คงปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อชั้นกิตติศัพท์ในเรื่องคุณภาพ รวมถึงชื่อเสียงด้านนวัตกรรมการบอกเวลาที่เที่ยงตรงแม่นยำ คือสิ่งตอกย้ำภาพเรือนเวลาแห่งความภาคภูมิใจของชาวเอเชียให้กับแบรนด์ Seiko (ไซโก) ได้เป็นอย่างดี และต้องบอกว่าเกียรติประวัติเหล่านี้ใช่ว่าจะได้มาง่าย ๆ ในระยะเวลาอันสั้น แต่มันเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมพัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 140 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ Seiko ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 โดย Kintaro Hattori (คินทาโร ฮัตโตริ) ชายหนุ่มวัย 21 ปี ที่นำเอาความตั้งใจ ความรักและความหลงใหลในกลไกบอกเวลามาใช้เป็นแรงผลักดันในการรังสรรค์นาฬิกาคุณภาพสูงจนก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทนาฬิกาชั้นนำในญี่ปุ่น เป็นศูนย์กลางในการออกแบบและมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง ตลอดระยะเวลา 50 ปีแรกภายใต้การคุมหางเสือของ Kintaro Hattori คือรากฐานสำคัญในการพาชื่อ Seiko ทะยานสู่ความเป็นแบรนด์นาฬิกาอันดับต้น ๆ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน และถือเป็นความสำเร็จที่ต่อยอดมาจากวิสัยทัศน์เพียงหนึ่งเดียวที่เขายึดมั่น นั่นคือ “One step ahead of the rest” หรือ “การที่ต้องนำหน้าคู่แข่งอยู่ 1 ก้าวเสมอ” โดยคำกล่าวของ Kintaro Hattori ได้ฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของแบรนด์ และเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของ
ตำนานแห่ง Ventura ถือกำเนิดขึ้น เมื่อ Hamilton ได้สร้างนาฬิกาที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เรือนแรกของโลกขึ้นในปี 1957 ซึ่งกลายมาเป็นนาฬิกาแห่งโลกอนาคต ราวกับนิยายแนววิทยาศาสตร์ได้กลายมาเป็นจริง ภายใต้ตัวเรือนทรงสามมุมที่สะดุดตา พร้อมดีไซน์คลื่นไฟฟ้าบนหน้าปัดได้พลิกโฉมวงการนาฬิกาของโลกไปตลอดกาลนับตั้งแต่นั้นมา นาฬิการุ่นตำนานอันล้ำยุคอย่าง Ventura กลับมาพร้อมดีไซน์ใหม่ล่าสุดในชื่อ ‘Ventura Elvis80 Skeleton’ ภายใต้การตีความความคลาสสิกของ Ventura ในรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างสรรค์รูปลักษณ์ที่ทันสมัยอย่างรูปทรง Elvis80 ซึ่งเป็นรูปทรงที่ได้รับการตั้งชื่อตาม Elvis Presley ผู้ที่ถือเป็นแฟนตัวยงของนาฬิกา Ventura Ventura Elvis80 Skeleton กลายมาเป็นนาฬิการะบบอัตโนมัติแทนระบบไฟฟ้า ซึ่งได้สร้างนิยามใหม่ให้กับการผลิตนาฬิกาในทุกมิติ ด้วยกลไกอันโดดเด่นที่ปรากฏบนหน้าปัด โดยหน้าปัดเปลือยของตัวเรือน Ventura Elvis80 Skeleton เผยให้เห็นกลไก H-10-S สุดล้ำ พร้อมการตกแต่งที่โฉบเฉี่ยวแบบ Côtes de Genève มาพร้อมการสำรองพลังงานถึง 80 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าเราได้ผสานอดีต ปัจจุบันและอนาคตเข้าด้วยกัน โดยยังคงไม่ทิ้งรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Ventura ด้วยดีไซน์คลื่นไฟฟ้าที่ถูกนำเสนอผ่านลายซิกแซ็กบนโครงสร้างหน้าปัดแบบเปลือยหรือโครงกระดูก (skeleton) Ventura Elvis80
