การตั้งรกรากในอวกาศหรือดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ อาจเป็นพล็อตยอดนิยมที่หนุ่ม ๆ หลายคนเคยเจอมาจากซีรีส์หรือภาพยนตร์ไซไฟเรื่องดัง แต่ก็ดูเป็นเรื่องไกลตัวมาก ๆ สำหรับเราหลายคน เมื่อเวลาเปลี่ยนผ่าน โลกก็เริ่มส่งสัญญาณบ่งชี้ถึงความผิดปกติ ทั้งภาวะโลกร้อน ไฟป่า น้ำแข็งขั้วโลกหลอมเหลว หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ ทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญต่างนำความรู้ความสามารถแต่ละแขนงมาผนวกรวมกัน เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีแห่งโลกอนาคต เมื่อไม่นานมานี้ The Gateway Foundation มูลนิธิพัฒนาอุตสาหกรรมการก่อสร้างอวกาศผู้สร้างสถานีอวกาศแห่งแรกได้เปิดตัว ‘SPACE HOTEL’ โรงแรมกึ่งสถานีอวกาศแห่งแรกของโลก หรือที่นักบินอวกาศรู้จักกันในชื่อสถานีอวกาศวอนเบราน์ (Von Braun Space Station) ถือเป็นหนึ่งในแผนการสร้างเทคโนโลยีเพื่อนำไปใช้ในสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) แต่แทนที่จะสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว มันกลับเป็นเหมือนเรือสำราญที่โคจรท่องอวกาศ พร้อมบรรจุห้องพักหรูหราและบาร์ค็อกเทลระดับพรีเมียมราวถอดแบบมาจากโรงแรมไฮเอนด์ Tim Alatorre ดีไซเนอร์ผู้ออกแบบโรงแรมแห่งนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากแนวคิดของ Wernher von Braun วิศวกรการบินและอวกาศลูกครึ่งอเมริกัน-เยอรมัน เขาจึงนำเสนอตัวโครงสร้างโรงแรมแบบวงล้อขนาดมหึมาที่หมุนอย่างช้า ๆ เพื่อสร้างแรงโน้มถ่วง ตัวล้อมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 190 เมตร ระหว่างล้อแบ่งเป็นห้องพัก 24 ห้อง และถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับแขกจำนวน 400 คน ภายในห้องตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีอบอุ่น
ความเร็ว ความอิสระ และสายลมที่ปะทะร่างกาย ทั้งหมดคือส่วนหนึ่งของความรู้สึกที่ผู้ชายอย่างเราได้รับเมื่อขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ซึ่งเป็นพาหนะที่อยู่คู่กับเรามานานกว่า 130 ปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่การขับขี่มอเตอร์ไซค์จะพัฒนาจนกลายเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมที่ผู้คนทั่วโลกหลงใหล ในขณะที่โลกค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนในการผลิตรถมอเตอร์ไซค์มากขึ้น อีกทั้งเป็นส่วนสำคัญในการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงพาหนะสองล้อให้มีความล้ำสมัยแบบก้าวกระโดด แต่ในขณะเดียวกันรถมอเตอร์ไซค์ที่มีเรื่องราวและความคลาสสิก ก็ยังคงมีเสน่ห์ที่สร้างคุณค่า สร้างความแตกต่าง และสะท้อนบุคลิกของผู้ขับขี่ได้ดีที่สุด ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมสองล้อแห่งยุคสมัยปัจจุบันเข้ากับยุคเก่า จนเกิดเป็นมอเตอร์ไซค์ที่เรียกว่า “Sport Heritage” หลายคนอาจสงสัยว่ามอเตอร์ไซค์สไตล์ Sport Heritage เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีความเป็นมายังไง? วันนี้เราได้รับเกียรติจาก “คุณโอ๊ต- วราธร เจนจรัสสกุล” ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มสินค้ารถสปอร์ตประจำบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาของ Sport Heritage Motorcycles รวมถึงแนะนำรถคันใหม่ที่จะถูก Custom ออกมาให้พวกเราเห็นภาพของรถในสไตล์นี้ได้ชัดเจนมากขึ้น คุณโอ๊ตเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นรถมอเตอร์ไซค์สไตล์ Sport Heritage ของยามาฮ่าให้เราฟังอย่างน่าสนใจ โดยมีจุดเริ่มมาจากแกนสำคัญของแบรนด์ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเขาหลงใหลในรถมอเตอร์ไซค์ของยามาฮ่ามาโดยตลอด ข้อแรกคือ DNA ความสปอร์ต ซึ่งถือเป็นแกนหลักที่พวกเขาให้ความสำคัญเสมอมา โดยเฉพาะเรื่อง Performance ที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันว่ายามาฮ่ามีสมรรถนะไม่เป็นสองรองใคร แฟน Motorsport หรือคนที่ติดตามสุดยอดการแข่งขันในวงการ 2 ล้ออย่าง MotoGP
‘ศิลปะ’ เป็นศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดอีกแขนงหนึ่งของโลกที่ไม่เพียงสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ และแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ผลงานของศิลปิน หากยังเป็นสิ่งที่ช่วยจรรโลงจิตใจมนุษย์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่าแทบทุกรายละเอียดยิบย่อยในชีวิตเราล้วนมีศิลปะเกี่ยวพันอยู่เสมอ แม้ศิลปะจะไม่เคยหยุดอยู่กับที่และถูกนิยามความหมายใหม่ในบริบทที่แตกต่างกัน แต่ผู้คนส่วนใหญ่ยังจำกัดศิลปะไว้เพียงในแกลเลอรีและพิพิธภัณฑ์เท่านั้น ติดภาพจำเดิม ๆ ว่าศิลปะต้องเป็นภาพวาดหรืองานประติมากรรมที่ตั้งตระหง่าน แต่ในความเป็นจริงแล้วศิลปะกว้างขวางมากกว่านั้น แล้วความสงสัยใคร่รู้ด้านศิลปะแขนงใหม่ก็พาเราเดินดุ่มมาหาคุณ ‘เบียร์-พันธวิศ’ คอลเลกเตอร์มือทองควบตำแหน่งพ่อมดแห่งวงการอีเวนต์ที่เชื่อเหมือนเราว่า ศิลปะไม่จำเป็นต้องอยู่ในแกลเลอรีเสมอไป มุมมองของคนเล่นของและศิลปะนอกแกลเลอรี “เบียร์-พันธวิศ” ถ้าเอ่ยชื่อนี้ในวงการอีเวนต์ เชื่อว่าหลายคนคงพอคุ้นหูกันอยู่บ้าง เพราะเขาคือหนุ่มนักสร้างสรรค์ที่มีไอเดียในหัวพลุ่งพล่านไม่รู้จบ เป็นเจ้าของบริษัทด้าน New Media & Interactive Media, บริษัทตกแต่งภายใน, บริษัทร่วมทุนรับเหมาก่อสร้าง หรือแม้แต่ดิจิทัลเอเจนซี่น้องใหม่ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ นอกจากตำแหน่งงานในหลากมิติอุตสาหกรรม สิ่งหนึ่งที่หลายคนยังไม่รู้คือคุณเบียร์ พันธวิศ ลวเรืองโชค เป็นหนึ่งในคอลเลกเตอร์ตัวยงที่รวบรวมของสะสมไว้เต็มโกดัง เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้คือศิลปะอย่างหนึ่งที่แตกแขนงแยกย่อย “ศิลปะมันไม่ใช่อะไรที่สูงส่ง แค่เป็นสิ่งที่คนเข้าถึงได้” “ตั้งแต่เด็ก ๆ มาจนถึงตอนนี้ ผมรู้สึกว่าคนที่ทำงานในแวดวงศิลปะกำลังถูกละเลย ไม่ว่าจะนักออกแบบ ศิลปิน หรืออาชีพอะไรต่อมิอะไร เพราะหากพูดถึงงานศิลปะ ผู้คนมักจะนึกถึงภาพวาดและงานประติมากรรมเท่านั้น แต่แก้วน้ำ เสื้อผ้า จานชาม ผ้าห่ม หรือเฟอร์นิเจอร์ก็เป็นศิลปะเหมือนกัน หากอยู่ใกล้ตัวมากไปจนผู้คนมองข้าม แค่นั้นเอง” แรงบันดาลใจที่เปลี่ยน ‘คนเล่นของ’
