สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นโมเม้นต์ชวนปวดหัวของคนมีบ้าน หากไม่นับถึงเรื่องของการกำหนดงบประมาณ เลือกทำเล เลือกแบบบ้านที่ใช่ รวมถึงขั้นตอนตรวจรับงาน ที่ต้องส่องหา Defect แทบทุกซอกทุกมุมแบบละเอียดยิบ คงหนีไม่พ้นการออกแบบตกแต่งภายใน เพราะจะโยนความรับผิดชอบให้สถาปนิก หรือมัณฑนากรออกแบบมาให้เสร็จสรรพก็อาจไม่โดนใจเท่าไหร่นัก มันต้องมีขั้นตอนการพูดคุยตกลงความต้องการให้เข้าใจตรงกันทั้งเจ้าบ้าน และทีมออกแบบเพื่อการสื่อสารที่สามารถเห็นภาพ สร้างความเข้าใจได้ชัดเจนที่สุด ความวุ่นวายจึงตกมาอยู่กับการหา Reference ที่ถูกใจ ซึ่งใครที่มีภาพชัดเจนในหัวอยู่แล้วว่าต้องการให้สถาปัตยกรรม งานตกแต่งภายในบ้านออกมาเป็นแบบไหนคงไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไหร่ แต่สำหรับใครที่มืดแปดด้าน ยังหารูปแบบการแต่งบ้านแสนรักของตัวเองไม่เจอ เรามีแนวทางที่น่าสนใจมานำเสนอ กับการเอาบ้านเท่ ๆ จากหนัง Hollywood มาเป็นไอเดียต้นแบบในการแต่งบ้านกันซะเลย กับบ้าน 4 หลังจากหนัง 4 เรื่องที่เราเลือกมา เชื่อว่าสามารถทำให้เห็นภาพ เห็นบรรยากาศ คุมโทนในการแต่งบ้านได้ชัดเจนขึ้นอย่างแน่นอน IRON MAN เริ่มต้นด้วยคฤหาสน์โคตรหรูซึ่งตั้งอยู่บนผาสูงริมทะเลที่มาลิบู ของมหาเศรษฐี Tony Stark หรือ Iron Man ซูเปอร์ฮีโร่อีโก้จัด ที่มีฝีปากกล้าไม่แพ้ความสามารถด้านวิศวกรรมอันโดดเด่นเข้าขั้นอัจฉริยะ ซึ่งปกติวัน ๆ เขาจะหมกตัวอยู่ที่ห้องทำงานสุดไฮเทคอุปกรณ์เพียบในชั้นใต้ดิน แต่ในวันสบาย ๆ เขาก็มักจะเลือกขึ้นมาพักผ่อนยังโถงนั่งเล่นที่เน้นความโปร่งโล่ง และเรียบง่าย เพื่อผ่อนคลายจิตใจพักผ่อนสมองจากความวุ่นวายในชีวิตทั้งเรื่องธุรกิจ และการปกป้องโลก
ถ้าจะให้พูดถึงสิ่งของสักชิ้นที่สามารถบ่งบอกถึงตัวตน ไลฟ์สไตล์ รวมถึงรสนิยมของชายผู้เป็นเจ้าของได้อย่างดี หลายคนอาจจะนึกถึงรถยนต์, สูท, เข็มขัด, รองเท้า ฯลฯ แต่ในมุมมองของ UNLOCKMEN เราคิดว่า นาฬิกา คือไอเทมซึ่งเป็น Key Piece ที่สามารถสะท้อนตัวตนของผู้ชายอย่างเรา ๆ ออกมาได้อย่างชัดเจนผ่านดีไซน์ มรดกแห่งเรื่องราวของแบรนด์ รวมถึงฟังก์ชั่นการใช้งาน รวมถึงความเยี่ยมยอดของเทคโนโลยีกลไกการบอกเวลาอันซับซ้อน ที่กว่าจะได้มาอยู่บนข้อมือของผู้ชายแต่ละคน ล้วนต้องผ่านการเฟ้นหาเรือนเวลาที่เหมาะสมกับตัวเองอย่างที่สุด เพราะนอกจากเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก สิ่งที่ผู้ชายแทบทุกคนต้องการคือนาฬิกาคู่ใจที่เป็นได้ทั้งสิ่งที่บ่งบอกรสนิยม และอุปกรณ์บอกเวลาที่สามารถใช้งานได้จริง มีฟังก์ชั่นที่ตอบสนองความต้องการในทุกด้านของชีวิตที่แตกต่าง ซึ่ง MIDO ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ ที่สร้างสรรค์ประดิษฐกรรมแห่งเวลาคุณภาพสูงออกมาอย่างมากมาย โดยแต่ละรุ่นแต่ละคอลเลคชั่นต่างมีการยอมรับถึงความสวยงามของดีไซน์ และคุณภาพมาตรฐาน Swiss Made จนทำให้นาฬิกาจาก MIDO จำนวนนับไม่ถ้วนถูกเลือกให้เป็นสิ่งสะท้อนตัวตนของผู้ชายจากทั่วโลกในแทบทุกยุคทุกสมัย ต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาเกือบ 100 ปี นับตั้งแต่ Mr. Georges Schaeren เริ่มต้นก่อตั้งโรงงานผลิตนาฬิกา MIDO G. Schaeren & Co. AG ขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันท่ี 11
