เมื่อถึงคราวที่พระจันทร์ต้องขึ้นไปส่องสว่างแทนที่พระอาทิตย์ ความมืดมิดก็ค่อย ๆ เยื้องกรายเข้าปกคลุมท้องฟ้า และนั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่าชีวิตกลางคืนของผู้ชายอย่างเราได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่เป็นอีกวันที่เราโคตรเหน็ดเหนื่อยกับการทำงาน และกำลังมองหาเครื่องดื่มดี ๆ สักแก้วมาช่วยทุเลาความเหนื่อยล้านั้น ทันทีที่นึกได้ว่าแถว ๆ พร้อมพงษ์เหมือนจะมีบาร์เหล้าเปิดใหม่ เราก็ไม่รอช้าและรีบเดินทางไปยังที่นั่น แม้ต้องผ่านอุปสรรคที่เรียกว่าผังเมืองกรุงเทพฯ เจอกับความป่วยของการจราจร หรือแม้แต่เดินสวนกับฝูงชนที่พลุกพล่าน แต่เมื่อมาถึงร้าน ‘Alonetogether’ ดูเหมือนว่าความว้าวุ่นก่อนหน้ากลับหายไปเป็นปลิดทิ้ง ‘ALONETOGETHER’ บาร์ลับที่ชวนคนเหงามานั่งเมาไปด้วยกัน แม้บรรยากาศของย่านพร้อมพงษ์จะคึกคักและมีผู้คนสัญจรไปมาอย่างคับคั่ง แต่เมื่อก้าวเข้ามาในร้าน เรากลับรู้สึกได้ถึงความสงบ ความเป็นส่วนตัว และความลึกลับบางอย่างที่ทำเอาเราอยากเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล ‘Alonetogether’ เป็น Speakeasy Bar ที่มองเผิน ๆ แล้วอาจไม่รู้ว่ามันคือบาร์เหล้า เพราะหน้าร้านมีเพียงป้ายไฟสีขาวขนาดจิ๋วเท่านั้น แถมตัวร้านก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรมาก เหมือนกับซ่อนอยู่ในซอกหลืบเล็ก ๆ ของตึกแถวในย่านนี้ เมื่อผลักประตูร้านเข้าไปจะเจอกับทางเดินแคบ ๆ ที่ขนาบข้างกับเคาน์เตอร์บาร์ไม้ ทางเดินขนาดกะทัดรัดนี้จะพาคุณไปยังโถงดนตรีที่อยู่สุดทาง อันเป็นที่ตั้งของกองชุดและเปียโนสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งทุก ๆ วันพุธถึงวันเสาร์จะมีวงต่าง ๆ มาบรรเลงดนตรีแจ๊ส ตั้งแต่สามทุ่มครึ่งถึงเที่ยงคืน ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ตั้งใจจะสร้างบาร์เหล้าย้อนยุค เจ้าของร้านจึงเนรมิตห้องแถวขนาดจิ๋วให้กลายเป็นบาร์ร่วมสมัย ที่เน้นใช้วัสดุไม้และแสงเทียนเป็นพระเอกหลัก ไม่เพียงสร้างความอบอุ่นด้วยพื้นไม้ ผนังไม้ และเฟอร์นิเจอร์ไม้
เมื่อเริ่มชินชาและรู้สึกหวิวท้องหน่อย ๆ กับการนั่งดื่มเหล้าและจ้องมองวิวจากมุมสูงของตึกระฟ้า เราก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศพาหนุ่ม ๆ ชาว UNLOCKMEN ไปนั่งจิบค็อกเทลชิล ๆ กันดูบ้าง แม้หลายคนจะติดภาพว่า ‘อารีย์’ เป็นย่านที่มีร้านกาแฟมากมายและรวบรวมอาหารอร่อยเอาไว้แน่นเอี้ยด แต่หากคุณลองเดินเข้าไปในซอยอารีย์ 3 จะพบว่าย่านแห่งนี้ก็มีบาร์ค็อกเทลเท่ ๆ และบรรยากาศสบาย ๆ ที่ถูกใจผู้ชายอย่างเราด้วยเหมือนกัน ระยะทางไม่เกิน 