-Davidson ก็ถือโอกาสเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคันแรกของพวกเขาอย่าง Livewire™ ในงาน Milan Motocycle Show นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่ามีแผนจะวางขายมันโดยโซนแรกที่มีโอกาสได้สัมผัสความพิเศษก่อนใครเพื่อน คือโซนทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปบางประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม Harley-Davidson ก็ยังเก็บรายละเอียดสำคัญอย่างสเปคเครื่องยนต์เอาไว้และมีการเปิดเผยข้อมูลบางส่วนเท่านั้น Livewire™ มากับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดุดันตามปรัชญาดั้งเดิมของ Harley-Davidson ด้วยชุดเฟรมอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาแต่ทนทานกับรูปทรงที่ดูปราดเปรียวและอุปกรณ์ที่ทันสมัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผล LCD ขนาด 10.9 เซนติเมตร ซึ่งจะช่วยแสดงข้อมูลทั้งความเร็ว ระยะทาง และสถานะของแบตเตอรี่ รวมถึงสามารถให้เราใช้กำหนดโปรแกรมต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็น ระบบนำทางหรือเครื่องเล่นเพลงที่จะทำให้คุณมีความสุขไปกับการบิดในทุกเส้นทาง