หากเอ่ยถึง ‘ทองหล่อ‘ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนึกถึงพื้นที่ที่มีสีสันที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พื้นที่ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดศูนย์รวมแหล่งไลฟ์สไตล์อันหลากหลายเอาไว้บนถนนเส้นนี้เส้นเดียว แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองได้เป็นอย่างดี และในวันนี้คอลัมน์ Masterpiece จะพาชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปพบกับ Noble Form Thonglor (โนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ) คอนโดมิเนียมระดับ Flagship โครงการใหม่ล่าสุดใจกลางทองหล่อ ที่รวมเอาฟอร์มต่าง ๆ ที่โดดเด่น ผสานไว้เป็นฟอร์มเดียวที่เป็นได้ทั้งที่อยู่อาศัยและพื้นที่ใช้ชีวิต ในราคาเริ่มต้นเพียง 6.5 ล้านบาท เรียกได้ว่าคุ้มค่าที่สุดในพื้นที่ Prime Location อย่างทองหล่อ ซึ่งเราขอทำการ Grouping รวมเป็น 3 จุดเด่นซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญ ที่ทำให้โครงการนี้เหมาะเหลือเกินสำหรับใครที่กำลังมองหาที่อยู่ทำเลดี และคุ้มค่าที่สุดในย่านทองหล่อ ตลอดเส้นทางประมาณ 2.4 กิโลเมตรของซอยทองหล่อ หรือถนนสุขุมวิท 55 หากแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนต่าง ๆ จะพบว่าแต่ละโซนนั้นมีความแตกต่างของสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งในช่วงต้นซอยฝั่งสุขุมวิทแม้จะอยู่ติดกับรถไฟฟ้าแต่ก็ยังเป็นพื้นที่ของบ้านเรือน ชุมชนเก่า ร้านค้าดั้งเดิมที่เปิดมาแล้วหลายสิบปี แต่สำหรับภาพจำของซอยทองหล่ออย่าง สีสัน ความทันสมัย รวมถึงความเป็นแหล่งไลฟ์สไตล์ระดับไฮเอนด์ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น Community Mall, ร้านสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม, ร้านเฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้าน, ซูเปอร์มาร์เก็ต, แหล่งแฮงเอาท์อย่าง
แม้ว่ากระแสโควิดจะยังระบาดไปทั่วโลก ชะลอเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักไปตาม ๆ กัน แต่ทว่ากระแสเทรนด์แฟชั่นไม่ได้นิ่งหยุดตาม เพราะในโลกแห่งการแต่งตัวยังคงหมุนตัวไปยังรวดเร็วต่อเนื่องและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ เสียด้วย ซึ่งเทรนด์แฟชั่นที่กำลังเป็นที่นิยมทั้งในและต่างประเทศประจำปี 2021 ยังคงเป็นเทรนด์ที่ฮิตต่อเนื่องมาจากปี 2020 นั้นคือ Utility ที่เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมหลาย ๆ อย่าง ทั้งแฟชั่นญี่ปุ่นและยุโรป จนเกิดเป็นสไตล์ใหม่ สำหรับจุดสำคัญคือการที่ไอเทมเหล่านั้นจำเป็นจะต้องมีกระเป๋าอเนกประสงค์ให้เลือกใช้งาน เน้นความเรียบหรูไม่จำเป็นจะต้องมีลวดลายที่เยอะแยะให้ดูรกตา สำหรับสไตล์ Utility