หากเอ่ยถึงชื่อ Speedmaster หนึ่งในซีรีส์นาฬิการะดับไอคอนิกจาก OMEGA เชื่อว่าบรรดาผู้หลงใหลในเรือนเวลาส่วนใหญ่คงมีภาพจำถึงเรื่องราวการประกาศศักดาให้โลกจารึกในฐานะ Moonwatch นาฬิกาที่ถูกสวมโดยนักบินอวกาศ Neil Armstrong และ Buzz Aldrin ผู้ฝากรอยเท้าเล็ก ๆ ที่สุดแสนจะสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติลงบนพื้นผิวดวงจันทร์ในเดือนกรกฎาคม ปี 1969 แต่สำหรับสาวก Speedmaster อีกจำนวนไม่น้อยคงรู้กันดีว่า เดิมทีนาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อพิชิตดวงจันทร์ หากแต่ชื่อ Speedmaster ยังประกาศก้องถึง DNA แห่งความเร็วที่ชัดเจนเข้มข้นจนแทบไม่ต้องเสียเวลาตีความ นับย้อนไปตั้งแต่ปี 1957 ช่วงเวลาที่ปฐมบทของเรื่องราวแห่ง Speedmaster จาก OMEGA ได้เริ่มต้นด้วยเรือนเวลาที่มาพร้อมเข็มบอกทิศทางแบบ Broad Arrow รูปทรงหัวลูกศรสุดโดดเด่น และยังเป็นนาฬิกาข้อมือ Chronograph แบบแรกที่นำสเกล Tachymeter หรือมาตรวัดความเร็วมาไว้บนขอบตัวเรือน เพื่อจุดประสงค์สำหรับใช้งานในวงการ Motorsport เรียกได้ว่าก่อนจะไปโลดแล่นบนดวงจันทร์ เหล่านักแข่งรถ ช่างเทคนิค รวมถึงทีมงานในสนามประลองความเร็ว ต่างก็เคยประทับใจในความทนทาน, ประสิทธิภาพ รวมถึงงานดีไซน์ของ Speedmaster มาแล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้ชื่อของ Speedmaster
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ ตอนนี้ ชื่อของ ALBA แบรนด์นาฬิกาดีไซน์สวยที่มีจุดเด่นเรื่องราคาจับต้องได้ภายใต้คุณภาพการผลิตที่การันตีโดยแบรนด์เรือนเวลาชั้นนำของญี่ปุ่นอย่าง SEIKO กำลังเป็นที่จับตามองด้วยคอลเลกชั่นเท่ ๆ มากมายที่ทยอยเปิดตัวออกมาภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “The Reflection Of Japan” ซึ่งแต่ละรุ่นแต่ละคอลเลกชั่นนั้นล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นโดนใจ ด้วยงานดีไซน์ที่สะท้อนถึงคุณภาพความเป็น Japan Product กับนาฬิกาแนว Sport Style ที่หนุ่ม ๆ อย่างเราสามารถหยิบมาสวมใส่ได้ในทุกโอกาส ล่าสุดทาง ALBA ก็ได้เผยโฉมอีกหนึ่งคอลเลกชั่นใหม่ซึ่งยังคงคอนเซ็ปต์ความเท่ที่สะท้อนจิตวิญญาณญี่ปุ่นออกมาได้เป็นอย่างดี กับ ALBA Monster Thailand Creation ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรือนเวลารุ่นยอดนิยมของรุ่นพี่อย่าง SEIKO ที่ได้รับการขนานนามจากเหล่านักสะสมว่า Monster ด้วยความแข็งแรงบึกบึนของตัวเรือน และดีไซน์ที่ดูแปลกตาแต่มีเสน่ห์ครองใจผู้คนมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่การเปิดตัวในปี 2000 และ Monster ที่ถูกตีความภายใต้ชื่อ ALBA Monster Collection นั้น เป็นการนำเอาเอกลักษณ์ระดับไอคอนิก มาร้อยเรียงเรื่องราวและดีไซน์ใหม่ ซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาผ่านนาฬิการะบบอัตโนมัติ 3 รุ่น 3 สไตล์ ที่ยังคงความโดดเด่นเอาไว้แบบครบ ๆ ทั้งในเรื่องขนาดตัวเรือนกำลังเข้าข้อที่ 42.4
