ตราบเท่าที่ความขมปนอร่อยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังเป็นรสชาติที่ถูกปากและถูกใจผู้ชาย UNLOCKMEN ก็ไม่เหน็ดเหนื่อยที่จะเสาะหาบาร์เหล้าเจ๋ง ๆ และค็อกเทลแก้วพิเศษจากทั่วกรุงเทพฯ มาแนะนำให้หนุ่มนักดื่มทุกคนได้รู้จัก ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านนี้ต้องยอมรับว่ามีบาร์เหล้าเท่ ๆ เปิดใหม่หลายแห่ง แต่ไม่ใช่ทุกบาร์จะออกแบบร้าน เสิร์ฟเครื่องดื่ม หรือบรรเลงบทเพลงได้ถูกจริตกับไลฟ์สไตล์แมน ๆ ของผู้ชายเรา ก่อนหมดปี 2019 นี้ UNLOCKMEN เลยอยากชวนหนุ่ม ๆ มาฉลองส่งท้ายปีกับ 5 บาร์เหล้าสุดเจ๋งที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ผู้ชาย และเรายกย่องให้เป็น Mancave of the Year เชื่อว่าหนึ่งในร้านเหล่านี้ต้องถูกใจพวกคุณแน่นอน Lennon’s เริ่มต้นที่ Lennon’s บาร์ลับยุค 70s ใจกลางเพลินจิตที่รวบรวมตลับเทปและแผ่นไวนิลไว้กว่า 6,000 แผ่น บรรยากาศของร้านตกแต่งให้ดูย้อนยุคและสะท้อนความเป็น Art Deco ความพิเศษของที่นี่คือทุกวันอังคารถึงวันเสาร์จะมีดีเจมาสปินแผ่นไวนิล เพื่อคงความเป็นแอนะล็อกเอาไว้ โดยปราศจากการเล่นเพลงดิจิทัล พร้อมใช้เครื่องเล่นเพลงเกรดพรีเมียมช่วยดึงผู้ฟังให้ดำดิ่งลงไปในท่วงทำนองดนตรีมากยิ่งขึ้น นอกจากโซนบาร์เหล้าที่ประดับด้วยโคมระย้าและโซนชมวิวตึกระฟ้า อีกจุดเด่นของร้านนี้คือเลานจ์สูบซิการ์ที่อบอวลไปด้วยแสงสลัวและม่านควัน แถมยังมีซิการ์หายากจากประเทศคิวบาอย่าง pre-embargo Cigars อีกด้วย ค็อกเทลของ Lennon’s ได้แรงบันดาลใจมาจากบทเพลงและตัวศิลปิน จึงตั้งชื่อเมนูที่บ่งบอกรสชาติของค็อกเทลและรสชาติดนตรีในเวลาเดียวกัน
จบไปแล้วกับงาน Coca-Cola Presents Siam Music Festival 2019 กลางสยามสแควร์เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อชวนวัยมันส์ วัยซ่ามาสร้างประสบการณ์ทางดนตรีและเป็นส่วนหนึ่งของการทำลายสถิติโลกจาก Guinness World Records: Longest Toast Relay หรือการต่อโต๊ะกินอาหารร่วมกันที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งแน่นอนว่างานนี้ UNLOCKMEN ไม่พลาด ตามติดไปเก็บบรรยากาศมาฝากกันด้วย แค่เริ่มต้นเดินเข้าสยามฯ มาช่วงกลางวันก็เจอไฮไลต์ของงานแล้ว คือการเป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญทุบสถิติโลกที่โค้กเขาจัดให้ ตอนแรกเราก็ยังตื่นเต้นว่า Longest Toast Relay จะออกมาเป็นแบบไหน มันจะยากเกินกว่าจะเข้าร่วมไหม แต่พอรับฟังที่มาแคมเปญเข้าไปจริง ๆ ก็ใจชื้น เพราะสกิลที่เราต้องมีคือแค่ Enjoy กับมื้ออาหารสตรีตฟู้ดบนโต๊ะและจิบโค้ก ต่อโต๊ะกินข้าวให้ยาวเพื่อเข้าคอนเซ็ปต์ ‘เปลี่ยนมื้อธรรมดา เป็นช่วงเวลาพิเศษ’ ซึ่งไม่ได้ต่างจากปกติที่เราทำเป็นประจำ กิจกรรมเริ่มต้นเมื่อผู้เข้าร่วมงานในเสื้อโค้กสีแดงทยอยเข้ามาในบริเวณพื้นที่จัดงานสร้างสถิติใหม่ เริ่มขยับจัดโต๊ะ ต่อโต๊ะกินอาหารด้วยกันเป็นแนวยาว มองแล้วงานนี้ร่วม ๆ พันกว่าคน (เช็กจำนวนตามหลังระบุว่า 1,300 คน) หลายคนพาเพื่อน พี่น้อง ครอบครัวมา ส่วนเราที่มาลำพังได้เจอเพื่อนใหม่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะและทำความรู้จักกัน
หากคุณเคยไปเดินเล่นย่านเยาวราชหรือเคยขับรถผ่านถนนเจริญกรุงกันมาบ้าง ก็คงพอคุ้นหูกับ ‘ย่านทรงวาด’ ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนัก เนื่องด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ชิดติดริมแม่น้ำทำให้ในอดีตถนนเส้นนี้ถูกใช้เป็นเส้นทางการค้าส่งอาหารทะเล เครื่องเทศ หรือผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ สองฟากถนนจึงเต็มไปด้วยร้านนำเข้าและส่งออก ซึ่งหลาย ๆ ร้านก็ยังคงดำเนินกิจการมาให้เห็นจนถึงปัจจุบัน เราลัดเลาะไปตามถนนทรงวาด ก่อนจะเดินเข้าไปในตรอกสะพานญวณ อันเป็นที่ตั้งของร้าน ฮบ. ร้านอาหารสไตล์ casual dining สุดลึกลับแห่งย่านทรงวาดที่เป็นจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ ฮบ. ร้านอาหารลึกลับแห่งทรงวาด เมื่อผลักประตูบานสีขาวเข้าไปจะพบกับร้านอาหารบรรยากาศอบอุ่น ภายในผสมผสานเสน่ห์ของตึกเก่าเข้ากับโทนสีเขียวเข้มแบบสมัยใหม่ ผนังปูนเก่าแก่บางส่วนยังคงเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เพิ่มกลิ่นอายร่วมสมัยให้ร้านด้วยเฟอร์นิเจอร์สีวินเทจและผนังไม้สีอบอุ่น แถมเพดานบางส่วนที่ยกโครงสร้างขึ้นไปด้านบน ก็ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งและดูไม่อึดอัด ร้าน ฮบ. เป็นร้านอาหารสไตล์ casual dining ที่เสิร์ฟอาหารท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ทุกเมนูอาหารของร้านนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์การท่องเที่ยวในต่างแดนของเจ้าของร้านทั้งสี่คน อาหารทุกจานจึงตีความจากประสบการณ์เฉพาะตัวของพวกเขา และถ่ายทอดมันออกมาผ่านคอร์สเมนูดินเนอร์ที่แบ่งเป็นเซต A และ B คอนเซ็ปต์แรกของร้าน ฮบ. คือ ‘Saigon 1st Time’ การไปเที่ยวเวียดนามครั้งแรกที่หยิบนำเอกลักษณ์ของอาหารเวียดนาม มาผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่นที่หาได้จากย่านทรงวาด จนเกิดเป็นอาหารเวียดนามสไตล์ฟิวชั่นสุดแปลก โดยเมนูอาหารของร้านจะสับเปลี่ยนทุก ๆ สามเดือน และต้นเดือนมีนาคมของปี 2020
หนาวแรกของ กทม. มาถึงแล้ว เป็นใครก็ต้องอยากออกไปต่างจังหวัดตระเวนล่าหมอก และตั้งเต็นท์ ถ่ายรูปธรรมชาติสวย ๆ ผิงไฟ เฮฮากับเพื่อน หรือพาสาวไปสร้างความประทับใจด้วยกันทั้งนั้น เราเองก็เช่นกัน พอเห็นวันหยุดยาวก็วางแผนลาหยุดและเดินทางไปผ่อนคลายที่อุทยานแห่งชาติแม่เมย จังหวัดตาก กับปางอุ๋ง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อกางเต็นท์พักผ่อน แต่ใช่ว่าทุกคนจะเซียนเรื่องการออกทริป บางคนไปแล้วอาจจะรู้สึกแย่กับความขลุกขลักที่เจอจนไม่อยากเที่ยวแนวแคมป์ปิ้งอีก ทั้งที่จริง ๆ มันไม่ได้ยากขนาดนั้นถ้าเรามีโอกาสเตรียมตัวก่อน เพื่อไม่ให้พลาดแบบเดียวกับที่เราเจอในบางเหตุการณ์ UNLOCKMEN จึงมีทริคสำคัญ 5 ข้อที่พบเจอจากประสบการณ์จริงมาแชร์ให้เตรียมตัวก่อนออกเดินทาง เพื่อนร่วมทางโคตรสำคัญ ปัจจัยนี้ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งที่ขาดไม่ได้ จะชวนไปแคมป์ ไปกางเต็นท์ ถ้าเป็นพื้นที่บนอุทยานที่ไม่ใช่ช่วงทางเข้าหรือลานกางที่มีไว้สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ และไม่ใช่บริเวณที่มีร้านค้าให้สั่งหมูกระทะ มีน้ำอุ่นให้อาบ (บางแห่ง) สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ควร” หาเพื่อนร่วมทริปที่ดีไปด้วย เพราะเวลาอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง เราจำเป็นต้องแบ่งหน้าที่ทำกิจกรรมร่วมกัน บางคนต้องทำกับข้าว บางคนต้องล้างจาน ขับรถ ฯลฯ เวลาแบบนี้นิสัยและตัวตนของแต่ละคนจะออกมา ดังนั้น ถ้าเลือกคนกินแรงไป เราจะต้องรับทำทุกอย่างไว้เอง ถ้าเลือกคนขี้บ่นติดสบายไปอาจจะฟังมันบ่นหูชาจนหงุดหงิด ก่อนออกเดินทางจึงควรมั่นใจว่าถ้าใจเราไม่พร้อมจะทนอยู่ในสภาพนั้นตลอดทริป ควรชวนคนที่มองแล้วว่าคุยกันง่าย อยู่แล้วสบายใจ ไม่เห็นแก่ตัวไปจะดีที่สุด ส่วนเราทริปที่ผ่านมากลุ่มที่เราไปมีทั้งทำกับข้าวได้ คนออกตัวช่วยเหลือคนอื่นเป็นลูกมือ และมีพลขับชำนาญเส้นทาง
“บาร์ลับ” คำยอดนิยมที่คอนเทนต์ครีเอเตอร์สายรีวิวมักนิยามบาร์สักแห่งเพื่อยั่วให้นักดื่มอย่างเราสวมบทนักสืบไปตามรอย แต่วันนี้ UNLOCKMEN จะชวนคุณไป “บาร์ไม่ลับ” แต่เท่และมีอะไรดี ๆ มากพอจะยั่วให้คุณไปเยือน THE GARRISON BANGKOK บาร์ขรึมขลัง โอลด์สคูลสไตล์อิงลิชผับ ตั้งอย่างโจ่งแจ้งอยู่ริมถนนพหลโยธิน ย่านสะพานควาย แม้ภายนอกร้านจะพลุกพล่าน วุ่นวายตามฉบับย่านที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่ทันทีที่เห็นหน้าร้านก็สัมผัสได้เลยว่าถ้าเปิดประตูไม้บานนี้เข้าไป THE GARRISON BANGKOK จะมอบกลิ่นอายสุดเก๋าแบบอิงลิชผับให้เราได้แน่นอน สำหรับใครที่ก้าวเข้ามาใน THE GARRISON BANGKOK แล้วรู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยสัมผัสบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน เราขอแอบกระซิบกับคุณว่า ที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจาก The Garrison Pub อิงลิชผับช่วงปี 1919 ซึ่งซีรีส์ย้อนยุคยอดนิยมอย่าง Peaky Blinders พูดถึง เมื่อก้าวเท้าเข้าไป THE GARRISON BANGKOK ต้อนรับเราอย่างอบอุ่นด้วยมู้ดแอนด์โทนเข้ม ๆ จากแสงไฟสีส้มสลัวรางที่อาบไม้ อิฐ โลหะและเฟอร์นิเจอร์ทั้งร้านให้อยู่ในบรรยากาศมัวซัวชวนให้จินตนาการถึงความทรงจำเฉพาะตัว ผนังอิฐที่กรุด้วยไม้สีน้ำตาลหนักแน่นยิ่งทำให้เราอยากดื่มอะไรให้ชื่นใจแต่หัววัน โดยเฉพาะเคาน์เตอร์บาร์ไม้ที่ทอดตัวยาวรอให้เราไปนั่ง เข้ากันได้ดีกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ดูไม่เก่าแต่เก๋า ผสมรวมกลายเป็นกลิ่นอายโอลด์สคูลที่ยากจะหาใครเหมือน ไม่ได้มีดีแค่เรื่องบรรยากาศเท่านั้น THE GARRISON
