ช่วงนี้บนหน้าฟีดบน Facebook เป็นอะไรไม่รู้ มีแต่ร้านอาหารที่ขายเมนู Fish & Chip เต็มไปหมด โดนอัลกอริทึ่มโจมตีต่อมความหิวอย่างหนัก ตอนเวลาประมาณ 3-4 ทุ่มทุกวันเลย แต่ไม่เป็นไร เพราะโดยทุนเดิมก็เป็นคนรักในวัฒนธรรมอาหารสไตล์อเมริกันอยู่แล้ว จะการตกแต่งร้านก็ดี จะอาหารก็ดี แล้วก็พยายามนึกให้ออกว่าครั้งสุดท้ายที่ไปนั่งกิน Fish & Chip อย่างจริง ๆ จัง ๆ มันคือตอนไหนกันนะ .. เห้ย! นานมากแล้วนี่หว่า นั้นเป็นโอกาสดีเลยที่จะได้อัพเดทกับตัวเองและเพื่อน ๆ ทุกคนที่ชอบ American Diner เหมือนกัน UNLOCKMEN จะพาไปตะลุยร้านอาหารสไตล์ American Diner ที่น่าสนใจในปี 2022 ไปปักหมุดพร้มกันเลย The Diner 3021 ขอเปิดร้านแรกแบบยิ่งใหญ่และเขาเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ซึ่งออกตัวเลยว่าเป็น NO.1 ที่เราอยากไปตอนนี้เลย นั่นก็คือ The Diner 3021 ร้านที่ให้อารมณ์เหมือนได้สวมบทเป็นตัวละครจาก Riverdale ซีรีส์
หลายคงชื่นชอบ ‘พาสต้า (Pasta)’ อาหารเส้นของชาวอิตาลีที่อยู่กับเรามานานกว่าพันปีแล้ว ซึ่งในกรุงเทพฯ ก็มีร้านพาสต้าสุดพรีเมี่ยมมากมายกระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ละร้านมีความพิถีพิถันทั้งในเรื่องการเลือกวัตถุดิบ การทำเส้น และการปรุงเมนูแต่ละจานให้มีความเป็นอาหารอิตาเลียนแท้ ในบทความนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำ 5 ร้านพาสต้าที่จะทำให้คุณต้องหลงรักเมนูเส้นจานนี้มากขึ้นกว่าเดิม 300% !! La Dotta ร้านพาสต้าที่ของกลุ่มร้านอาหาร Foodie Collection เจ้าของ Vesper บาร์ค็อกเทล และ Il Fumo ร้านอาหารโปรตุเกส โดยเมนูพาสต้าแต่ะจานของ La Dotta จะรังสรรค์โดย Giampiero Quartararo เฮดเชฟมากประสบการณ์จากเมืองปาแลร์โม ประเทศอิตาลี เราจึงวางใจได้ว่าพาสต้าของร้านมีความเป็นอาหารอิตาเลียนแท้ เมนูพาสต้าของร้านจะใช้เส้นสดทำมือทั้งหมด แถมยังมีความหลากหลายให้เลือกอย่างจุใจอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น แทลเลียเตลเล บูคาตินี หรือ ตัลยาเตลเล และอื่น ๆ ซึ่งเราสามารถเลือกสั่งได้ตามความสนใจของเรา การรับประทานเมนูพาสต้าทามกลางบรรยากาศสีฟ้าอันแสนอบอุ่นของร้าน นับเป็นหนึ่งในวิธีการผ่อนคลายความเครียดทีดี หากใครมองหาร้านพาสต้านั่งชิว La Dotta จะตอบโจทย์มาก นอกจากเมนูพาสต้าแล้ว ทางร้านยังเสิร์ฟอาหารอย่างอื่นด้วย
หากใครเคยมาเดินเล่นที่ ‘สามย่าน’ คงคุ้นเคยกับสถานที่ที่เป็นเหมือนกับแลนด์มาร์กจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น สามย่านมิตรทาวน์ จามจุรีสแควร์ หรือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงร้านขายของหวานที่เป็นดั่งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของเหล่านักศึกษามานานกว่า 8 ปีอย่าง ‘Creamery Boutique Ice Creams’ ซึ่งนอกจากจะเป็นร้านที่มีบรรยากาศชวนให้มานั่งชิวแล้ว ทางร้านยังเสิร์ฟเมนูพาสต้าและของหวานที่มีเอกลักษณ์และใช้วัตถุดิบสุดพรีเมี่ยมอีกด้วย บรรยากาศร้าน เมื่อผลักบานประตูและเดินเข้าไปภายในร้าน สิ่งที่สะดุดตาเรามาก คือ ตู้ไอศกรีมหน้าร้านที่บรรจุสกู๊ปไอศกรีมสุดพรี่เมี่ยมเอาไว้กว่า 10 รส ซึ่งมีทั้งรสชาติที่เราคุ้นเคยอย่าง วานิลลา และที่เราไม่คุ้นหูอย่าง รสนมเด็ก ซูกัส หรือ ใจแตก ซึ่งทางร้านบอกว่า ปกติจะมีรสชาติไอศกรีมมากถึง 30 รส แต่เลือกที่จะนำมาขายเพียง 10 รส และจะเปลี่ยนรสชาติไอศกรีมใหม่ทุกเดือนเหมือนเป็นกิมมิคที่สร้างความแปลกใหม่ให้กับลูกค้า เราสามารถจับคู่ไอศกรีมกับรสชาติคุ๊กกี้ที่เราชื่นชอบ หรือ จะสั่งมาทานแบบเดี่ยวก็ได้ตามใจเรา ที่ร้าน Creamery เราสามารถเอนจอยกับของหวานภายใต้บรรยากาศแบบห้องนั่งเล่น (living room) อันประกอบไปด้วยของตกแต่งสุดชิวอย่าง เฟอร์นิเจอร์ไม้ หนังสือ ผ้าม่านสีขาว กรอบรูปตั้งโต๊ะ หรือ ดอกไม้ประดับ
ถึงแม้จะมีต้นกำเนิดมาจากซีกโลกตะวันตก แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ ‘สเต็ก’ ได้กลายเป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของบ้านเราไปแล้ว มี Steak House เกิดขึ้นมากมายจนสามารถหารับประทานได้ง่าย ๆ ไม่ต่างจากอาหารไทย ไล่เรียงตั้งแต่สเต็กราคาประหยัดที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ไปจนถึงสเต็ก ‘High-End’ ที่หนึ่งชิ้นราคาอาจสูงถึง 5 หรือ 6 หลักเลยทีเดียว เราคิดว่าน่าจะมีหนุ่ม ๆ ไม่น้อยที่ชื่นชอบเจ้าอาหารชนิดนี้ เราเองก็เช่นกัน เพราะถึงแม้สเต็กจะมีหน้าตาเรียบง่าย แต่แท้จริงแล้วมันคือศาสตร์อย่างหนึ่งที่ซับซ้อน มีปัจจัยมากมายไม่ว่าจะเป็นประเภทของเนื้อ, วิธีการหมัก, วิธีการย่าง, หรือแม้กระทั่งการใช้ความร้อน ด้วยเหตุนี้ UNLOCKMEN จึงขอแนะนำ 5 ร้านสเต็กที่เราชื่นชอบ มาเอาใจหนุ่ม ๆ สายเนื้อโดยเฉพาะ Neil’s Tavern ร้านสเต็กเก่าแก่ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1969 ซึ่งแน่นอนว่าด้วยประสบการณ์กว่า 50 ปีจึงทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งใน Steak House ที่เหล่า Steak Lover ต้องหาโอกาสมาลิ้มลองให้ได้สักครั้ง ตามชื่อ Neil’s Tavern การตกแต่งของที่นี่ให้บรรยากาศเหมือนหลุดไปอยู่ในโรงเตี๊ยมสักแห่งในยุโรป เป็นความรู้สึกที่ทั้งเคร่งขรึมและผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน Why I Love