สำหรับคนในยุคปัจจุบัน แทบไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์สตรีตแฟชั่นจากมหานคร New York อย่าง Supreme ที่เริ่มต้นจากร้านสเกตบอร์ดจนกลายมาเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงและมักจะได้ไป collaboration กับแบรนด์ดังอื่น ๆ อยู่บ่อยครั้ง พร้อมกับจำนวนแฟนคลับ Supreme ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากก่อนหน้านี้ที่แบรนด์แฟชั่นสตรีตได้ปล่อยไอเทมเด็ดอย่างกลองชุด เซตไม้ปิงปอง หรือเก้าอี้สนามที่ล้วนโดดเด่นด้วยตัวอักษร ‘SUPREME’ ที่เป็นทั้งชื่อและสัญลักษณ์ของแบรนด์ ล่าสุดในคอลเลกชัน Fall/Winter 2019 ก็สร้างเสียงฮือฮาอีกครั้งด้วยการจับมือกับ BLU บริษัทโทรศัพท์ราคาประหยัดปล่อยไอเทมชวนอึ้งให้เหล่าแฟน ๆ ได้ชมกัน บางคนอาจรู้จักแค่ Supreme แต่ไม่เคยได้ยินชื่อของ BLU มาก่อน ต้องขอเท้าความนิดหนึ่งว่า BLU เป็นบริษัทผลิตโทรศัพท์มือถือที่ชาวต่างชาตินิยมเรียกมันว่า “มือถือใช้แล้วทิ้ง” หรือ “Burner Phone” เราจะเห็นโทรศัพท์พกพาแบบนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เห็นจากหนังมาเฟียทุกวันนี้ หนังแหกคุกที่ชาวแก๊งมักใช้มือถือประเภทนี้โทรคุยระหว่างกัน หรืออาจจะเห็นจากคนใกล้ตัวที่ชื่นชอบความวินเทจก็เป็นได้ สเปกของมือถือ Supreme ที่ทำร่วมกับ BLU เป็นโทรศัพท์พกพารูปแบบ 3G สามารถรองรับได้ 2 ซิม
สไตล์มินิมัล (Minimal Style) เป็นอีกหนึ่งผลผลิตของศาสนาพุทธนิกายเซนที่หยั่งรากลึกลงในวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น โดยมีคำสอนหลักคือเน้นความเรียบง่ายแต่ซ่อนความหมายสุดลึกซึ้งเอาไว้ แล้วแนวคิดทางศาสนาอันแรงกล้านี้ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้สไตล์มินิมัลเป็นที่ยอมรับและครองความนิยมอย่างล้นหลามในประเทศแดนปลาดิบ ด้วยพฤติกรรมการถอยห่างจากลัทธิบริโภคนิยมของวัยรุ่นชาวญี่ปุ่น ทำให้คอนเซ็ปต์ ‘Less is more’ เริ่มคืบคลานเข้ามาในสังคมและผสมผสานกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างลงตัว แล้วในปัจจุบันนี้คงต้องบอกว่าการออกแบบตกแต่งสไตล์มินิมัลนั้นขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีอิทธิพลต่องานดีไซน์ทั่วโลก เริ่มตั้งแต่แฟชั่น ของตกแต่ง การใช้ชีวิต หรือแม้แต่การออกแบบบ้าน ที่ลดทอนสิ่งไม่จำเป็นออกไป เหลือไว้เพียงความพอดี เป็นธรรมชาติ และกลิ่นอายความเรียบง่ายที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับตัวบ้าน วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะพาหนุ่ม ๆ มาชมงานดีไซน์มินิมัลเท่ ๆ ของบ้านขาวดำในบราซิลที่ผนวกความเรียบง่ายเข้ากับอิทธิพลของศิลปะ Bauhaus โดยสมบูรณ์ ‘RP HOUSE’ บ้านสีดำสุดเท่หลังนี้เป็นผลงานการออกแบบของ Estúdio BG สตูดิโอสถาปนิกชื่อดังแห่ง São Paulo ที่ตัดสินใจตอกเสาเข็มใจกลางเมือง Ribeirão Preto ของ Brazil