Franck Muller ร่วมฉลองครบรอบ 50 ปี กับบริษัท Cortina Watch หนึ่งในบริษัทด้านการค้าปลีกนาฬิกาและเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของสิงคโปร์ โดยได้เปิดตัวคอลเล็กชั่นนาฬิการุ่นพิเศษ Vanguard Revolution 3 Skeleton ซึ่งประกอบไปด้วย 5 รุ่นย่อย ที่ได้รับการออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นรุ่นที่ผลิตออกมาในจำนวนจำกัด นอกจากนี้ในเดือนที่ผ่านมายังได้มีการจัดแสดงคอลเล็กชั่นนาฬิกาที่เป็นสุดยอดของการประดิษฐ์นาฬิกาจากอัญมณีชั้นสูง และเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนแห่งความหรูหราของ Haute Horlogeries ซึ่งเป็นการนำเอารุ่นพิเศษอย่าง ทูร์บิญอง (Tourbillions) แบบสามเข็ม ประดับด้วยอัญมณีล้ำค่า และได้นำเอาเพชรพลอยที่ได้คัดสรรมาอย่างดีเยี่ยมเพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่น่าค้นหา นาฬิกา Vanguard Revolution 3 Skeleton อันเป็นเอกลักษณ์ทั้ง 5 รุ่นนี้ ได้รับการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันโดยช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ที่ Watchland ในเจนีวา เพื่อรำลึกถึงความร่วมมืออันล้ำค่าระหว่าง Franck Muller และ Cortina Watch รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ที่โดดเด่นและจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิกของ Franck Muller โดย มร. เจเรมี ลิม CEO ของ
หากเอ่ยถึงชื่อ Speedmaster ’57 แฟน ๆ OMEGA หลายคนน่าจะรู้กันดีว่านี่คือเรือนเวลาที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อสะท้อนความเป็น Sport and Racing Watch ของตระกูล Speedmaster ซึ่งส่งต่อตำนานการบอกเวลาอันยอดเยี่ยมมาตั้งแต่ปี 1957 ล่าสุด OMEGA ก็พร้อมเผยโฉมรุ่นใหม่จากคอลเลคชั่น Speedmaster ’57 และยังได้นักแสดงชื่อดังจากสองฝั่งทวีปทั้ง ‘จอร์จ คลูนีย์’ และ ‘ฮยอนบิน’ มาร่วมกันเฉิดฉายในโฆษณาเรือนเวลาคอลเลคชั่นนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าทั้งคู่คือส่วนผสมที่เติมเต็มภาพลักษณ์ทั้งสองด้านของโครโนกราฟอันโด่งดัง คลูนีย์สื่อถึงสไตล์ที่คลาสสิกและตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับแคมเปญ อีกทั้งเป็นการตอกย้ำถึงสายสัมพันธ์ที่เขามีมาอย่างยาวนานกับ OMEGA ในขณะที่ดาราดาวรุ่ง ฮยอนบิน นั้นมาด้วยความเท่และจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยใหม่ที่ประกาศก้องถึงการพัฒนาของ Speedmaster ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับนาฬิกา Speedmaster ’57 ที่เป็นตัวแทน DNA การออกแบบดั้งเดิมของ Speedmaster ที่เผยโฉมเมื่อปี 1957 ซึ่งถือกำเนิดมาสำหรับนักแข่งรถและช่างเครื่องรวมถึงทีมงานในสนามประลองความเร็ว เพื่อเป็นการรำลึกถึงต้นกำเนิด คอลเลคชั่น Speedmaster ’57 จึงประกอบไปด้วยนาฬิกาถึงแปดรุ่นใหม่ที่นำเสนอสไตล์ที่เพรียวบาง, หน้าปัดหลากสีสัน, สายนาฬิกาโลหะแบบวินเทจ รวมถึงกลไก Co-Axial Master Chronometer 9906 ชั้นเลิศ
L’Epee เป็นแบรนด์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Desk Clock มีชื่อเสียงด้านความคราฟต์ในการสร้างสรรค์ผลงานเรือนเวลาที่ฉีกกรอบความเชื่อมามากกว่า 180 ปีจาก Switzerland และนี่คือผลงานชิ้นใหม่ที่น่าจะถูกใจคนรัก Sports car แบบพวกเราแน่นอน L’Epee Fast Track II Desk Clock นาฬิกาตั้งโต๊ะใน Time Fast series ล่าสุด สร้างสรรค์บนแรงบันดาลใจจากดีไซน์รถแข่งจากยุค 1960s เป็น ยุคทองของรถแข่งที่โดดเด่นทั้งดีไซน์และสมรรถนะ เป็น race car สองที่นั่งคาดลาย Le Mans บอดี้ของนาฬิกาผลิตจากวัสดุเดียวกับที่ใช้ผลิตรถแข่งคันจริง ตัวกลไกแยกอิสระสองเครื่อง กลไกแรกอยู่ในตำแหน่งคนขับ เป็นเครื่อง 8-day movement 2.5 Hertz ปรับเวลาทั้งชั่วโมงและนาทีที่แสดงผลในห้องเครื่อง V8 ด้วยพวงมาลัย 3 ก้านในห้องโดยสาร ส่วนอีกกลไกทำหน้าที่สร้างความเคลื่อนไหวให้ลูกสูบขยับขึ้นลงได้โดยไม่เกี่ยวกับการบอกเวลา สั่งการด้วยกุญแจรถและเกียร์ภายในห้องโดยสาร ทั้งหมดถูกวางอยู่ในโครงสร้างที่ขึ้นรูปด้วย H-chassis แบบเดียวกับที่ใช้สร้างรถแข่งในยุค 1960s ด้วย และล้อลายซี่ลวดทั้ง 4
การกลับมาอีกครั้งของเรือนเวลาสไตล์เรโทรรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่ถือเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ของ “มิโด” (MIDO) “มัลติฟอร์ต พาวเวอร์วินด์ โครโนมิเตอร์” (Multifort Powerwind Chronometer) จากตระกูลมัลติฟอร์ต (Multifort) ถูกผลิตออกมาเพียงแค่ 1954 เรือนเท่านั้น เพื่อเป็นการรำลึกถึงรุ่นพาวเวอร์วินด์ (Powerwind) ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 1954 และได้ปฏิวัติวงการนาฬิกาด้วยการเคลื่อนไหวที่แม่นยำและเที่ยงตรงที่สุดของ “มิโด” (MIDO) ในขณะนั้น โดยล่าสุดในปี 2022 นี้ “มิโด” (MIDO) ได้หยิบยกเรือนเวลาระดับตำนานขึ้นมาสร้างสรรค์ใหม่อีกครั้งด้วยการเพิ่มเทคโนโลยีร่วมสมัยที่ดีที่สุด ให้นาฬิกามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น พร้อมดีไซน์สุดคลาสสิกที่ผสานกลิ่นอายของความวินเทจเอาไว้ได้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีน้ำเงินมิดไนท์ บลู (Midnight Blue) ซึ่งเหมาะสำหรับนักสะสมที่หลงใหลความวินเทจเป็นอย่างดี “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน (Georges Schaeren) เริ่มก่อตั้งบริษัท MIDO G.Schaeren & Co. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ.
สืบเนื่องมาจากภาพของหนึ่งในท่านผู้นำของประเทศละแวกบ้านเราสวมนาฬิกาหรูแบรนด์ไฮเอนด์ที่มีราคาเหยียบหลักล้าน ก็เลยทำให้โลกโซเชียลหันมาให้ความสำคัญกับ นาฬิกาข้อมือ จนกลายเป็นการเปิดหูเปิดตาจนทำให้รู้ว่าโลกของเรานั้นยังมีนาฬิกาที่เป็นไอคอนของแบรนด์และบุคคลอีกมากมายหลายรุ่นไม่ใช่เฉพาะแค่ Rolex อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ เป็นเหมือนนาฬิการุ่นดังที่คนทั่วโลกชื่นชอบและใฝ่ฝัน เรามาดูกันครับว่าส่วนหนึ่งของนาฬิกาที่เป็นไอคอนนั้นมีอะไรกันบ้าง Rolex Submariner & Date Just เมื่อพูดถึงเครื่องบอกเวลาสุดคลาสสิคก็คงต้องเริ่มด้วย Submariner ที่ Rolex ทำขายครั้งแรกในปี 1954 ถือเป็นรุ่นที่ปฏิวัติวงการนาฬิกาข้อมือทั้งโลกเลยก็ว่าได้ ในตอนแรก Submariner ไม่ได้จัดเป็นไลน์ Luxury แต่อย่างใด ผลิตมาเพื่อตอบโจทย์การดำน้ำโดยเฉพาะ แต่เมื่อนานวันเข้า จากปากต่อปากและไอคอนบนโลกนี้อย่าง Steve McQueen ที่ใส่จนมันกลายเป็นสถานะความเท่บนตัวสุภาพบุรุษ เมื่อมาถึงปลายยุค 80’s ที่ Rolex กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรามั่งคั่ง รุ่นที่ฮิตที่สุดของพวกเขาก็คือ Submariner นี่ล่ะ เอกลักษณ์ของมันคือความทนทาน และเป็นนาฬิกาทรง Sports ที่สมบูรณ์แบบ ทั้งดีไซน์และการใช้งาน ทุกวันนี้รูปทรงของมันก็ยังคงร่วมสมัย มีหน้าปัดขนาด 40มม. ให้เลือกทั้งสีเงิน สีทองและทองขาว 18K ใส่ได้กับผู้ชายทุกสไตล์ (หรือผู้หญิงบางคนก็ใส่ได้เช่นกัน) หาก Submariner คือตัวแทนความสปอร์ตจาก
หากจะบอกว่าปีนี้เป็นปีของ ALBA ก็คงไม่ผิดนัก เพราะแบรนด์น้องที่ถ่ายทอด DNA เรือนเวลาคุณภาพมาตรฐานญี่ปุ่นจาก SEIKO ซึ่งโดดเด่นเรื่องดีไซน์ คุณภาพ ที่พร้อมให้ทุกคนสัมผัสได้อย่าง ALBA ยังคงเดินหน้าเปิดตัวนาฬิกาคอลเลกชั่นใหม่ ให้แฟน ๆ ได้ติดตามอัพเดทสไตล์เท่ที่เป็นตัวเองได้ไม่รู้จบ เพราะล่าสุด ALBA ได้เผยโฉมน้องใหม่ ALBA Nami / Yama ที่ยังคงความพิเศษในฐานะ Thailand Creation ซึ่งมีวางจำหน่ายเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น สำหรับคู่หู New ALBA Gent Thailand Creation สองสีใหม่ ยังคงไว้ซึ่งคอนเซ็ปต์ The Reflection of Japan สะท้อนภาพจิตวิญญาณญี่ปุ่น และคุณภาพระดับ Japan Product ออกมาภายใต้รูปลักษณ์นาฬิกาสปอร์ต ได้อย่างชัดเจน และความพิเศษสำหรับ ALBA Nami / Yama คืองานดีไซน์ที่ล้ำสมัย แต่มีกลิ่นอายที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตำนานนาฬิกาดำน้ำยอดนิยมของไซโกในยุค 1960 พร้อมผสานไอเดียคอนเซ็ปต์ของทะเลและภูเขาเข้ามา จึงเป็นที่มาของชื่อเล่นภาษาญี่ปุ่นสำหรับเรียกแทนตัวนาฬิกาทั้งสองเรือนนี้ โดย NAMI
ประเทศญี่ปุ่น ขึ้นชื่อเรื่องการทำงานหามรุ่งหามค่ำ หลายปีที่ผ่านมามีความพยายามแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือการออกข้อห้ามไม่ให้บริษัทสั่งพนักงานทำงานเกินเวลาที่กำหนด แต่บางครั้งการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุก็เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป สำหรับคนที่งานก็ต้องทำ แต่ก็ง่วงจนจำเป็นต้องนอนสักงีบ บริษัท Itoki Corp ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิต furniture ร่วมมือกับบริษัท Koyoju Gohan KK จาก Hokkaido จับมือร่วมกันพัฒนาโปรเจค “Nap Box” ตู้สำหรับยืนนอนที่อยู่ในช่วงพัฒนาและจะผลิตออกมาจริงในอนาคต เหตุผลที่ต้องทำเป็นตู้สำหรับยืนหลับ เพราะในประเทศญี่ปุ่นนั้นต้องออกแบบทุกอย่างให้ประหยัดพื้นที่เป็นอันดับแรก ซึ่งหากออกแบบให้นอนได้สบาย ก็จะช่วยให้พนักงานไม่ต้องไปแอบนั่งหลับในห้องน้ำหรือโต๊ะกินข้าว ซึ่งเป็นการนอนที่ไม่สะดวกสบาย และไม่ถูกสุขลักษณะเลย Nap Box ออกแบบการยืนหลับโดยได้แรงบันดาลใจจากนกฟลามิงโก ภายในถูกออกแบบให้รักษาตำแหน่งศีรษะ เข่า และหลัง อยู่ในท่าทางที่สบายที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งจะช่วยประคองไม่ให้คนหลับล้มลงมาได้ด้วย ซึ่งจุดประสงค์การนอนใน Nap Box คือการงีบหลับแบบ power naps ในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่าช่วยให้ตื่นตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ด้วยเจตนา ก็พอจะเข้าใจได้ แต่ในความเป็นจริง ใครจะกล้าเข้าไปยืนหลับในตู้นี้จริงหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องลองเท่านั้นถึงจะรู้
นับตั้งแต่การเปิดตัวของนาฬิกา Seiko 5 Sports ในปี 1968 โลกก็ได้รู้จักกับ เรือนเวลาจักรลที่เป็นตัวแทนของความทนทาน และคุณค่าด้านประสิทธิภาพที่ไว้ใจได้ มาอย่างยาวนานกว่า 54 ปี จวบจนปัจจุบัน โดยเลข “5” ในชื่อรุ่นเป็นสิ่งแสดงถึงคำมั่นสัญญาว่านาฬิกา Seiko 5 ทุกเรือนจะมาพร้อมคุณสมบัติหลัก 5 ประการ ดังนี้ เครื่องระบบอัตโนมัติ, ฟังก์ชั่นวันและวันที่บริเวณ 3 นาฬิกา, ระบบกันน้ำ, เม็ดมะยมบริเวณ 4 นาฬิกา และ ตัวเรือนรวมถึงสายที่มีความแข็งแรงทนทาน จากคุณสมบัติเหล่านี้ ส่งผลให้ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อของ Seiko 5 Sports นาฬิกาสปอร์ตสัญชาติญี่ปุ่น ได้สร้างประวัติศาสตร์รับความนิยมในระดับนานาชาติในฐานะนาฬิกาที่สามารถ “ไปได้ทุกที่” โดดเด่นทั้งประสิทธิภาพครบครันและดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครในราคาที่คุ้มค่า อีกทั้งจุดเด่นเหล่านี้ยังได้ถ่ายทอด DNA ความแข็งแกร่งสู่คอลเลคชั่นใหม่ของ Seiko 5 Sports ที่กลับมาในปี 2019 ซึ่งได้มีการเพิ่มความกระตือรือร้นและพลังแห่งการขับเคลื่อนอันทันสมัยลงไป พร้อมเปิดตัวรุ่นพิเศษออกมามากมาย ทั้ง Thailand Limited Edition / Street Fighter