หากคุณเคยไปเดินเล่นย่านเยาวราชหรือเคยขับรถผ่านถนนเจริญกรุงกันมาบ้าง ก็คงพอคุ้นหูกับ ‘ย่านทรงวาด’ ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนัก เนื่องด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ชิดติดริมแม่น้ำทำให้ในอดีตถนนเส้นนี้ถูกใช้เป็นเส้นทางการค้าส่งอาหารทะเล เครื่องเทศ หรือผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ สองฟากถนนจึงเต็มไปด้วยร้านนำเข้าและส่งออก ซึ่งหลาย ๆ ร้านก็ยังคงดำเนินกิจการมาให้เห็นจนถึงปัจจุบัน เราลัดเลาะไปตามถนนทรงวาด ก่อนจะเดินเข้าไปในตรอกสะพานญวณ อันเป็นที่ตั้งของร้าน ฮบ. ร้านอาหารสไตล์ casual dining สุดลึกลับแห่งย่านทรงวาดที่เป็นจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ ฮบ. ร้านอาหารลึกลับแห่งทรงวาด เมื่อผลักประตูบานสีขาวเข้าไปจะพบกับร้านอาหารบรรยากาศอบอุ่น ภายในผสมผสานเสน่ห์ของตึกเก่าเข้ากับโทนสีเขียวเข้มแบบสมัยใหม่ ผนังปูนเก่าแก่บางส่วนยังคงเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เพิ่มกลิ่นอายร่วมสมัยให้ร้านด้วยเฟอร์นิเจอร์สีวินเทจและผนังไม้สีอบอุ่น แถมเพดานบางส่วนที่ยกโครงสร้างขึ้นไปด้านบน ก็ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งและดูไม่อึดอัด ร้าน ฮบ. เป็นร้านอาหารสไตล์ casual dining ที่เสิร์ฟอาหารท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ทุกเมนูอาหารของร้านนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์การท่องเที่ยวในต่างแดนของเจ้าของร้านทั้งสี่คน อาหารทุกจานจึงตีความจากประสบการณ์เฉพาะตัวของพวกเขา และถ่ายทอดมันออกมาผ่านคอร์สเมนูดินเนอร์ที่แบ่งเป็นเซต A และ B คอนเซ็ปต์แรกของร้าน ฮบ. คือ ‘Saigon 1st Time’ การไปเที่ยวเวียดนามครั้งแรกที่หยิบนำเอกลักษณ์ของอาหารเวียดนาม มาผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่นที่หาได้จากย่านทรงวาด จนเกิดเป็นอาหารเวียดนามสไตล์ฟิวชั่นสุดแปลก โดยเมนูอาหารของร้านจะสับเปลี่ยนทุก ๆ สามเดือน และต้นเดือนมีนาคมของปี 2020
ตอนที่เราเคยคิดจะทำธุรกิจอะไรสักอย่าง มีคนเคยบอกเราว่า ถ้าอยากทำธุรกิจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องขายได้ไม่ได้ “ของกิน” นี่แหละเสี่ยงเจ๊งน้อยที่สุด เพราะยังไงคนก็ต้องกิน ถ้าเทียบกับของสิ้นเปลืองอื่นที่จะใช้ก็ได้ไม่ใช้ก็ได้ เศรษฐกิจฝืด ๆ แบบนี้ เรื่องกินยังเป็นเรื่องใหญ่ที่เรายอมจ่าย หลังจากออกไปทำงานเยอะ ๆ เข้า มีโอกาสเจอคนในวงการอาหารจริง ๆ แล้วพูดคุยกัน ความจริงที่เห็นมันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะการแข่งขันสูง คนก็เอาใจยากขึ้นเยอะ เราเลยเปลี่ยนใจหันหลังให้กับการจับตะหลิวมากอดคีย์บอร์ดแทน มองความเปลี่ยนไปของวงการอาหารจากมุมนอกและทำเรื่องที่ถนัดกว่าอย่างการสั่งมากิน แต่ถ้าวันนี้มีใครสักคนถามเราว่า วงการอาหารยังมีที่ว่างเหลือไหม เราจะพูดว่า “มี” ถ้าคุณเตรียมตอบโจทย์การตั้งคำถามที่ว่า “แล้วเราจะได้อะไร?” จากฝั่งลูกค้าได้มากขึ้นหรือดีกว่าจากสิ่งที่ทั่วโลกกำลังทำอยู่ตอนนี้ และนี่คือคำตอบของนักธุรกิจที่เรารวบรวมมาให้ ทั้งแบบที่เกี่ยวข้องแบบร้านอาหารโดยตรงและคนที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาปรุงอาหารเองแต่ก็ขอมีเอี่ยวกับสายนี้ด้วยคน