จนเกิดเป็นตัวบ้านเรียบง่ายสองชั้น ที่สร้างพื้นผิวเรียบเนี้ยบจากสีขาวโพลน ก่อนจะชูความโดดเด่นของโครงเหล็กสีดำทึบที่เป็นพระเอกหลักของบ้านหลังนี้ จุดนำสายตาที่ขโมยความสนใจเราไปตั้งแต่แรกเห็น คือทฤษฎีการทำซ้ำที่จัดวางเค้าโครงให้เป็นแพตเทิร์นเดียวกัน ทั้งยังนำมาตรฐานของโรงเรียนสอนศิลปะและการออกแบบที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง Bauhaus ช่วงศตวรรษที่ 20 เข้ามาสอดแทรกในผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นนี้ด้วย ตัวโครงสร้างหลักเป็นการจัดองค์ประกอบบ้านด้วยรูปทรงเรขาคณิต ใช้หลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กกล้า
ถ้าพูดถึงนาฬิกาคู่ใจสำหรับผู้ชาย เชื่อว่าคงมีไม่กี่แบรนด์ที่ครองใจหนุ่ม ๆ หลายคนอยู่ตอนนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในไม่กี่แบรนด์นั้นต้องมี G-SHOCK อยู่อย่างแน่นอน แบรนด์นาฬิกาสุดเท่จากแดนอาทิตย์อุทัยรายนี้ได้รับความนิยมมาหลายยุคหลายสมัยจวบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะซีรีส์ CASIO ที่เรียกได้ว่าโดดเด่นทั้งดีไซน์และไม่ทิ้งจุดเด่นของแบรนด์ในด้านความแข็งแรงทนทาน เมื่อไม่นานมานี้ G-SHOCK เพิ่งเปิดตัวโมเดลรุ่นล่าสุดอย่าง ‘CASIO GA-2100’ มาพร้อมตัวเรือนบางเฉียบ น้ำหนัก 51 กรัม และความหนาเพียง 11.8 มิลลิเมตร ทำให้นาฬิกาเรือนนี้ขึ้นแท่นเรือนเวลาที่บางที่สุดของค่าย G-SHOCK ไปโดยปริยาย สำหรับผู้ชายที่หลงใหลในความเรียบง่าย คมเท่ และรูปแบบงานดีไซน์ที่ไม่หวือหวาจนเกินไป คงต้องบอกว่า CASIO GA-2100 เรือนนี้ตอบโจทย์คุณเป็นอย่างยิ่ง ด้วยตัวเรือนที่ดีไซน์มาเป็น 8 เหลี่ยมพร้อมสายเรซินแบบดั้งเดิม ทำให้นาฬิกาสะท้อนความร่วมสมัย แถมยังแฝงกลิ่นอายมินิมัลผ่าน 3 เฉดสีเรียบเท่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เสริมความแข็งแกร่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่ห่อหุ้มตัวเรือน สายเรซินคุณภาพสูง และโครงสร้างป้องกันแกนกลางระดับพรีเมียม ช่วยให้นาฬิกาเรือนนี้ทนทานต่อแรงกระแทกและมีความสามารถในการกันน้ำได้ลึกถึง 200 เมตร ภายใต้กระจกมิเนอรัลสุดแกร่งยังซ่อนจอ LED สองชั้น บรรจุไฟ Super Illuminator และ Auto Light
หลังจากที่ดีไซเนอร์หนุ่มไฟแรงอย่าง Virgil Abloh เจ้าของแบรนด์ Off-White แฟชั่นสตรีตชื่อดังไปร่วมออกแบบสินค้ากับ IKEA และเปิดตัวไอเทมของเขาไปแล้วเมื่อกลางปี 2019 ตอนนี้เขาได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนอีกครั้งด้วยการออกคอลเลกชันของใช้และของตกแต่งบ้านในแบรนด์ของตัวเอง คอลเลกชันที่ว่าจะถูกแยกออกมาจากหมวดแฟชั่นสตรีตของ Off-White แล้วมาอยู่ในหมวดดีไซน์ภายใต้คอลเลกชันพิเศษที่ชื่อว่า Home ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์สุดมินิมัลสีขาวครีมสบายตา โดยไอเทมแต่งบ้านสไตล์มินิมัลเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยเรื่องราวของแบรนด์ Off-White จะถูกแบ่งออกเป็นสามไลน์ด้วยกันคือ ส่วนห้องนอน ห้องน้ำ และ เซรามิก UNLOCKMEN