550 เมตรจากสถานีบีทีเอสอารีย์ คุณก็จะพบกับ ‘Blacksmith’ บาร์เหล้าสุดเท่ที่รอต้อนรับคุณด้วยผนังทรงโค้งรูปเกือกม้าแบบโคโลเนียล (Colonial) ผสานพื้นผิวสีดำดิบแบบอินดัสเทรียลลอฟต์ (Industrial Loft) บวกแสงไฟสลัวที่ลอดผ่านมายังด้านนอก ช่วยสร้างบรรยากาศชวนหลงใหล และทำให้เราอยากเข้าไปนั่งละเลียดค็อกเทลจนหมดคืน BLACKSMITH บาร์ที่การออกแบบสองสไตล์ผสานกันอย่างลงตัว บาร์เหล้าแห่งนี้แบ่งเป็นสองชั้น ด้านบนเปิดเป็นคาเฟ่ (ตอนกลางวัน) เน้นเสิร์ฟเมนูกาแฟ เครื่องดื่มม็อกเทล และขนมโฮมเมด ส่วนตอนกลางคืน Blacksmith จะแปลงโฉมกลายเป็นบาร์เหล้าสุดเจ๋งที่เสิร์ฟครีเอตค็อกเทลพร้อมอาหารสไตล์ฟิวชั่นเลิศรส การออกแบบภายในร้านผสมผสานระหว่างสไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ (Industrial Loft) และโคโลเนียล (Colonial) เข้าด้วยกัน ดีไซน์โครงสร้างหลักด้วยเหล็ก ปูนเปลือย และพื้นปูนขัดมัน ใช้เพดานสูงและหน้าต่างกระจกบานกว้างที่ให้ความรู้สึกดิบ เถื่อน
‘เสียงหัวเราะ’ เป็นอีกหนึ่งสัญญาณความสุขที่พ่วงมากับรอยยิ้มโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว แล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่วยขับเคลื่อนความสุขแทบทุกอณูของชีวิตและปลอบประโลมหัวใจอ่อนแอของผู้ชายในวันที่เหนื่อยล้าและท้อแท้ได้อย่างดี หลังจากฟาดฟันกับกองงานมหึมามาร่วม 8 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าก็ค่อย ๆ ถาโถมเข้ามาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ระยะเวลาการทำงานจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ดูเหมือนอาการเหนื่อยล้าที่ว่ายังไม่ทุเลาลงสักนิด ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของเราตอนนี้ ดันไปประจวบเหมาะพอดีกับบรรยากาศโดยรอบของย่าน ‘พร้อมพงษ์’ เพราะที่นี่ทั้งแออัด วุ่นวาย และรีบเร่ง ไม่แปลกเลยถ้ามนุษย์ออฟฟิศในย่านนี้จะเหน็ดเหนื่อยหลังเลิกงาน แน่นอนว่าเราคงหมดหวังที่จะได้ยินเสียงหัวเราะจากย่านแห่งนี้ มาปลอบประโลมจิตใจในวันที่เราเองก็เหนื่อยล้าไม่แพ้กัน ท่ามกลางความวุ่นวายของย่านธุรกิจใจกลางเมืองหลวง น่าแปลกที่จู่ ๆ เราดันได้ยินเสียงหัวเราะดังกึกก้องมาจากซอยสุขุมวิท 26 ไม่รอช้า เราตัดสินใจเดินลัดเลาะไปตามถนนแสนร่มรื่นเส้นนี้ เพื่อหวังค้นหาต้นตอของเสียงหัวเราะ จนท้ายที่สุดเราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ‘SERIAL LAUGHTER’ บาร์เหล้าที่เป็นจุดเริ่มต้นของเสียงหัวเราะต่อเนื่องที่เราตามหา SERIAL LAUGHTER บาร์สงบส่วนตัวกลางใจเมืองที่วุ่นวาย Serial Laughter