ดังต่อไปนี้ “หิว” แต่ไม่รู้จะกินอะไร ร้านอาหารดี ๆ มีเยอะ อยู่ในตรอกซอกซอยเต็มไปหมด แค่เฉพาะในเมืองหลวงกรุงเทพฯ ยังมีหลายร้านที่เราไม่เคยไปสักครั้งหรืออาจจะไม่โดดเด่นเท่าแบรนด์ดัง วิธีการที่ดีที่สุดที่หลายคนทำคือวิ่งเข้าหน้า Feed และโฆษณาอย่างมีชั้นเชิง หนึ่งในวิธีเรียกร้องความสนใจไปให้คนหิวก็คือการไปเคาะหน้าตาจอถึงที่ เช่นเดียวกับที่ร้านขายเบอร์เกอร์ในต่างประเทศอย่าง Wendy ใช้ คือการโปรโมตร้านผ่านเกม Fornite เกมต่อสู้ยอดนิยม โดยสร้างตัวละครคาแรกเตอร์หญิงเข้าไปทำลายตู้แช่แข็งเบอร์เกอร์ เพราะ Wendy ที่ทนไม่ได้กับการแช่แข็ง
เมนูยอดฮิตของร้านตามสั่งอย่าง “กะเพรา”เป็นอีกเมนูที่รสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทยจึงครองใจคนทุกเพศทุกวัยไปแบบขาดลอย วันนี้เมนูกะเพราไม่ได้เป็นแค่เมนูซิกเนเจอร์ในร้านอาหารตามสั่งทั่วไปอีกแล้ว แต่ยังเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้านนั่งดื่มบรรยากาศดีอย่าง “กะเพราผัด รัชบาร์ 32” ที่หยิบเอาเมนูนี้มาขายจนเป็นจานเด็ดของร้านที่ไม่สั่งไม่ได้ แค่กะเพราธรรมดาก็คงจะเหมือนร้านอื่นเกินไป มาลองกะเพรารสเด็ดเผ็ดถึงใจ ด้วยวัตถุดิบที่ตั้งใจคัดมาอย่างดีเหมือนกับทำกินเองของร้านนี้ แกล้มเบียร์เย็น ๆ ในร้านบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองด้านใน หรือจะเป็นสวนด้านนอกที่ร่มรื่น ชวนให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งความหรรษากันแบบ Open Air ลองไปทำความรู้จักกับเมนูเด็ดของร้านนี้ที่มันส์ไม่แพ้เมนูของพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน ก่อนที่จะหยิบกุญแจรถออกเดินทางไปพิสูจน์ความเผ็ดร้อนกันในคืนนี้ ร้านนี้ซ่อนตัวอยู่ในซอยรัชดา 36 เดินทางง่ายใกล้ MRT ลาดพร้าว เข้าซอยมาให้มองทางขวามือไว้ จะเห็นบรรยากาศร่มรื่นที่ยื่นออกมานอกรั้วเล็กน้อย นั่นแหละ ถึงร้านแล้ว แม้ชื่อร้านจะชวนให้คิดว่านี่คือร้านอาหาร แต่ความจริงพรั่งพร้อมด้วยเครื่องดื่มบาดคอให้เราได้เมามายไปพร้อมกับบรรยากาศด้วยเช่นกัน บริเวณของร้านแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนด้านในบ้านและสวนด้านนอก ใครสะดวกนั่งตรงไหนสามารถจับจองพื้นที่กันได้ตามใจชอบ เดิมทีร้านนี้เป็นเหมือนร้านที่เพื่อนหลาย ๆ คนหุ้นกันทำ ความตั้งใจแรกคือเปิดร้านขายเฉพาะกะเพรา เพราะทุกคนชอบกินกะเพราเหมือนกันหมด แต่กะเพราเฉย ๆ ก็คงจะเบสิกเกินไป เติมรสชาติจัดจ้านจึงเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของร้าน ความเผ็ดร้อน เข้มข้น ดุเดือด ซ่อนตัวอยู่ในเนื้อฉ่ำ ๆ ทุกจาน ที่สำคัญยังไม่ต้องกลัวว่าปรุงใหม่แล้วรสชาติไม่เหมือนกัน เพราะทางร้านคิดถึงความง่ายและสะดวกจึงคิดค้นซอสกะเพราสูตรลับของร้านที่ปรุงขึ้นมาเองเป็นตัวชูรสขึ้นมาใช้ ส่วนใครที่ไม่สันทัดความเผ็ดระดับปรอทแตกไม่ต้องกังวล