เมื่อพูดถึงวิถีคนเมืองในปัจจุบัน นอกจากความเรื่องของความสะดวกสบายทันสมัย เราเชื่อว่าสิ่งแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึงคือความเร่งรีบที่ต้องเผชิญเป็นกิจวัตร ที่อยู่อาศัยทำเลดีมีจำกัดและราคาสูง ด้วยอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วของชุมชน ก่อให้เกิดสิ่งปลูกสร้างมากมายเพื่อรองรับการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ และการเพิ่มขึ้นของประชากรที่หลั่งไหลกันเข้ามาทำงาน ศึกษาต่อ ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งโอกาส แต่ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นอีกมากมายแค่ไหนก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าเราทุกคนต่างก็ยังคงต้องอยู่รวมกันภายใต้พื้นที่ซึ่งมีอาณาเขตทางภูมิศาสตร์ที่ตายตัวไม่สามารถขยายพื้นที่ออกไปได้ตามอำเภอใจ ซึ่งข้อจำกัดทางด้านพื้นที่เหล่านี้ คือโจทย์สำคัญของดีไซน์เนอร์ในการออกแบบให้สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่อันจำกัดได้สูงสุด และโจทย์ข้อนี้คือสิ่งที่จุดประกายให้กับ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมมือกับ FABRICA (แฟบริก้า) ดีไซน์สตูดิโอชื่อดังจากประเทศอิตาลี นำเสนอวิธีคิดในการออกแบบพื้นที่แห่งอนาคต และร่วมคิดค้นนวัตกรรมพื้นที่ที่สาม ที่เกิดจากการทับซ้อนทางดีไซน์จนเกิดเป็นพื้นที่ซึ่งมีมิติของประโยชน์ใช้สอยที่มากขึ้น นำไปสู่วิถีการอยู่อาศัยแห่งศตวรรษใหม่ โดยนำเสนอผ่านโปรเจคต์พิเศษเพื่อสังคมที่ชื่อว่า AP SPACE SCHOLARSHIP ซึ่งถือเป็นครั้งแรกกับการให้ทุนการศึกษาที่เป็น ‘ที่พักอาศัย’ พร้อมจัดแสดงแนวคิดงานดีไซน์ที่ทำลายกรอบความคิดการออกแบบเดิม ๆ ให้ผู้ที่สนใจในงานดีไซน์ได้สัมผัสในนิทรรศการ ‘Spaces within Space, A Vision of Co-Living Generation’ ซึ่งจัดขึ้นที่ Wolf Pack Space ศาลาแดง เมื่อวันที่ 22 – 26
หากพูดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างนาฬิกา OMEGA กับองค์การบริหารการบินและอวกาศของสหรัฐอเมริกาอย่าง NASA เชื่อว่าสาวกเรือนเวลาแทบทุกคนคงจะเคยรับรู้ถึงกิตติศัพท์ของตำนาน Moonwatch กับการที่นาฬิกา OMEGA Speedmaster ได้ถูกสวมใส่อยู่บนข้อมือนักบินอวกาศในการลุยภารกิจพิชิตดวงจันทร์กันมาบ้างแล้ว แต่เมื่อมีชื่อของอีกหนึ่งตัวละครหลักอย่าง Snoopy ตัวการ์ตูนสุนัขบีเกิ้ลที่โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งมักจะปรากฎตัวอยู่ในเรือนเวลารุ่นพิเศษรำลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่าง OMEGA และ NASA เข้ามาร่วมด้วย งานนี้คงมีอีกหลายคนนึกสงสัยในใจว่าเหตุใด Snoopy ถึงได้มีบทบาทในวาระสำคัญต่าง ๆ ของ OMEGA และ NASA มาโดยตลอด และในวันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจถึงที่มาที่ไปของความความผูกพันระหว่าง SNOOPY, NASA และ OMEGA ที่มีมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษให้ชาว UNLOCKMEN และเหล่าผู้หลงใหลในเรือนเวลา ที่อาจยังไม่ทราบถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ให้ได้กระจ่างกัน SNOOPY ไอคอนแห่งโลกการ์ตูน สู่สัญลักษณ์ภารกิจพิชิตดวงจันทร์ และรางวัลแห่งเกียรติยศ ถ้าจะต้องเล่าเรื่องราวสายสัมพันธ์สุดพิเศษระหว่าง Snoopy และ NASA คงต้องย้อนไปตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 60 เมื่อ Charles M. Schulz ได้วาดการ์ตูนที่มีสุนัขพันธุ์บีเกิ้ลนาม Snoopy สวมชุดอวกาศพร้อมเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการ Apollo
ถ้ามีการทำกราฟแสดงระยะเวลาที่มือของเราใช้งาน Smartphone ในแต่ละวัน เชื่อว่าแท่งกราฟคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสองสามเท่าตัวถ้าเทียบกับในสมัยก่อน ด้วยความเปลี่ยนแปลงทางการใช้ชีวิต ที่ยกทุกอย่างไปไว้ใน Smartphone ให้เราใช้ชีวิตได้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแม้แต่ท่านั่ง รวมถึงการเสพติดเรื่องราวบนโลกออนไลน์ ทำให้ทุกวันนี้เรามีการสัมผัส Smartphone มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะยามยืน เดิน นั่ง โดยที่เราไม่รู้ตัว ผลเสียของการเสพติด Smartphone มากเกินไปนั้นมีอยู่มากมายอย่างที่เรารู้กันบ้างอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมาธิที่สั้นลง ความเครียดจากการเห็นชีวิตดีเกินจริงของคนอื่น ผลเสียทางประสาทสัมผัสจากท่านั่ง การโน้มคอ ข้อนิ้ว สายตา ออกห่างจากสังคม การนอนหลับ และอื่น ๆ อีกมากมาย นี่จึงเป็นสาเหตุและเหตุผลที่งาน Design ต้องเข้ามามีบทบาท เพราะโดยพื้นฐานแล้ว Design ไม่ใช่เกิดขึ้นมาเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่การแก้ปัญหาการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น ก็เป็นหน้าที่ของการออกแบบด้วยเช่นกัน KLEMENS SCHILLINGER นักออกแบบชาว Vienna เมืองหลวงของประเทศ Austria มองว่า Smartphone Acciction ก็เป็นอาการเสพติดไม่ต่างกับยาเสพติดชนิดอื่น ถ้าเสพมากเกินไปก็ทำให้เกิดผลเสียรุนแรงได้ จึงเกิดไอเดียที่จะบำบัดอาการเสพติดนี้ ด้วยการสร้างโปรเจค Substitute