เป็นบาร์เหล้าที่ตั้งอยู่ใน Marigold ร้านอาหารไทยใต้จากเกาะสมุย ทั้งสองร้านถูกแบ่งโซนเพียงประตูบานเล็ก ๆ คั่นกลาง ใช้ผนังสีน้ำตาลผสมผนังกระเบื้องขาวโพลนเป็นหลัก สอดแทรกเฟอร์นิเจอร์หลากหลายสไตล์ มีโคมระย้าเป็นจุดกำเนิดแสงไฟที่จัดวางไว้กึ่งกลางโต๊ะอาหาร สร้างบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองด้วยโทนสีดินและพื้นปูนเปลือย ซึ่งเข้ากันดีกับสไตล์อาหารไทยของทางร้าน ส่วนบาร์เหล้า Serial Laughter นั้นดีไซน์มาให้มีขนาดกะทัดรัด เพื่อให้เข้าถึงง่ายและสร้างสเปซเล็ก ๆ ให้แขกรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว
‘ดนตรี’ เกิดจากจังหวะ ท่วงทำนอง และคำร้องที่ผนวกรวมกันจนเกิดเป็น ‘เครื่องมือ’ ที่มนุษย์ใช้เพื่อระบายความทุกข์ บำบัดความกังวล หรือแม้แต่บันดาลความสุขของบางคน แล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่าดนตรีนั้นสอดแทรกอยู่ในแทบทุกอณูชีวิตของผู้ชายเราเสมอ บางครั้งดนตรีอาจทำให้คุณดำดิ่งลงไปในห้วงอารมณ์ปัจจุบัน บ้างก็พาเตลิดไปยังอนาคตและยั้งคิดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิด แต่สำหรับ LENNON’S บาร์เหล้าย้อนยุคแห่งนี้ ดนตรีเปรียบดั่งขุมพลังมหาศาลที่มีอำนาจมากพอจะพาคนเคลื่อนย้ายและย้อนเวลาไปยังอดีต เสียงเพลงเก่าแก่จากเครื่องเล่นโบราณกำลังพาเหล่าสุภาพบุรุษกลับไปยังยุค 70s ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นยุคเฟื่องฟูที่สุดของดนตรีอีกครั้ง LENNON’S – ROSEWOOD BANGKOK แวบแรกที่ก้าวออกจากลิฟต์ราวกับหลุดเข้ามาอีกโลกที่ไม่คุ้นตา แต่รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ยืนคิดอยู่สักพักก็พอนึกออกว่าแท้ที่จริงแล้วเราย้อนกลับมายังยุค 70s อันเป็นยุคที่แผ่นเสียงไวนิลและเทปคาสเซ็ทกำลังรุ่งเรือง ตามตู้เก่าถูกประดับประดาด้วยแผ่นไวนิลกว่า 6,000 แผ่น เข้าแถวเรียงรายและรอต้อนรับเราตั้งแต่ก้าวแรกที่มาเยือน แล้วคาดว่าบาร์แห่งนี้คงเป็นคลังเสียงระดับพรีเมียม ที่รวมคอลเลกชันไวนิลไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย ความรักในดนตรี และ NOSTALGIA แห่งยุค 70s ด้วยฝีมือของบริษัทออกแบบภายในชื่อดังระดับโลกอย่าง AvroKO ช่วยรังสรรค์พื้นที่เล็ก ๆ ของย่านเพลินจิตให้กลายบาร์เหล้าสุดเท่ควบช็อปไวนิลทรงเสน่ห์น่าหลงใหล LENNON’S ถูกดัดแปลงให้เป็นช็อปเล็ก ๆ ที่หนุ่ม ๆ ผู้หลงรักเสียงดนตรีสามารถมาเลือกชอปแผ่นเสียงไวนิลและเทปคาสเซ็ทได้ตามชอบ การตกแต่งร้านเน้นหนักวัสดุไม้ หินอ่อน และชูความโดดเด่นของโคมระย้าที่ได้แรงบันดาลใจจากแผ่นเพลง สะท้อนความเป็น art deco