‘กองทัพต้องเดินด้วยท้อง’เห็นจะจริงอย่างที่สุภาษิตนี้ว่าไว้ เพราะนอกจากมังงะแอ็คชั่นระเบิดภูเขาเผากระท่อมสไตล์โชเน็นแล้ว มังงะอีกหนึ่งแนวที่ได้รับความนิยมตีคู่กันมาตลอดคือ ‘มังงะอาหาร’ มังงะอาหารนั้นอยู่คู่กับนักอ่านมาอย่างยาวนาน นานเสียจนอาจจะตกหล่นจากความทรงจำของใครหลายคน วันนี้เราจึงอยากเขียนถึงเผื่อว่าใครกำลังหาอะไรอ่านตอนทานข้าว กับ 5 มังงะทำอาหารที่เราชื่นชอบที่สุด ย้ำอีกครั้งว่าตามความชอบเราเป็นหลัก ขาดตกเรื่องไหนไปขออภัยไว้ ณ ที่นี้ Chuka Ichiban! Written by: อัตสึชิ โอกาวะ ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีในชื่อไทย ‘ยอดกุ๊กแดนมังกร’ ตั้งแต่จำความได้นี่คือมังงะทำอาหารเรื่องแรกที่เรารู้จัก ภาพที่เราแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่เช้าวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อดูเรื่องนี้ที่ฉายทางช่อง 9 ยังชัดเจนในความทรงจำ ยอดกุ๊กแดนมังกรว่าด้วยเรื่องราวการเดินทางของเด็กหนุ่ม หลิว เหมา ซิง ที่ต้องการจะเป็นสุดยอดนักทำอาหารแห่งประเทศจีนและคอยปกป้องผู้คนจากสมาคมอาหารใต้ดิน รวมไปถึงการค้นหาเครื่องครัวในตำนานตามประวัติศาสตร์ ซึ่งระหว่างการเดินทางเหมาก็พบเจอกับเรื่องราวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นศัตรูคู่แข่งฝีมือฉกาจ มิตรภาพ หรือแม้กระทั่งความรัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ค่อย ๆ หล่อหลอมเหมาให้กลายเป็นพ่อครัวที่เก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ สารภาพตามตรงว่าก่อนรู้จักกับมังงะเรื่องนี้ เราไม่อินกับอาหารจีนเลยแม้แต่น้อย ค่อนไปทางไม่ชอบเสียด้วยซ้ำ แต่ยอดกุ๊กแดนมังกรสามารถเปลี่ยนทัศนคติเราที่มีต่ออาหารจีนได้สำเร็จ ต้องขอบคุณอาจารย์อัตสึชิ โอกาวะ ที่ทำให้โลกอาหารของเราเปิดกว้างขึ้น Shokugeki no Soma Written by: ยูโตะ สึคุดะ
วันอาทิตย์คือวันที่เราหวงแหน เป็นวันที่เราไม่อยากให้มันผ่านไป บางครั้งถึงขั้นแอบคิดว่าการที่หนึ่งสัปดาห์มีวันอาทิตย์แค่วันเดียวมันน้อยไปหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่คิดแบบนี้ เพราะเจ้าของคาเฟ่เล็ก ๆ บรรยากาศน่ารักในซอยทองหล่อ 13 ที่เราได้ไปเยือนมาก็คิดเช่นเดียวกัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ร้านนี้ชื่อว่า ‘Sundays’ ที่ห้ามลืมเติม S เด็ดขาด ยังไม่ทันจะเข้าไปข้างใน เราก็สะดุดตาเข้ากับการตกแต่งบริเวณหน้าร้านที่เต็มไปด้วยสีสันลวดลาย ดูนามธรรมเข้าใจยากแต่ก็สวยงามและเข้ากับคอนเซ็ปต์วันอาทิตย์ของร้านอย่างมาก เมื่อเปิดประตูเข้าไปในร้าน ทุกอย่างดูละลานตาไปหมด ผลงานศิลปะมากมายถูกวางกระจัดกระจายไว้แทบทุกจุดของร้าน เป็นการตกแต่งร้านที่ดูไม่เป็นสัดเป็นส่วน