นั้นคือเสื้อผ้าที่เน้นฟังก์ชันเป็นหลัก โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว แต่ที่เราเห็นบ่อย ๆ คือเสื้อผ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องแบบทหาร (Military) เนื่องจากเสื้อผ้าเหล่านี้คือเสื้อผ้าฟังก์ชันที่มีช่องกระเป๋าให้เก็บของมากมายเต็มไปหมด และสีสันส่วนใหญ่จะเน้นไปทาง Earth Tone ที่ดูสบายตาย ไม่ฉูดฉาดตา หากจะบอกว่าสไตล์นี้ฮิตขนาดไหน เพราะตั้งแต่แบรนด์บนรันเวย์อย่าง Louis Vuitton , Alyx ไปจนถึงสตรีทอย่าง Engineered Garments , Beams , Stussy ล้วนต้องมีลุค หรือไอเทมที่สอดคล้องกับแนว Utilitty สำหรับ Must Item
คอลัมน์ The Profiles เดือนนี้ เราขอพาทุกคนไปทำความรู้จักเรื่องราวของสตรีมากฝีมือเจ้าของตำแหน่งกราฟิกดีไซน์เนอร์คนแรกของ Apple ผู้พลิกโฉมวงการอินเตอร์เฟซคอมพิวเตอร์ในยุคกำลังตั้งไข่ ถ้าพูดถึงแบรนด์อย่าง Apple หลายคนคงจะนึกถึง Steve Jobs ศาสดา CEO ผู้ล่วงลับ หรือถ้าเป็นสาย Product Design ก็ต้อง Jony Ive ผู้ออกแบบ Mac มาแล้วหลายต่อหลายรุ่น แต่หนึ่งในฟันเฟืองคนสำคัญที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ กับ Steve Jobs ปลุกปั้นเครื่อง Macintosh เครื่องแรกของโลก คือหญิงสาวที่ชื่อว่า Susan Kare (ซูซาน แคร์) และผลงานที่เธอฝากไว้นั้นมีอิทธิพลต่อวงการเทคโนโลยี และกราฟิกดีไซเนอร์อย่างไรบ้าง เชิญมาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกันได้เลย ซูซาน แคร์ จบการศึกษาวิจิตรศิลป์จาก Mount Holyoke College พร้อมทั้งปริญญาโทและปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เรียกได้ว่าเธอผู้นี้มีความรู้ความสามารถด้านการออกแบบไม่ใช่เล่น ๆ ประกอบกับในช่วงเวลานั้น Steve Jobs กำลังมองหาพันธมิตรที่จะสามารถฝึกอบรมซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ เมื่อเขาได้ไปที่บริษัท Xerox ทำให้เขาต้องทึ่งกับสิ่งที่เขาได้เจอ
สุดยอดเลนส์ตระกูล M ของชาว Leica ที่มี f กว้างสุดใจ และให้โทนภาพที่คม สวย มี “visual signature” คาแรคเตอร์ของตัวเองชัดเจน วันนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษที่ Noctilux-M ได้กลับมาอีกครั้งใน 2 บอดี้ คือสีดำ Standard Black ที่หาซื้อได้ทุกที่ กับบอดี้สีเงิน ที่มีจำนวนจำกัดเพียง 100 ตัว มีจำหน่ายเฉพาะชอป Leica เท่านั้น การกลับมาของ Noctilux ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงที่ถูกผลิตออกมาในปี 1966 – 1975 ถือเป็นสุดยอดเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างถึง f/1.2 และความคมชัดจากการใช้ aspherical elements เป็นครั้งแรกโดยเฉพาะที่ f2.8 ซึ่งหาได้ยากในเลนส์ตั้งแต่ยุคนั้นมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ราคามือสองของเลนส์ตระกูล Noctilux เรียกว่าแข็งไม่มีตก ซื้อไปใช้ไม่มีคำว่าเสียใจ มันจึงเป็นเลนส์ที่พิเศษและชาว Leica ต่างต้องการมีไว้ในครอบครอง สำหร้บ Noctilux M50
หากให้หยิบยกเอาเรื่องของนาฬิกาดำน้ำรุ่นเด่นจาก SEIKO มาพูดคุยกัน เชื่อเหลือเกินว่าบรรดาสาวกทั้งหลายคงใช้สมญานามหรือชื่อเล่นแทนตัวของแต่ละรุ่น ไม่ว่าจะเป็น เต่า, มอนสเตอร์, ซูโม่, ซามูไร ไปจนถึงระดับจอมทัพอย่าง ‘โชกุน (Shogun)’ มาสนทนากันอย่างออกรส ชนิดที่ว่าคนวงนอกฟังแล้วอาจมีอาการงง พาลฟันธงไปว่ากำลังคุยเรื่องมังงะกันอยู่เป็นแน่แท้ ซึ่งต้องบอกว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้คุยกันเรื่องการ์ตูน หรือหนังแฟนตาซีอะไรอย่างที่เข้าใจกัน แต่ต้องอธิบายว่าชื่อเล่นมากมายที่ถูกใช้ในการขนานนามนาฬิกาเรือนโปรด นั้นถูกนำมาจากจุดเด่นของรูปลักษณ์งานดีไซน์ในแต่ละรุ่น ยกตัวอย่างเช่น SEIKO โชกุน คือชื่อเล่นที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับ SEIKO PROSPEX รุ่น SBDC007 ที่โดดเด่นด้วยภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งของโลหะที่ใช้ ซึ่งก็คือวัสดุไทเทเนียมที่มีน้ำหนักเบาและมีความทนทานสูง เปรียบได้กับชุดเกราะที่โชกุน หรือเจ้าของตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในสมัยก่อนสวมใส่ในยามออกรบ และไม่ใช่เพียงแค่วัสดุที่ทำให้ได้มาซึ่งสมญานามโชกุน แต่งานดีไซน์ในส่วนต่าง ๆ ยังสะท้อนจิตวิญญาณชุดเกราะของจอมทัพออกมาอย่างได้ชัดเจน ทั้งในส่วนของ Pointed Markers บนขอบหน้าปัดที่ดูแข็งแกร่ง และ Triangular Notches ที่ออกแบบเพื่อให้หมุนขอบตัวเรือนได้อย่างกระชับ มั่นคง แม่นยำ ตอกย้ำให้ผู้ที่ได้สวมใส่นาฬิกาเรือนนี้รู้สึกได้ว่าความแกร่ง ผสานกับความประณีต รวมถึงน้ำหนักที่เบาของวัสดุไทเทเนียม นั้นควรค่าที่จะเป็นชุดเกราะคู่ใจของโชกุนผู้เกรียงไกร จนกลายเป็นที่มาของชื่อ ‘โชกุน’ นาฬิกาดำน้ำที่เบาที่สุดจาก SEIKO ที่หลายคนยกให้เป็นตำนาน โดยเหตุผลที่ได้กลายเป็นตำนานนั้น
MB&F คือหนึ่งในชื่อของแบรนด์ Independent watch maker ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักสะสม เป็นที่รู้จักในเรื่องของความสร้างสรรค์ในการนำเสนอเรือนเวลาที่หรูหราและฉีกกรอบดีไซน์อยู่เสมอ และหนึ่งในนาฬิกาของ MB&F ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นต้นแบบแรงบันดาลใจในงานดีไซน์แนว retro-futuristic มาจนถึงปัจจุบันก็คือ 2010 MB&F HM4 Thunderbolt ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 100 เรือน แน่นอนว่าถูกจองจนหมดภายในเวลาแค่ชั่วพริบตา MB&F HM4 Kittyhawk เกิดขึ้นเพื่อฉลองอายุ 10 ปี MB&F ได้เปิดตัวนาฬิกาซีรีส์ Horological Machine 4 ออกมาอีกครั้งในชื่อรหัส “Kittyhawk” นำเอา prot0type เดิมมาดัดแปลงรายละเอียดที่ได้ต้นแบบจากเครื่องบินรบ Curtiss P-40 Kittyhawk ที่โด่งดังในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะ iconic graphics สุดโหดของเครื่องบินที่ทำให้หลายคนจดจำมันได้อย่างง่ายดาย เช่นเดียวกับ MB&F HM4 Thunderbolt ตัวเรือน titanium case
รองเท้า คือหนึ่งในไอเทมสำคัญที่ผู้ชายอย่างเราให้ความสำคัญ จึงไม่แปลกที่หนุ่ม ๆ แต่ละคนจะมีรองเท้าหลากรุ่นหลายสไตล์เก็บเอาไว้ในครอบครองสำหรับสวมใส่ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหม่หรือรองเท้ารุ่นคลาสสิก ขณะเดียวกัน ทุกคนคงทราบดีว่ารองเท้ารุ่นคลาสสิกที่เราเห็นในปัจจุบันหลายรุ่น ต่างมีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็น “รองเท้ากีฬา” ไม่ว่าจะเป็น Converse Chuck Taylor Allstar ที่มีพื้นฐานจากการเป็นรองเท้าบาสเกตบอล หรือ Adidas Stan Smith ที่พัฒนามาจากรองเท้าเทนนิส ซึ่งต่อมารองเท้าทั้ง 2 รุ่นก็ปรับตัวเข้ากับยุคสมัยและกลายมาเป็นโมเดลรองเท้าที่อยู่เหนือกาลเวลาไปแล้ว อย่างไรก็ตาม นอกจากรองเท้าที่มีพื้นฐานมาจากกีฬาอย่างบาสเกตบอลหรือเทนนิสแล้ว ยังมีรองเท้าอีกหนึ่งรุ่นที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการแข่งขันในโลกความเร็วอย่าง Formula1 กับรองเท้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่าง “Puma SpeedCat” และวันนี้เราจะพาทุกคนไปกับความรู้จักกับ Racing Shoe คู่นี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิมไปพร้อมกัน ! กำเนิด Racing Shoes ก่อนจะพูดถึงรองเท้าสำหรับสวมใส่ขับรถที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เราขอพาทุกคนย้อนกลับไปทำความรู้จักกับรองเท้าสำหรับแข่งรถ (Racing shoe) คู่แรกของโลกกันก่อน โดยต้องย้อนกลับไปในปี 1963 เมื่อ Gianni Mostile ช่างทำรองเท้าชาวอิตาลีได้ทำการจดสิทธิบัตรรองเท้าสำหรับแข่งรถที่ตัวเขาออกแบบขึ้นมาเองกับมือ งานดีไซน์ของรองเท้าคู่ดังกล่าว ถูกออกแบบให้ส่วน Outsole โอบรัดเท้าไปบรรจบกันด้านหลังตัวรองเท้าเพื่อป้องกันส้นเท้าผู้สวมใส่จากแรงกระแทกระหว่างขับรถ ขณะเดียวกันยังออกถอดพื้นด้านในออก
เชื่อว่าหลายคนที่ชื่นชอบในวัฒนธรรม Chicano culture (Mexican-American culture) ดนตรี รอยสัก รวมไปถึงคนที่เคยดูภาพยนตร์สารคดีอย่าง LA Originals คงจะรู้จักศิลปินชายเดี่ยวที่มีชื่อว่า ‘MISTER CARTOON’ หรือ Mark Machado กันอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะมีฝีไม้ลายมือในการสักที่เรียกได้ว่าเป็นระดับตำนานแล้ว เขายังมีผลงานออกแบบ Collaboration กับแบรนด์ดังระดับโลกขึ้นหิ้งเอาไว้มากมาย วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับชายผู้นี้ แถมยังมีข่าวดีสำหรับแฟน ๆ ของ ‘MISTER CARTOON’ ชาวไทยโดยเฉพาะมาฝากอีกด้วย ส่วนข่าวดีนั้นจะเป็นอะไร ไปติดตามดูกันได้เลย ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของชายคนนี้กันหน่อย MISTER CARTOON หรือชื่อจริงคือ Mark Machado ศิลปินสัก และศิลปินกราฟฟิตี้ระดับโลก เกิด โต และอาศัยอยู่ที่ Los Angeles, Califonia ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่ออายุได้ 8 ขวบ เขาก็ค้นหาพรสวรรค์ของตัวเองจนพบ นั่นก็คือการวาดรูป และทำให้เขาเริ่มต้นวาดรูปอย่างจริงจังจากนั้นเป็นต้นมา เมื่ออายุได้ 12 ปี ก็เริ่มหาเงินเลี้ยงตัวเองได้จากการใช้