หากกำลังตามหาร้านนั่งชิลพร้อมบรรยากาศเป็นส่วนตัวท่ามกลางเมืองหลวงที่พลุกพล่านและวุ่นวาย ที่ที่ UNLOCKMEN จะพาไปวันนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง เพราะนอกจากคุณจะได้ดื่มด่ำค็อกเทลที่หนักแน่นและแปลกใหม่ บาร์แห่งนี้ยังเป็นเหมือนพื้นที่ส่วนกลางรอให้เราได้พบปะผู้คน เพื่อพูดคุย เพื่อแลกเปลี่ยน หรือเพียงเพื่อละเลียดบรรยากาศเงียบ ๆ ไปด้วยกัน บาร์ที่เราพูดถึงคือ Middle Bar ที่ตั้งอยู่บนชั้นสองของ Blue Bye Cafe ณ ซอยสุขุมวิท 36 ที่ที่คุณจะได้ลิ้มรสค็อกเทลเคล้าบรรยากาศที่ผู้ชายจะต้องหลงรัก ทันทีที่พาตัวเองมาถึง Middle Bar เราจะเจอคาเฟ่ด้านล่างก่อน ถ้ารอไม่ไหว อยากดื่มค็อกเทลใจจะขาดก็แนะนำให้เดินขึ้นมาที่ชั้นสองได้เลย แต่ถ้ามาหลังสองทุ่มเป็นต้นไปคาเฟ่ด้านล่างจะปิดทำการ เราจะต้องกดกริ่งหน้าบ้านเพื่อให้คุณตั้มผู้เป็นเจ้าของร้านเดินลงมารับ เช่นเดียวกับเวลากลับคุณตั้มก็จะลงมาส่งด้านล่าง ถือเป็นความใส่ใจเล็ก ๆ แต่กลับทำให้เราประทับใจได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ เรามีโอกาสสนทนากับคุณตั้มหนึ่งในเจ้าของร้าน Middle Bar ถึงได้รู้ว่าก่อนจะมาเปิดบาร์ค็อกเทล คุณตั้มเคยเป็นทั้งช่างภาพ ทั้งเปิดร้านเสื้อผ้าวินเทจและเป็นเจ้าของคาเฟ่ชั้นล่างด้วย คุณตั้มเล่าว่าจุดเริ่มต้นของบาร์มาจากความเป็นคนชอบดื่ม ยิ่งเมื่อไปหลายร้าน ก็จะเห็นอะไรใหม่ ๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขา เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งเลยอยากเปิดร้านเป็นของตัวเองเพราะจะได้ดื่มในที่ของตัวเอง จึงเป็นที่มาของชื่อร้านอย่าง Middle Bar เพราะอยากให้ที่นี่เป็นพื้นที่กลางให้ทุกคนมาเจอกัน เมื่อเราถามถึงนิยามของ Middle Bar ว่าที่นี่ถือว่าเป็นบาร์สไตล์ไหน ก็ได้คำตอบที่น่าสนใจกลับมาว่า
JOSH HOTEL คือโรงแรมเล็ก ๆ แต่มีความน่ารักในตัวเองสูง เหมือนหลุดมากจากภาพยนตร์ของ Wes Anderson ซ่อนตัวอยู่ในความเงียบสงบของย่านอารีย์ ซึ่งครั้งหนึ่ง UNLOCKMEN เคยพาไปเยี่ยมชมกันมาแล้ว (ย้อนชมความโดดเด่นของ JOSH HOTEL ที่นี่) วันนี้เรามีโอกาสได้กลับไปเยือน JOSH HOTEL อีกครั้ง แต่ด้วยจุดประสงค์ที่ต่างไปจากเดิม เราได้ข่าวมาว่าที่นี่ปรับปรุงพื้นที่บางส่วนกลายเป็นบาร์ที่มีคอนเซ็ปต์แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เราจึงอยากพิสูจน์ความแปลกใหม่นั้นด้วยตัวเอง เราเดินทางมาถึง JOSH HOTEL ในช่วงเย็น ตึกสีสันน่ารักมีท้องฟ้า Vanilla Sky เป็นฉากหลังยังทำให้เราตื่นตาตื่นใจเสมอ เมื่อเราเดินเข้าในส่วนล็อบบี้ การจะเข้าไปใน ‘The