เมื่อถึงคราวที่พระจันทร์ต้องขึ้นไปส่องสว่างแทนที่พระอาทิตย์ ความมืดมิดก็ค่อย ๆ เยื้องกรายเข้าปกคลุมท้องฟ้า และนั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่าชีวิตกลางคืนของผู้ชายอย่างเราได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่เป็นอีกวันที่เราโคตรเหน็ดเหนื่อยกับการทำงาน และกำลังมองหาเครื่องดื่มดี ๆ สักแก้วมาช่วยทุเลาความเหนื่อยล้านั้น ทันทีที่นึกได้ว่าแถว ๆ พร้อมพงษ์เหมือนจะมีบาร์เหล้าเปิดใหม่ เราก็ไม่รอช้าและรีบเดินทางไปยังที่นั่น แม้ต้องผ่านอุปสรรคที่เรียกว่าผังเมืองกรุงเทพฯ เจอกับความป่วยของการจราจร หรือแม้แต่เดินสวนกับฝูงชนที่พลุกพล่าน แต่เมื่อมาถึงร้าน ‘Alonetogether’ ดูเหมือนว่าความว้าวุ่นก่อนหน้ากลับหายไปเป็นปลิดทิ้ง ‘ALONETOGETHER’ บาร์ลับที่ชวนคนเหงามานั่งเมาไปด้วยกัน แม้บรรยากาศของย่านพร้อมพงษ์จะคึกคักและมีผู้คนสัญจรไปมาอย่างคับคั่ง แต่เมื่อก้าวเข้ามาในร้าน เรากลับรู้สึกได้ถึงความสงบ ความเป็นส่วนตัว และความลึกลับบางอย่างที่ทำเอาเราอยากเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล ‘Alonetogether’ เป็น Speakeasy Bar ที่มองเผิน ๆ แล้วอาจไม่รู้ว่ามันคือบาร์เหล้า เพราะหน้าร้านมีเพียงป้ายไฟสีขาวขนาดจิ๋วเท่านั้น แถมตัวร้านก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรมาก เหมือนกับซ่อนอยู่ในซอกหลืบเล็ก ๆ ของตึกแถวในย่านนี้ เมื่อผลักประตูร้านเข้าไปจะเจอกับทางเดินแคบ ๆ ที่ขนาบข้างกับเคาน์เตอร์บาร์ไม้ ทางเดินขนาดกะทัดรัดนี้จะพาคุณไปยังโถงดนตรีที่อยู่สุดทาง อันเป็นที่ตั้งของกองชุดและเปียโนสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งทุก ๆ วันพุธถึงวันเสาร์จะมีวงต่าง ๆ มาบรรเลงดนตรีแจ๊ส ตั้งแต่สามทุ่มครึ่งถึงเที่ยงคืน ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ตั้งใจจะสร้างบาร์เหล้าย้อนยุค เจ้าของร้านจึงเนรมิตห้องแถวขนาดจิ๋วให้กลายเป็นบาร์ร่วมสมัย ที่เน้นใช้วัสดุไม้และแสงเทียนเป็นพระเอกหลัก ไม่เพียงสร้างความอบอุ่นด้วยพื้นไม้ ผนังไม้ และเฟอร์นิเจอร์ไม้
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปจากวันก่อน เทรนด์การดื่มของผู้ชายเราเองก็เปลี่ยนตามไปด้วย จากที่เคยยกเหล้าซดเป็นกรม ๆ จนภาพตัด หนุ่ม ๆ หลายคนเริ่มเอียนกับรสเหล้าและหันมานั่งจิบเบียร์ชิล ๆ กันบ้างแล้ว ทำให้ช่วงนี้กระแสของ ‘คราฟต์เบียร์’ นั้นมาแรงแซงทุกโค้งจริง ๆ ไม่ว่าจะหันไปทางทิศไหน ก็จะเห็นร้านคราฟต์เบียร์เปิดใหม่ผุดขึ้นทั่วกรุง แต่ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะไปนั่งดื่มคราฟต์เบียร์ที่ไหนดี วันนี้ UNLOCKMEN มี 5 ร้านคราฟต์เบียร์สุดเจ๋งมาแนะนำ รับประกันว่าเสิร์ฟเบียร์คุณภาพ บรรยากาศดี และมีสาว ๆ สวย ๆ ให้ดูจนเพลินตา Let the Boy Die หลังจากปิดตัวไป 1 ปีเต็ม ร้านคราฟต์เบียร์สัญชาติไทยสุดเก๋าร้านนี้ก็กลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง Let the Boy Die มาพร้อมแท็ปคราฟต์เบียร์ให้เลือกมากถึง 12 แท็ป โดยจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามฤดูกาล นอกจากที่นี่จะมี House Beer เป็นของตัวเอง และเสิร์ฟคราฟต์เบียร์ไทยที่ล้วนมาจากนักต้มเบียร์ชาวไทยแล้ว ยังครีเอตเมนูกับแกล้มมาให้ทานคู่กับเบียร์อีกมากมาย ตั้งแต่ Beef Nachos สไตล์เม็กซิกัน
เมื่อเริ่มชินชาและรู้สึกหวิวท้องหน่อย ๆ กับการนั่งดื่มเหล้าและจ้องมองวิวจากมุมสูงของตึกระฟ้า เราก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศพาหนุ่ม ๆ ชาว UNLOCKMEN ไปนั่งจิบค็อกเทลชิล ๆ กันดูบ้าง แม้หลายคนจะติดภาพว่า ‘อารีย์’ เป็นย่านที่มีร้านกาแฟมากมายและรวบรวมอาหารอร่อยเอาไว้แน่นเอี้ยด แต่หากคุณลองเดินเข้าไปในซอยอารีย์ 3 จะพบว่าย่านแห่งนี้ก็มีบาร์ค็อกเทลเท่ ๆ และบรรยากาศสบาย ๆ ที่ถูกใจผู้ชายอย่างเราด้วยเหมือนกัน ระยะทางไม่เกิน 550 เมตรจากสถานีบีทีเอสอารีย์ คุณก็จะพบกับ ‘Blacksmith’ บาร์เหล้าสุดเท่ที่รอต้อนรับคุณด้วยผนังทรงโค้งรูปเกือกม้าแบบโคโลเนียล (Colonial) ผสานพื้นผิวสีดำดิบแบบอินดัสเทรียลลอฟต์ (Industrial Loft) บวกแสงไฟสลัวที่ลอดผ่านมายังด้านนอก ช่วยสร้างบรรยากาศชวนหลงใหล และทำให้เราอยากเข้าไปนั่งละเลียดค็อกเทลจนหมดคืน BLACKSMITH บาร์ที่การออกแบบสองสไตล์ผสานกันอย่างลงตัว บาร์เหล้าแห่งนี้แบ่งเป็นสองชั้น ด้านบนเปิดเป็นคาเฟ่ (ตอนกลางวัน) เน้นเสิร์ฟเมนูกาแฟ เครื่องดื่มม็อกเทล และขนมโฮมเมด ส่วนตอนกลางคืน Blacksmith จะแปลงโฉมกลายเป็นบาร์เหล้าสุดเจ๋งที่เสิร์ฟครีเอตค็อกเทลพร้อมอาหารสไตล์ฟิวชั่นเลิศรส การออกแบบภายในร้านผสมผสานระหว่างสไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ (Industrial Loft) และโคโลเนียล (Colonial) เข้าด้วยกัน ดีไซน์โครงสร้างหลักด้วยเหล็ก ปูนเปลือย และพื้นปูนขัดมัน ใช้เพดานสูงและหน้าต่างกระจกบานกว้างที่ให้ความรู้สึกดิบ เถื่อน
ต่อให้คุณจะชอบดื่มกาแฟมากแค่ไหน หรือเป็น Café Hopper ตัวยงที่พร้อมตะลุยทุกตรอกซอกซอยเพื่อค้นหาร้านกาแฟเด็ด ๆ แต่เราเชื่อว่าคงไม่ใช่ทุกร้านที่จะปรุงแต่งรสชาติกาแฟได้ถูกใจทุกคน และใช่ว่าตุ่มรับรสบนลิ้นของแต่ละคนจะเหมือนกันเสียทีเดียว ทำให้นิยามของคำว่า ‘อร่อย’ และ ‘กาแฟที่ดี’ จากปากผู้ชายแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน บางคนบอกว่ากาแฟร้านนี้อร่อย บ้างว่ารสชาติของอีกร้านนั้นกินขาด ทำให้เราคิดว่าคงไม่มีทางที่ร้านกาแฟร้านใดจะสามารถสร้างสรรค์รสชาติได้ถูกปากผู้ชายทุกคน แต่ในบรรดาร้านกาแฟที่ผุดขึ้นทั่วกรุงเทพฯ ก็มีอยู่ร้านหนึ่งที่เปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อเมนูกาแฟไปอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะเลือกเมล็ดพันธุ์และระดับการคั่วที่บาริสต้าเป็นผู้กำหนด ร้านนี้กลับเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกเมล็ด ระดับการคั่วบด และวิธีการสกัดกาแฟด้วยตัวเอง แล้วเราก็เชื่อว่าต้องมีกาแฟสักแก้วที่ถูกปากและถูกใจเราแน่นอน Y’EST WORKS COFFEE ROASTERY ท่ามกลางความวุ่นวายของย่านที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่าง ‘อโศก’ ลึกเข้าไปในซอยสุขุมวิท 23 มีร้านกาแฟเล็ก ๆ สไตล์ญี่ปุ่นซ่อนตัวอยู่ที่นี่ Y’est Works หรือ Y’est Works Coffee Roastery เป็นร้านกาแฟคุณภาพที่อิมพอร์ตมาจากประเทศญี่ปุ่น แม้เพิ่งเปิดบริการได้ไม่ถึง 5 เดือน แต่ก็ได้กระแสตอบรับจากหนุ่มสาวคอกาแฟในย่านนี้เป็นอย่างดี ภายในร้านตกแต่งด้วยผนังสีขาวและเฟอร์นิเจอร์ไม้ สร้างบรรยากาศอบอุ่นด้วยสีเอิร์ธโทน และสะท้อนความเป็นร้านกาแฟญี่ปุ่นผ่านวัสดุไม้และความเรียบง่ายของงานดีไซน์ FIND YOUR BEST COFFEE! ร้านนี้มีคอนเซ็ปต์หลักคือ “Find
“ทุกวัน…ผมเริ่มห่างไกลจากความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกที” ประโยคที่เหมือนดักตีหัวระหว่าง scroll เจอในโลกออนไลน์กับโปสเตอร์งานที่เห็นครึ่งคนครึ่งเหี้ย ทำให้เราตัดสินใจกันทันทีว่าชาว UNLOCKMEN ต้องไปดูงานนี้ให้ได้ ยิ่งพอไปดูกับตัวแล้วเจอความรู้สึกบวก ๆ เกินความคาดคิด ยิ่งทำให้ต้องมาบอกต่อ ก่อนจะไปว้าวกับภาพงานที่เราเอามาฝาก ซึ่งเรารับรองว่าคุณจะสนุกกว่าถ้าไปเล่น ไปเห็นด้วยตาตัวเอง ขอเกริ่นเรื่องศิลปินที่สร้างงานชิ้นนี้ขึ้นมาก่อน พวกเขาคือ “Living Spirits” กลุ่ม Art Collective ที่หลายคนเคยได้ยินหรือรู้จักจากงาน Light Installation เพราะเขาคือกลุ่มตัวแทนคนไทยที่ไปจัดแสดงงานในสิงคโปร์ ผลงานของพวกเขาเน้นการตั้งคำถาม การรับฟัง และเชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นให้ผู้คนเข้าใจและเกิดการรับรู้ผ่านศิลปะ “I GONE WILD (everyday)” ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมเรื่องการตั้งคำถามและรับฟังแปรมาเป็นงานศิลป์ให้เราเข้าถึง เขานำคอนเซ็ปต์ของภาพจำ เหตุการณ์ในเมืองหลวงที่คุ้นตา ปัญหาที่ไม่เคยถูกแก้ไขหรือแก้แล้วยังวนลูปกลับมาเป็นซ้ำ ๆ สิ่งเหล่านี้เชื่อว่าเราต้องเคยเห็น เผลอ ๆ หลายอย่างเราก็ต้องเคยทำ โดยเอามาล้อเลียนกับสำนวนภาษาของคนไทยเปรียบเทียบให้ดูตลก กัดเบา ๆ แต่ทำให้เรารู้สึกอมยิ้มตาม ภายในนิทรรศการจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนในพื้นที่เดียวกัน ส่วนแรกเป็นภาพติดผนัง และส่วนที่เป็นไฮไลต์คือเจ้าโมเดล 3d print สีขาวเทา จำลองภาพเหตุการณ์ในเมืองที่เราต้องหยิบกระจก (Tablet)