นอกจากดีไซน์ที่ถูกใจ กลไกการบอกเวลาที่เที่ยงตรง ปัจจัยการเลือกเรือนเวลาคู่ใจของเหล่าคนรักนาฬิกา คงหนีไม่พ้นเรื่องราว ประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ที่ทำให้นาฬิกาไม่ได้เป็นแค่อุปกรณ์บอกเวลา หรือเครื่องระดับที่บ่งบอกฐานะ แต่มันเป็นสิ่งที่สามารถสร้างคุณค่าทางจิตใจให้กับผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี ซึ่ง Hamilton ถือเป็นอีกแบรนด์นาฬิกาที่มีหลากรุ่น หลายซีรี่ส์ที่มีเรื่องราวและประวัติอันยาวนาน ผ่านหน้าประวัติศาสตร์กว่า 125 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งแบรนด์ขึ้นที่เมืองแลงคาสเตอร์ รัฐเพนซิลวาเนีย ในปี 1892 โดยเริ่มต้นจากการผลิตนาฬิกาพกคุณภาพสูงในจำนวนน้อย ๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนาฬิกามาตรฐานของการทางรถไฟของสหรัฐอเมริกาในฐานะ “Watch of Railroad Accuracy” และ “The Railroad Timekeeper of America” นอกจากนี้ความยิ่งใหญ่ของเรื่องราวเมื่อครั้งอดีตยังได้ส่งต่อถ่ายทอด DNA มาถึงคอลเลคชั่นปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาสำหรับกองทัพสหรัฐฯ ที่ Hamilton ผลิตในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ในรุ่น Khaki Field หรือคอลเลคชั่น Broadway ที่ตั้งชื่อมาจากนาฬิกาพกรุ่น Broadway ที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับ Hamilton เมื่อครั้งอดีต และเมื่อพูดถึงคอลเลคชั่นเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ Hamilton ถ้าไม่พูดถึงรุ่น Ventura ก็คงไม่ได้
ไม่ว่าใครก็มีสิ่งที่ตัวเองหลงใหลมากกว่าหนึ่ง และถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากทำให้สิ่งที่หลงใหลนั้นรวมเข้าด้วยกันได้ จะถือว่าเป็นที่สุดของการใช้ชีวิต เจเรมี่ มอนแทโร (Jeremy Monteiro) นักดนตรีชื่อดังระดับโลก ก็เป็นอีกคนที่สามารถนำเอาสิ่งที่ตนเองหลงใหลมารวมอยู่ด้วยกัน นั่นก็คือ J. Monteiro แบรนด์นาฬิกาที่มี DNA จาก Music และ Timepiece ซึ่งสามารถไปด้วยกันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ Jeremy Monteiro เป็นนักเปียโนแจ๊สที่มากไปด้วยความสามารถระดับต้น ๆ ของเอเชียคนหนึ่ง เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่นักเปียโนที่เก่งกาจ แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลง นักร้องและโปรดิวเซอร์ที่ศิลปินนานาประเทศอยากร่วมงานด้วยจนได้สมยานามว่า “Singapore’s King of Swing” “ดนตรีแจ๊สไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่เจเรมี่หลงใหล เครื่องบอกเวลาอย่างนาฬิกา ก็เป็นสิ่งที่เขาหลงใหลด้วยเช่นกัน” ย้อนกลับไปในอดีต เขาได้รับนาฬิกาข้อมือเป็นของขวัญวันเกิดจากคุณพ่อตอนอายุ 16 ปี หลังจากที่ได้รับของขวัญชิ้นนั้น มันทำให้เขาเริ่มก้าวเข้ามาศึกษาเรื่องของกลไกลบอกเวลาควบคู่ไปกับการสั่งสมประสบการณ์ทางด้านดนตรีจนกลายมาเป็นนักเปียโนแจ๊สระดับโลก วันหนึ่ง Jeremy ไปเยี่ยมสตูดิโอของนักดนตรีแจ๊สท่านหนึ่งที่ร่วมงานด้วย ทำให้ได้เห็นโครงร่างของการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ สิ่งนั้นเหมือนเป็นการจุดประกายแรงบันดาลใจครั้งใหม่ให้ Jeremy มันทำให้ต่อมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และภาพนาฬิกาที่เดินตามจังหวะดนตรีก็ปรากฏขึ้นในหัวทันที วินาทีนั้นเขารู้แค่ว่าอยากทำให้ภาพในหัว ณ ตอนนั้น เกิดออกมาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็คือจุดเริ่มต้นของเรือนเวลาที่ชื่อ “J. Monteiro” “J. Monteiro”
เมื่อตัวจริงแห่งวงการดีไซน์เดนมาร์กมาเจอกับผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่จากสวีเดน…ความร่วมมือครั้งสำคัญที่สั่นสะเทือนวงการออกแบบระดับโลกเมื่ออิเกีย ผนึก Hay รังสรรค์คอลเล็คชั่นใหม่ “YPPERLIG/อิปเปอร์ลิก” สะท้อนค่านิยมและเอกลักษณ์ของงานออกแบบแถบสแกนดิเนเวียที่โดดเด่นด้วยความสวยงามและคุณภาพ ผสานกับเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย มีสินค้าใหม่ให้เลือกกว่า 35 รายการ ตั้งแต่ โซฟาเบด โต๊ะกลาง เก้าอี้ โคมไฟ กระจก ปลอกหมอน กล่องเหล็ก จนถึงไอคอนประจำอิเกียอย่าง ถุงพลาสติกสีน้ำเงินที่นำมาออกแบบปรับโฉมใหม่เพิ่มเติมลวดลายและสีสันละมุนตา พบกับคอลเล็คชั่น “YPPERLIG (อิปเปอร์ลิก)” ได้ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคมนี้ ที่อิเกีย เมกาบางนา คอลเล็คชั่น “YPPERLIG/อิปเปอร์ลิก” เป็นความร่วมมือกันเพื่อยกระดับความคิดสร้างสรรค์และแบ่งปันประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท อิเกียมีความรู้ด้านการผลิตอย่างลึกซึ้ง ในขณะที่ HAY สร้างเสน่ห์ให้กับผลงานของตัวเองด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ การร่วมงานกันครั้งนี้ คือความท้าทายของทั้งสองฝ่ายที่ค่อยๆ หาจุดสมดุลที่เป็นที่พอใจของทั้ง 2 ฝ่าย จนได้ผลลัพธ์เป็นคอลเล็คชั่น YPPERLIG/อิปเปอร์ลิก เฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้านที่มีความสวยงามด้วยรูปทรงเรขาคณิตและสีละมุนตา ใช้วัสดุคุณภาพดีมีความคงทน ใช้งานได้จริง ในราคาที่เหมาะสม Marcus Engman หัวหน้าทีมดีไซน์ประจำอิเกีย สวีเดน เล่าถึงความร่วมมือกับ HAY ในครั้งนี้
ต้องยอมรับว่าที่พักอาศัย คืออีกสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกตัวตน สะท้อนถึงความสำเร็จในชีวิตของผู้อยู่อาศัยได้อย่างชัดเจน ผ่าน Lifestyle ที่เหนือระดับ ซึ่งการใช้ชีวิตภายใต้ความเป็นอยู่แบบ Super Luxury นั้นไม่ได้วัดจากมูลค่าราคาของที่อยู่อาศัยที่เป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่ในขั้นตอนการสร้างสรรค์จำเป็นจะต้องลงลึกไปถึงรายละเอียดความพิถีพิถันของวัสดุ และงานดีไซน์ ให้น้ำหนักกับสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย ซึ่งผสมผสานกับความงดงามทางศิลปะได้อย่างลงตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้มีรสนิยมของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี ล่าสุด