จะขอเริ่มจากส่วนของห้องนอนกันก่อน เพราะห้องนอน เตียงนุ่ม ๆ และผ้าห่มผืนโปรดถือเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างพื้นที่แสนสุขสำหรับเหล่ามนุษย์ทำงานผู้เหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน โดย Off-White ออกไอเทมได้ครบครัน ทั้งชุดเครื่องนอน ปลอกหมอน ผ้านวม ผ้าปูที่นอนสีขาวครีม และผ้าคลุมเตียงสีแดงที่ฉีกแนวออกจากไอเทมชิ้นอื่น นอกจากนี้โลโก้ลูกธนูไขว้อันโด่งดังของ Off-White จะถูกปักไว้บนไอเทมทุกชิ้นเพื่อความพิเศษกว่าใครตามที่ Virgil Abloh เฝ้าย้ำมาตลอด ไลน์เซรามิกถือเป็นหมัดเด็ดที่ Off-White Home ตั้งใจปล่อยออกมาเลยก็ว่าได้ เพราะดีไซเนอร์หนุ่มจัดเต็มทั้งของใช้บนโต๊ะอาหาร ทั้งชุดจานสำหรับอาหารเช้าและชุดอาหารเที่ยงที่เข้ากันไม่ว่าจะเป็น จาน ชาม ถ้วย แก้วกาแฟ แก้วน้ำ เหยือก ถาดใส่เซตอาหาร ไปจนถึงที่เขี่ยบุหรี่
ย้อนไปในปี 1987 ถ้าหนุ่ม ๆ ยังพอจำกันได้ ‘Predator’ ภาพยนตร์แอ็กชันผสมนวนิยายวิทยาศาสตร์สุดสยอง ได้เข้าฉายและทำรายได้มากถึง 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยกระแสนิยมล้นหลามและความสำเร็จของหนังที่ทะลุเกินยอดจนทำให้ทีมผู้สร้างต้องปลุกปั้นภาคต่ออีก 2 ภาคตามมา นอกจากภาพจำที่มีต่ออสุรกายและเหล่านักรบพร้อมยุทโธปกรณ์ไฮเทคจากนอกโลก เราคงลืมโฉมหน้านักแสดงนำอย่างอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ไปไม่ได้เลย แล้วหากหนุ่ม ๆ สังเกตดี ๆ บนข้อมือของพระเอกหนุ่มผู้กล้าก็ถูกประดับด้วยเรือนเวลาสุดเท่ที่ยังคงเสน่ห์เหนือกาลเวลา ‘SEIKO PROSPEX SOLAR DIVER SNJ028’ นาฬิกาดำน้ำสุดคลาสสิกแห่งยุค 80s ถูกชุบชีวิตอีกครั้ง ซึ่งรุ่นใหม่นี้ดีไซน์มาให้แข็งแกร่งกว่ารุ่น ‘ARNIE’ ในปี 1982 ตัวเรือนมีขนาด 47.8 มิลลิเมตร ใช้กลไกการเคลื่อนไหวระบบควอตซ์ Seiko H851 ที่ทำให้บอกเวลาได้อย่างเที่ยงตรงและแม่นยำ แถมยังรองรับการชาร์จด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ นาฬิกาทำจากสเตนเลสสตีล ก่อนจะเคลือบด้วยชุด DLC (Diamond Like Carbon) ทำให้นาฬิกาเรือนนี้คงทนต่อการเสียดสีและเกิดรอยขีดข่วนได้ยาก ตัวเรือนดีไซน์มาเป็นสีดำด้าน ในขณะที่กรอบและไฮไลต์บนหน้าปัดเป็นสีทอง จุดเด่นคือสามารถกันน้ำได้ถึง 200 เมตร พร้อมเคลือบหน้าปัดนาฬิกาด้วย
‘ภูมิสถาปัตยกรรม’ หรือ Landscape Architecture เป็นการนำหลักศิลปวิทยาที่ว่าด้วยการออกแบบและจัดสรรพื้นที่ภายนอกอาคารมาปรับแต่งภูมิทัศน์โดยรอบของเมือง เริ่มตั้งแต่สวนสาธารณะ จัตุรัสกลางเมือง หรือแม้แต่ถนนเส้นเล็กที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อวิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่แวดล้อม จริงอยู่ที่โลกเรานั้นเจริญก้าวหน้าและไม่เคยหยุดอยู่กับที่ แต่อีกปัญหาที่หลากประเทศเป็นกังวล คือสังคมผู้สูงอายุซึ่งกำลังย่างกรายเข้ามาและเติบโตโดยสมบูรณ์แล้วในบางประเทศ ด้วยเหตุนี้สมาคมภูมิสถาปนิกแห่งอเมริกา (American Society of Landscape Architects) ที่รวมเหล่าสถาปนิกราว 15,000 คน จึงนำการดีไซน์แบบสากลมาประยุกต์ใช้กับถนนหนทางและพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้เหล่าผู้สูงอายุตลอดจนคนธรรมดามีสถานที่พักผ่อนและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม บางครั้งการออกแบบพื้นที่ไม่จำเป็นต้องสร้างขึ้นให้เลิศหรูอลังการ เพราะการแปลงโฉมและรังสรรค์สเปซด้วยความเรียบง่ายก็น่ายกย่องไม่แพ้กัน หากมันตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองได้จริง แล้วนี่คือ 3 ภูมิสถาปัตยกรรมที่มอบสิ่งปลูกสร้างธรรมดาเป็นพิเศษและพิชิตใจคนเมืองได้เต็มเปา Tongva Park, Santa Monica, California ชื่อ ‘Tongva Park’ ตั้งขึ้นจากการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมประเพณีอันยาวนานของชาวตองกาพื้นเมือง ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคแห่งนี้มานานนับ 1,000 ปี บนพื้นที่สาธารณะขนาด 6 เอเคอร์ ถูกจัดสรรให้เป็น 4 ส่วนหลักคือ Observation Hill, Discovery Hill, Garden Hill, และ Gathering Hill
หากพูดถึง ‘ความร่วมสมัย’ หนุ่ม ๆ หลายคนคงมโนภาพไปถึงตึกรามบ้านช่องเก่าแก่และสไตล์การตกแต่งโบราณที่ดูจะหลุดออกจากความนิยมของคนหมู่มากไปแล้ว แต่แท้ที่จริงการตกแต่งแบบร่วมสมัย หรือ Contemporary Style เป็นการหยิบความนิยมของปัจจุบันมาผนวกเข้ากับเอกลักษณ์งานดีไซน์จากอดีตที่ยังมีเสน่ห์เหนือกาลเวลา การตกแต่งสไตล์นี้มักจะเน้นความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และไม่ทำให้พื้นที่ดู ‘มากล้น’ จนเกินไป อาจเลือกใช้โครงสร้างยุคเก่าและเติมแต่งความทันสมัยด้วยเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งอื่น ๆ โดยไม่ได้มีกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับที่ตายตัว หากต้องเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ก่อร่างขึ้นแล้วกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบเท่านั้น ด้วยความเร็วเครื่องบิน 14 ชั่วโมง 30 นาที เดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปยังสเปน ข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงเกาะอิบิซา (Ibiza) หนึ่งในหมู่เกาะแบลีแอริกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากที่นี่จะโด่งดังด้านสถานบันเทิงยามราตรี เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน และมีสีสันของชีวิตกลางคืนที่เป็นจุดเด่นและเชิญชวนนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศให้มาเยือน เกาะอิบิซาแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของชุมชนแสนสงบและซุกซ่อนโรงแรมสไตล์ร่วมสมัย ที่ไม่ได้ขัดแย้งแถมยังไปกันได้ดีกับสภาพแวดล้อมภายนอก La Granja Ibiza Dreimeta สตูดิโอออกแบบชื่อดังในเยอรมนีเปลี่ยนแปลงไร่อายุร่วม 200 ปีและกระท่อมเก่าคร่ำคร่าให้กลายเป็นโรงแรมร่วมสมัยบนพื้นที่ 10 เฮกเตอร์ ที่นี่มีห้องพักให้เลือกหลากหลายรูปแบบทั้งห้องธรรมดาและเกสต์เฮาส์ มีสระว่ายน้ำ ห้องครัว และฟาร์มในตัว ทำให้เมนูอาหารของ LA GRANJA IBIZA แห่งนี้สร้างสรรค์ขึ้นจากผักผลไม้กว่า 30 ชนิด ทั้งบีทรูท,