Key’ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ได้นั้นเราต้องไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์เสียก่อน แล้วจะได้คีย์การ์ดผ่านประตูมา เป็นกิมมิคเล็ก ๆ ที่สร้างสรรค์และเหมาะกับชื่อ The Key ได้คีย์การ์ดมาแล้ว ห่างจากเคาน์เตอร์เช็คอินไปไม่กี่ก้าว มีประตูสีแดงบานใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ และที่นั่นแหละคือทางเข้าสู่ The Key หลังจากที่เราแตะบัตร ประตูก็จะเปิดออก สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเราคือบาร์เล็ก ๆ สไตล์ Speakeasy เรียบหรู ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องลับที่ไหนสักแห่ง เรานั่งลงที่บาร์ก่อนจะเริ่มพูดคุยกับผู้ให้ข้อมูลและบาร์เทนเดอร์โดยมีเสียงเพลงแจ๊สเป็น Ambient
Whiskey, Vodka, Rum, Tequila ชื่อของประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหล่านี้เชื่อว่าคนไทยคงรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ส่วน Gin หรือ จิน หลายคนอาจจะเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง แต่เชื่อว่าคงมีน้อยคนที่จะรู้ว่ามันคืออะไร? มีที่มายังไง? UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักเอง เพราะพวกเราต้องดื่มแบบมีความรู้! ย้อนกลับไปในยุคศตวรรษที่ 16 ณ ดินแดนฮอลันดาหรือปัจจุบันคือประเทศเนเธอร์แลนด์นั่นเอง เป็นยุคที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทต่าง ๆ แพร่หลายและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนกระทั่งวันหนึ่งผู้คนก็เริ่มเบื่อหน่ายกับน้ำเมาประเภทเดิม ๆ จึงพยายามคิดค้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ขึ้นมาด้วยการนำผลไม้ท้องถิ่นอย่าง ‘ผลจูปิเตอร์’ มาหมักร่วมกับ วิสกี้ ข้าวไรย์ และ ข้าวบาเล่ย์ ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเครื่องดื่มรสชาติดีชนิดใหม่ ผู้คนเรียกเครื่องดื่มประเภทนี้ว่า ‘ดรายจิน’ (Dry Gin) ต่อมาดรายจินได้รับความนิยมข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนถึงแผ่นดินอังกฤษ และด้วยความช่างประยุกต์ของชาวผู้ดีจึงได้เพิ่มส่วนผสมอย่างเปลือกส้ม, ยี่หร่า, หวายเทศ, เมล็ดอัลมอนด์ เพื่อความหอมและความหวานที่มากขึ้น จนกลายมาเป็นเหล้าจินซึ่งได้รับความนิยมผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบัน อ่านมาถึงตรงนี้ อาจเริ่มกลืนน้ำลาย วันนี้เราจึงรวบรวม 5 Gin Bars ที่หลบซ่อนอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของเมืองกรุงให้ทุกคนได้เลือกไปดื่มด่ำกับจินกันให้เต็มที่ จะมีร้านไหนกันบ้างไปดูกันเลย! Teens