UNLOCKMEN มีโอกาสได้ไป Exclusive Visit สัมผัสประสบการณ์การอยู่อาศัยเหนือระดับ จากโครงการ VITTORIO ผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซจากเอพี (ไทยแลนด์) ที่ตั้งใจให้เป็นสถาปัตยกรรมด้านที่พักอาศัยที่ดีที่สุดในย่าน The Em District ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งพิกัดที่มีชีวิตชีวาที่สุดในกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้ โดย VITTORIO ไม่เพียงแค่ตั้งอยู่ในทำเลที่เรียกได้ว่าดีที่สุด แต่ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์โครงการนี้ ล้วนแล้วแต่คัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดมานำเสนอ ซึ่งสิ่งแรกที่สร้างความประทับใจให้กับเราคืองานออกแบบสถาปัตยกรรมที่ถ่ายทอดความงดงาม ส่งมอบอารมณ์ความเป็นอยู่ที่หรูหราของชนชั้นสูงในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ซึ่งถือเป็นเมืองศูนย์กลางทางศิลปะชั้นยอดของโลก และโดดเด่นในเรื่องราวของสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองส์ งานออกแบบโดยรวมของ VITTORIO นั้นได้แรงบันดาลใจมาจากการจัดวางพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์ ‘Uffizi Gallery’ พิพิธภัณฑ์ศิลปะด้านจิตรกรรมและประติมากรรมชื่อก้องโลกแห่งเมืองฟลอเรนซ์ ที่ซึ่งรวบรวมงานจิตรกรรมชิ้นเอกของศิลปินชาวอิตาเลี่ยนไว้มากมาย โดยเราสามารถสัมผัสแรงบันดาลใจนี้ได้เริ่มตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปยัง ‘Galleria Medici’ หรือ โถงต้อนรับขนาดใหญ่ สูง 6
ครั้งก่อนเราได้พูดถึงเรื่อง Fashion จากยุค Mid-Century ที่ยังทรงคุณค่าความคลาสสิคตั้งแต่ยุค 1950s ถึงปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะความฮิตในหมู่คนรุ่นเก๋าอย่าง Baby Boomer เท่านั้น แต่ยังได้รับความนิยมอย่างมากในคนรุ่นใหม่กลุ่ม Millennial ที่เกิดช่วง 80s – 90s ดูง่าย ๆ ก็แฟชั่นจาก James Dean, Steve McQueen หรือ The Beatles ที่เรายังมีรูปติดอยู่เต็มกำแพงบ้าน ล้วนเป็นรายละเอียดที่แสดงถึงคาแรคเตอร์ ตัวตน ความมั่นใจในการเลือกใช้ของดี ความกล้าตัดสินใจของคนรุ่นใหม่ และเป็นการตอกย้ำสัญลักษณ์รอยต่อของความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์เอาไว้ถึงปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ด้านแฟชั่น คำว่า Mid-Century ในด้านงานสถาปัตยกรรมก็มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน มันคือยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นรากฐานของสถาปัตยกรรมปัจจุบัน โดยมีการนิยามสไตล์งานออกแบบ ตกแต่ง สถาปัตยกรรม รวมไปถึงงานดีไซน์ทุกชนิดที่ยึดรากฐานจากยุค 1933s ถึง 1980s รวมกันว่า Mid-Century Modern หลัง World War 2 จบลง การสร้างสรรค์ที่มองไปไกลถึงอนาคต การเปลี่ยนแปลงและการค้นพบวัตถุดิบก่อสร้างหลายอย่าง