แต่ก็มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ซึ่งหลังจากได้พูดคุยกับเจ้าของร้าน เราจึงทราบว่าผลงานศิลปะทุกชิ้นในร้านคือผลงานของหุ้นส่วนร้านและกลุ่มเพื่อน ไม่มีคอนเซ็ปต์อะไรเป็นสำคัญ ทุกอย่างเกิดจากการตามใจตัวเองเป็นหลัก ดังนั้นการที่ผลงานทุกชิ้นดูไม่มีจุดร่วมกัน ถูกวางอย่างกระจัดกระจาย ดูไม่ตั้งใจนั้นแท้จริงแล้วคือความตั้งใจที่อยากให้มันออกมาเป็นแบบนี้ อย่างที่บอกไปว่า Sundays คือร้านเล็ก ๆ แต่เป็นร้านที่เราใช้เวลาเดินสำรวจนานมาก ทุกมุมของร้านถึงแม้จะดูเต็มไปด้วยสิ่งของ แต่สิ่งของทุกชิ้นก็มีเรื่องราวและความเป็นศิลปะซ่อนอยู่ ดังนั้นการมาที่คาเฟ่วันอาทิตย์แห่งนี้ นอกจากจะได้พักผ่อน ปลดปล่อยความเครียดให้ลอยหายไปตามบรรยากาศแล้ว ยังได้เพลิดเพลินกับแกลเลอรี่ขนาดย่อมอีกด้วย ไม่ใช่แค่การตกแต่งร้านเท่านั้นที่ Sundays ทำตามใจตัวเอง แต่อาหารของที่นี่แทบทุกเมนูก็เกิดจากการทำตามใจตัวเองแทบทั้งสิ้น ก็อยากกินเมนูแบบนี้ อยากให้รสชาติออกมาแบบนี้ โดยเฉพาะเมนูที่เราจะแนะนำ โดยเมนูแรกคือ Angel Hair Namprik Narok Kai Goong (290 บาท) เป็นเมนูที่แค่เห็นหน้าตาก็ร้องว้าวแล้ว
งานอดิเรกของหนุ่ม ๆ ในสายตาผู้หญิงค่อนข้างเป็นอะไรที่จำกัด อาจจะมีอยู่ไม่กี่อย่างที่เธอนึกออก ดนตรี กีฬา รถ เกมส์ ตัวเลือกเหล่านี้คงจะผุดขึ้นมาในหัวของสาว ๆ เป็นอันดับต้น ๆ แน่นอน แต่จริง ๆ แล้วหนุ่มอย่างเรามีหลายมิติที่สาว ๆ อาจจะคาดไม่ถึง กิจกรรมหลายอย่างที่เราชื่นชอบจนหยิบเอามาเป็นงานอดิเรกแม้จะขัดกับลุคของเราก็ตาม อย่างการทำอาหารก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่สาว ๆ จะคาดไม่ถึงเท่าไหร่ว่าผู้ชายจะสนใจในเรื่องนี้ (หรือคิดว่าคงมีแค่ส่วนน้อย) แต่เชื่อเถอะว่ายังมีหนุ่มอีกจำนวนมากที่หลงใหลในการปรุงแต่งรสชาติ การเลือกวัตถุดิบชั้นดี สร้างสรรค์เมนูอาหาร UNLOCKMEN อยากจะชวนหนุ่ม ๆ ที่มีใจรักในการทำอาหารมาดูหนัง 5 เรื่องนี้ที่เราคัดมาให้แล้ว รับรองว่าต้องน้ำลายไหล เหมือนได้กลับไปอ่านยอดกุ๊กแดนมังกรในวัยเด็กยังไงอย่างงั้น The Lunchbox (2013) Director : Ritesh Batra ลืมหนังอินเดียยกตลาดมาเต้น ร้องเพลงข้ามภูเขาไปได้เลย เรื่องนี้ถือเป็นอีกเรื่องที่เป็นตัวแทนของหนังอินเดียสมัยใหม่ เรื่องราวจะยึดอยู่กับการส่งข้าวกล่องในอินเดีย ที่เราจะต้องทึ่งกับวัฒนธรรมนี้แน่นอน เรื่องเริ่มจากแม่บ้านคนหนึ่งที่ระหองระแหงกับสามีมาระยะหนึ่ง เธอหวังว่าฝีมือการทำอาหารที่เธอตั้งใจใส่ความรู้สึกลงไปด้วยนี้ จะช่วยดึงสามีเธอให้กลับมาสนใจเธออีกครั้ง แต่ข้าวกลางวันกล่องนั้นกลับส่งไปไม่ถึงสามีของเธอ แต่ดันไปส่งที่ Fernandes หนุ่มออฟฟิศที่ใกล้เกษียณ ใช้เวลาไปกับการนั่งเสียใจเรื่องภรรยาที่จากไปของเขา จนวันหนึ่งที่เขาได้ข้าวกล่องที่ส่งผิด เขาเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง