บ่ายวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์แรงกล้าสาดส่อง อุณหภูมิร้อนระอุ แต่ ‘อาซิง’ หัวหน้าแก๊งมังกรรุ่นที่ 3 กลับดูไม่ยี่หระ อาซิงในชุดสูทสีดำพร้อมหมวกทรงสูงเช่นทุกวันเดินตามบาทวิถีไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกหนึ่ง บรรยากาศเงียบสงบ แตกต่างจากหลังตะวันตกดินที่ครึกครื้นไปด้วยนักท่องราตรี อาซิงเดินฝ่าความเงียบจนไปถึงบริเวณกลางตรอก ก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอย่างใจเย็นราวกับความร้อนแรงของแสงแดดนั้นไม่สามารถทำอะไรเขาได้ หลังจากพ่นควันจนหมดมวน เขาเปิดประตูเดินเข้าไปในร้าน ๆ หนึ่ง ป้ายระบุอยู่ข้างหน้าว่า ‘โรงรับจำนำ’ อาซิงไม่ได้มีอะไรมาจำนำ เขารู้ดีว่าธุรกิจโรงรับจำนำที่นี่เป็นเพียงธุรกิจบังหน้าเท่านั้น หลังจากแลกเงินจำนวนหนึ่งเพื่อรับบัตรผ่านประตูกับพนักงานสาวที่อยู่หลังลูกกรงเรียบร้อยแล้ว อาซิงก็เดินขึ้นบันไดแคบ ๆ สู่ชั้นบน เมื่อเดินขึ้นมาบรรยากาศยิ่งดูไม่น่าไว้วางใจยิ่งขึ้น มีเพียงความเงียบสงัดภายใต้แสงไฟแดง-เขียว นอกจากนั้นบริเวณชั้น 2 ยังมีมุม CCTV ที่แสดงให้เห็นว่าที่นี่มีกล้องวงจรปิดอยู่ทั่วบริเวณ มันไม่ใช่โรงรับจำนำธรรมดาแน่ ๆ แต่อาซิงกลับเดินผ่านไปโดยไม่สนใจ เขามาที่นี่บ่อยจนเฉยชากับบรรยากาศเหล่านี้ไปแล้ว อาซิงเดินขึ้นมาถึงชั้น 3 เขาคุ้นเคยกับห้องนี้ราวกับเป็นบ้านหลังที่ 2 มันเป็นบาร์ลับที่เขากับมิตรสหายมักแวะเวียนมาเสมอ ไม่ว่าจะมาเพื่อเล่นไพ่นกกระจอก, พูดคุยธุรกิจ แม้กระทั่งสังสรรค์ ทุกอย่างเกิดขึ้นที่นี่ ถึงจะไม่มีชื่อ แต่อาซิงกับเพื่อนเรียกที่นี่ว่า Honest Mistake เนื่องจากการวางอิฐบล็อกผิดไป 1 ก้อนที่บริเวณหน้าร้าน นอกจากนั้นสถานที่แห่งนี้ยังมีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจอีกหลายจุด Honest Mistake จึงดูเป็นชื่อที่เหมาะสม
เมื่อพูดถึง ‘บ้าน’ แต่ละคนคงมีภาพในหัวของตัวเองเป็นบ้านที่แตกต่างกันไปตามประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนน่าจะรู้สึกเหมือนกันเมื่อนึกถึงบ้านคือ ความอบอุ่น ความสบายใจ และการเป็นที่พักพิง ดังนั้นถ้ามีคาเฟ่สักแห่งที่บรรยากาศเหมือนบ้าน คาเฟ่นั้นก็คงมอบความอบอุ่นแก่ผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี เรากำลังพูดถึง LAFF คาเฟ่ในซอยสุขุมวิท 50 ที่มาพร้อมกับบรรยากาศสบาย ๆ เหมาะกับการมานั่งชิลล์ในวันหยุด และที่เราบอกว่า LAFF ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านก็เป็นความตั้งใจของเจ้าของร้านโดยถือเป็นคอนเซ็ปต์ตั้งแต่วันที่เปิดให้บริการวันแรกเพราะอยากให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลาย สบาย ๆ เมื่อมานั่งที่นี่ ‘เมื่อเป็นบ้านก็ไม่อยากให้มันดูเป็นแพตเทิร์น’ ด้วยเหตุนี้โต๊ะแต่ละตัวของที่นี่จึงไม่เหมือนกันเลย นอกจากนั้นการจัดวางโต๊ะตามมุมต่าง ๆ ก็เป็นการจัดแบบตามใจฉัน ลูกค้าจึงรู้สึกผ่อนคลาย สบาย ๆ ราวกับที่นี่เป็นบ้านจริง ๆ ชื่อร้าน LAFF นั้นเล่นคำมาจากคำว่า Laugh ที่แปลว่าหัวเราะ เป็นเหมือนปณิธานของทางร้านที่อยากให้ลูกค้าทุกคนได้รับความสุขและเสียงหัวเราะทุกครั้งที่มาเยือน LAFF เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่โดดเด่นเรื่องการตกแต่ง โดยทั้งร้านจะเหมือนเป็นโดมสีเขียวขนาดย่อม มีโถงโล่งกว้างอยู่ด้านใน รับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่จากกระจกบานใหญ่ เพิ่มความร่มรื่นด้วยต้นไม้เล็กใหญ่ภายในตัวร้าน เป็นบรรยากาศที่ถ้าได้ลองนั่งแล้วรับรองว่าไม่อยากลุกไปไหนตลอดทั้งวัน LAFF ใช้วัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมในทุกเมนู เหมือนกับทำกินเองที่บ้าน และต้องสดใหม่ทุกวัน จานแรกที่ทางร้านนำมาให้ลองชิมคือ LAFF Me Tender ชีสเค้กสูตรเฉพาะของทางร้าน สดใหม่ทุกวันโดยฝีมือคุณแม่เจ้าของร้าน เนื้อเค้กนุ่มละลายในปาก ท็อปปิ้งด้วยสตรอเบอร์รี่แกะสลักสวยงาม
ไม่อยากจะพูดว่า “กาแฟ” เป็นเครื่องดื่มจำเป็นกับชีวิต แต่เชื่อว่าผู้ชายหลายคนได้ดิบได้ดีวันนี้ เพราะมีกาแฟเป็นตัวเพิ่มขีดพลังชีวิต ดึงเราขึ้นมาจากอาการซอมบี้วันก่อนหน้า ยิ่งช่วงไหนปั่นงานหนัก ๆ หนังตาหย่อนคล้อย กาแฟสดร้านแพง ๆ ก็ดี กาแฟกดเซเว่นก็ได้ (อันนี้ก็แรง กินแล้วดีดแม้ว่ามันจะหวาน) หรือกาแฟเบอร์ดี้กระป๋องเขียว นี่แหละที่ช่วยประคองชีวิตเรามา แต่เชื่อไหมว่า แม้ว่าวันนี้พวกเราจะกินกาแฟกันไปเยอะแค่ไหนก็ตาม แต่หลายคนก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องราวจริง ๆ ของมันนัก ทั้งช่วงเวลาความอร่อย การประเมินรสชาติ และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอีกมากมาย UNLOCKMEN รวบรวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกาแฟที่เรายังเข้าใจผิดมาล้างใหม่ แล้วจำเรื่องที่ถูกต้องเข้ามาแทน จากสิ่งเหล่านี้ กาแฟเป็นเครื่องดื่มตั้งแต่บรรพกาล เรารู้กันดีว่าเอธิโอเปียน่าจะเป็นแหล่งกำเนิดตำนานกาแฟบนโลกใบนี้ เพราะว่ากันว่าต้น Coffea Arabica เกิดขึ้นครั้งแรกที่ซูดานใต้ แต่รู้กันหรือเปล่าว่าเดิมการกินกาแฟเขาไม่ได้กินกันแบบเครื่องดื่ม แต่เป็นการกินมันในรูปแบบผลไม้ ก่อนจะเริ่มนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่มภายหลังเพื่อขจัดความง่วงในการดำเนินพิธีกรรมศาสนา ภายหลังค่อยแพร่หลายกลายเป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มกันทั่วไปทุกชนชั้น กาแฟต้องมีรสชาติขม เกิดเป็นกาแฟ ถ้าไม่ขมนี่ถือว่าเสียชาติเกิดมากครับ หยุดก่อน! ถ้าคุณเกิดไปชิมกาแฟสดจากร้านไหนสักร้านแล้วเจอรสชาติโดดอื่นอย่างความเปรี้ยว หรือความหวาน ไม่ได้ขมปี๋เหมือนที่กินปกติ เลยคิดว่ามันไม่ดี จงเก็บความคิดนี้ไว้ อย่าเพิ่งสบถมันออกมาว่านี่กาแฟเสียหรือเปล่าวะ เพราะความจริงรสชาติของกาแฟมันมีมากกว่าความขม เปรี้ยว หวาน ขม คือเบสของรสชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้ในกาแฟหนึ่งแก้ว เปรี้ยว
‘Brunch’ คือมื้ออาหารที่ควบรวมมื้อเช้า (Breakfast) กับ มื้อเที่ยง (Lunch) เข้าด้วยกัน เดิมมีจุดเริ่มต้นมาจากอเมริกันชน ดังนั้นวัฒนธรรมการรับประทานอาหารแบบนี้ในบ้านเราจึงไม่เป็นที่นิยมนัก ทั้ง ๆ ที่ไลฟ์สไตล์ของคนไทยโดยเฉพาะคนเมืองถือว่าเหมาะกับ Brunch สุด ๆ เนื่องจากความขี้เกียจตื่นเช้าหรือเร่งรีบจนไม่มีเวลากิน Breakfast แต่ก็ทนหิวจนถึง Lunch ไม่ไหว Brunch จึงเป็นมื้ออาหารที่ตอบโจทย์ วันนี้เรามี Brunch Cafe มาแนะนำด้วยกันทั้งหมด 5 ร้าน การันตีเรื่องรสชาติและบรรยากาศที่จะไม่ทำให้ผิดหวัง Toby’s ลึกเข้าไปในซอยสุขุมวิท 39 Toby’s คือ Cafe & Brunch ในบรรยากาศกระท่อมไม้เล็ก ๆ ที่มองภายนอกก็รู้สึกอบอุ่นจนอยากเข้าไปใช้เวลายามสายในที่แห่งนี้ ซึ่งก็ตรงกับความตั้งใจของผู้ก่อตั้งร้านที่อยากให้ลูกค้าทุกคนแวะมาดื่มกาแฟและรับประทาน Brunch ในบรรยากาศสบาย ๆ เป็นกันเองเหมือนอยู่บ้านเพื่อน เพื่อจะให้ได้บรรยากาศดังกล่าว Toby’s จึงเลือกใช้โทนสีขาวในการตกแต่งเป็นหลัก ใช้เฟอนิเจอร์ไม้ และเน้นการเปิดโล่งรับแสงธรรมชาติ อาหารที่ Toby’s เน้นใช้วัตถุดิบสดใหม่จากธรรมชาติและเน้นการปรุงรสให้น้อยที่สุด เพื่อให้สามารถลิ้มรสชาติที่แท้จริงของวัตถุดิบให้ได้มากที่สุด ทั้งอร่อยทั้งดีต่อสุขภาพ เหมาะกับการเป็นมื้อเริ่มต้นวันใหม่ Location: 68/1 ซอยสุขุมวิท
กาแฟหนึ่งแก้ว อาจมีความหมายที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน สำหรับบางคนอาจเป็นเครื่องดื่มรสขมหลายมิติ อาจเป็นแหล่งคาเฟอีนชั้นเยี่ยม อาจเป็นงานศิลปะ และอาจเป็นผลงานมาสเตอร์พีซสักชิ้น แต่สำหรับ “RED DIAMOND CAFE” คืออย่างหลัง กาแฟคือเครื่องดื่มที่ไม่ได้อัดแน่นไปด้วยคาเฟอีนเพียงอย่างเดี่ยว แต่ยังเต็มไปด้วยความประณีต ความพิถีพิถัน ตั้งแต่ต้นทางของกระบวนการทำกาแฟอย่างการเลือกเมล็ด การคั่ว ไปจนถึงการเสิร์ฟแก้วต่อแก้ว ท่ามกลางบรรยากาศที่ทำให้เราหลงใหลไปกับกลิ่นหอมที่อบอวลเหมือนนั่งอยู่ในโรงคั่วกาแฟ มาเดินทางไปทำความรู้จักที่นี่ไปพร้อมกับเรา แม้คุณจะไม่ใช่คอกาแฟ แต่รับรองว่าจะต้องหลงรักเสน่ห์ของมันเข้าอย่างจัง เราเดินทางไปถึงร้านในช่วงสาย เลี้ยวรถไปจอดที่ลานจอดรถฝั่งตรงข้ามร้าน ถือว่าสะดวกมากสำหรับการมีที่จอดรถรองรับลูกค้าเป็นของตัวเองแบบนี้ เราสะดุดตาเข้ากับวัสดุสี Copper ภายนอกของร้าน ที่เป็นเหมือนโรงงานอะไรสักอย่าง พอได้ก้าวเข้าผ่านประตูบานใหญ่เข้าไป เราจึงเข้าใจว่านี่คือโรงงานคั่วเมล็ดกาแฟนี่เอง ด้วยกลิ่มหอมกรุ่นที่ปะทะเข้ากับผัสสะทางจมูก ผสมผสานเข้ากับการตกแต่งภายในแบบ Industrial Loft การโชว์ท่อ สายไฟ และการโชว์ Texture แท้ ๆ ของวัสดุนั้น ชั้นล่างมีเครื่องคั่วเมล็ดให้เราได้เห็น ยิ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกว่าที่นี่คือโรงงานคั่วกาแฟจริง ๆ ชั้นบน ค่อนข้างเป็นส่วนตัว พื้นที่ที่ให้ความรู้สึก Homey มากขึ้น ด้วยแสงที่ลอดผ่านหน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์และแมวเจ้าบ้านที่คอยคลอเคลียอาคันตุกะผู้เข้ามาเยี่ยมเยียนพื้นที่ของพวกเขา ชั้นล่างมีทั้งพื้นที่ ทั้งส่วนที่เป็นบาร์ที่เราจะได้พูดคุยกับบาริสต้า ดูกระบวนการของกาแฟแต่ละแก้ว หรือลงมานั่งในพื้นที่เล่นระดับอีกขั้น สามารถเลือกเอาตามความชอบของเราได้ทั้งนั้น
‘ทองหล่อ’ คืออีกหนึ่งย่านที่เราพูดได้เต็มปากว่าคือบ้านหลังที่ 2 โดยหลังพระอาทิตย์ตกเรามักจะมาใช้เวลาที่ถนนสุขุมวิท 55 สายนี้เป็นประจำ แต่ร้านที่เราจะพาทุกคนไปวันนี้กลับเล็ดลอดสายตาเราไปอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้ง ๆ ที่มันตั้งอยู่ในทองหล่อมากว่า 18 ปี นี่จึงเป็นโอกาสดีของเราที่ได้ค้นพบแหล่งพักพิงอีกแห่ง และเราก็ชอบที่นี่เสียด้วย ใช่ เรากำลังพูดถึง ‘Shades of Retro’ บาร์เล็ก ๆ แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง ตั้งอยู่ในซอยธารารมณ์ 2 บรรยากาศเงียบสงบ ตัดขาดจากถนนทองหล่อเส้นหลัก และที่เราพูดว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงเพราะว่าที่นี่นอกจากจะเป็นบาร์ไว้สำหรับดื่มกินสังสรรค์เฮฮาแล้ว ยังเป็นร้านขายของเก่าในตัวอีกด้วย ดังนั้นถูกใจเฟอร์นิเจอร์ชิ้นไหนก็สามารถซื้อกลับบ้านได้เลย ‘Shades of Retro คือร้านขายของเก่าที่มีบาร์อยู่ในตัว’ นี่คือคำนิยามของเราเกี่ยวกับการตกแต่งร้านของที่นี่ เพราะไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็ละลานตาไปด้วยของเก่าที่เต็มไปด้วยเรื่องราว น่าจะถูกใจหนุ่ม ๆ สายวินเทจไม่น้อย Shades of Retro มีทั้งโซนอินดอร์และเอาต์ดอร์ให้เลือกนั่งได้ตามสะดวก ส่วนหนุ่ม ๆ ที่มาคนเดียวก็ไม่ต้องกลัวเหงา เพราะที่นี่มีเคาน์เตอร์บาร์ และระหว่างที่เราอยู่ในร้านก็เห็นลูกค้าหลายรายมานั่งชิลคนเดียวที่เคาน์เตอร์อย่างไม่เคอะเขิน นอกจากการตกแต่งที่ไม่เหมือนใครแล้ว ความพิเศษอีกอย่างของ Shades of Retro คือความอาวุโสของร้านที่เปิดให้บริการมากว่า 18 ปี เราบังเอิญโชคดีได้พูดคุยกับคุณบอยเจ้าของร้าน เขาเล่าให้ฟังว่า Shades of
ถ้าพูดถึง ‘สาทร’ คงต้องนึกถึงย่านที่เป็นศูนย์กลางของอาคารสำนักงานต่าง ๆ เป็นบ้านหลังที่ 2 ของเหล่าพนักงานออฟฟิศมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย แน่นอนว่าเมื่อ Work Hard อย่างเคร่งเครียดมาทั้งวันแล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องอยาก Play Hard เพื่อผ่อนคลายกันบ้าง แต่ด้วยการเดินทางในช่วงหลังเลิกงานที่ทุกคนน่าจะรู้ดีว่าเป็นยังไง การจะไปแฮงเอาต์ไกล ๆ ดูจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก วันนี้ UNLOCKMEN จึงจะมาแนะนำ 5 บาร์ย่านสาทร-เย็นอากาศ ให้ทุกคนสามารถไปชิลกันได้ง่าย ๆ หลังเลิกงาน เอาล่ะ ไปชิลกันเลย! Charm Eatery and Bar Charm Eatery and Bar คือร้านอาหารกึ่งบาร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง เพราะตัวร้านตกแต่งด้วยสไตล์ Colonial Contemporary ย้อนยุค ทำให้เรานึกถึงบรรยากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน แต่ไม่ต้องบินไปไหนไกล เพราะร้านนี้อยู่แค่ย่านสาทรเท่านั้น เรียกว่าเลิกงานปุ๊ปก็มาสัมผัสความชิลได้ปั๊ปเลย แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า Charm Eatery and Bar จะเป็นบาร์สไตล์ยุโรปจ๋า เพราะที่นี่ได้สอดแทรกความเป็นไทยใส่ลงไปไม่น้อย ทั้งอาหารที่มีการฟิวส์ชั่นกันระหว่างอาหารไทยกับอาหารอิตาเลี่ยน และในส่วนของค็อกเทลที่มีการใช้วัตถุดิบของไทยด้วยเช่นกัน ชาวสาทรคนไหนอยากผ่อนคลายสบาย ๆ ในบรรยากาศเมดิเตอร์เรเนียน ลองมาที่ Charm
‘อารีย์’ เป็นอีกย่านหนึ่งในกรุงเทพที่เราชอบ เรียกว่าตกหลุมรักก็ว่าได้ เรารู้สึกว่าย่านนี้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความเงียบสงบกับความสนุกสนาน ดังนั้นเมื่อมีบาร์หรือร้านเปิดใหม่ในย่านนี้ เราก็จะพยายามหาโอกาสไปเยือนให้ได้ ‘Feeling Bar’ คือจุดหมายปลายทางของค่ำคืนนี้ ตัวร้านอยู่ลึกเข้าไปในซอยอารีย์ 4 ฝั่งเหนือ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า แต่ก็ไม่ใช่ระยะที่ไกลเกินกว่าจะเดิน และเมื่อถึงหน้าร้าน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดนอกเหนือจากการตกแต่งร้านที่เน้นแสงไฟนีออนฉูดฉาดแล้ว คือป้ายไฟนีออนเป็นประโยคว่า How Are You Feeling Tonight? เป็นประโยคคำถามที่เราไม่จำเป็นต้องตอบ แต่ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร สถานที่แห่งนี้จะคอยเยียวยาคุณเอง เมื่อเปิดประตูเข้าไปในร้าน เรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในอีกมิติ ตัดขาดกับบรรยากาศภายนอกโดยสิ้นเชิง การตัดขาดเช่นนี้ช่วยให้เรารู้สึกลืมเรื่องกังวลใจไปได้อย่างประหลาด ปล่อยตัวปล่อยใจดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ฉาบไปด้วยแสงนีออน Feeling Bar เป็นบาร์ขนาดเล็ก มีไม่ถึง 20 โต๊ะ คะเนจากสายตาน่าจะรองรับลูกค้าได้ไม่เกิน 100 คน ซึ่งเป็นข้อดี เพราะภายใต้แสงที่ดูเหงา การที่คนในร้านใกล้ชิดกันก็ช่วยลดดีกรีความหว่องลงไปได้บ้าง คอนเซ็ปต์สำคัญของ Feeling Bar เป็นบาร์ที่เปรียบเสมือนจุดศูนย์รวมอารมณ์ของผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่ว่าคุณจะรู้สึกมีความสุข สนุก เหงา เศร้า ที่นี่ก็พร้อมให้พักพิงได้เสมอ โดยแต่ละวันทางร้านจะมีธีมแตกต่างกัน บางวันก็เอาใจคนที่กำลังเศร้าด้วยเพลงเรียกน้ำตา บางวันก็เปิดเพลงเก่ายุค 90 เอาใจ
ปีที่ผ่านมาจนถึงปีนี้ ศิลปะยังคงเบ่งบานทั่วกรุง หลายแห่งแข่งขัน ประชัน เชิญชวนให้เรานั่งไม่ติด ต้องลุกเป็นเป็นส่วนหนึ่งของงาน ในวันที่ศิลปะเบิกบาน เมื่อศิลปะถูกจับมาเขย่าแล้วทอดลงบนย่านต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ ทุกที่ที่ได้รับเลือกให้เป็นแลนด์มาร์กจะเกิดเป็นสีสัน เหมือนดอกไม้บานปลุกให้ผู้คนเข้ามามาเยี่ยมชมเล่นสนุกกันในย่านน้ัน แต่พอเทศกาลสิ้นสุดลงตามกำหนดการ ความเห่อที่ไม่กรุ่นในหน้าโซเชียลอีกต่อไป สิ่งที่ย่านเหล่านั้นเหลืออยู่คืออะไรกันแน่ เราเชื่อว่าหลายคนคงตั้งคำถาม เพื่อไม่ให้การเดินเท้าครั้งนี้เป็นแค่การเดินอย่างผู้มาเยือนเหมือนเคย เราจึงเลือกเข้าไปดูงาน Bangkok Design Week 2019 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 มกราคม 2562 – 3 กุมภาพันธ์ 2562 ในย่านตลาดน้อยกับตาตัวเองเพื่อตอบคำถาม “งานศิลปะก็ดีนะ แต่เราอยากให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมกับงานศิลปะมากกว่านี้” เป็นหนึ่งในความเห็นของคนที่เคยมาชมงานในหน้าโซเชียล ยิ่งเร้าความสงสัยเราเข้าไปอีก คนในพื้นที่เขารู้สึกอย่างไรกับงานเหล่านี้กันแน่ และเมื่อมันเข้าไปกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเขามันเกิดผลกระทบอย่างไร เหตุผลหนึ่งที่เราเลือก “ตะลัคเกียะ” หรือตลาดน้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ของการจัดงานครั้งนี้เพื่อเดินเท้าดูศิลปะ เพราะย่านนี้เป็นชุมชนจีนที่เกิดจากการขยายตัวของสำเพ็งช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ อยู่ในพื้นที่เมืองที่เดินทางได้สะดวก เราเองก็เดินทางผ่านย่านนั้นบ่อยแต่อาจจะเลยผ่านไป ทั้งที่ความน่าสนใจจากส่วนผสมของหลายวัฒนธรรมนั้นไม่ได้น้อยหน้าใคร เรียกได้ว่าแม้จะไม่ถือเป็น Big place อย่างเยาวราชแต่ก็ไม่ได้เบาบางเสียจนสามารถมองข้ามไปได้ ย่านเก่าแก่ที่มีวัฒนธรรมจีน ไทย แถมยังมีโบสถ์และการใช้ชีวิตของคนหลากหลายเจนเนอเรชั่นเดินขวักไขว่ เราลองมาดูของจริงไปพร้อมกันว่าเจ้าของพื้นที่เขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับงานศิลปะที่จัดวางอย่างไร IS ART
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต่างมีเรื่องราวที่น่าสนใจในแบบตัวเอง ไม่ว่าจะกับคน สิ่งของ หรือแม้กระทั่งสถานที่สักแห่ง และ Ha Tien Café ร้านกาแฟเท่ ๆ สไตล์ Antique ที่ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ ก็พร้อมที่จะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองแล้วเช่นกัน ความบังเอิญ ความหลงใหลในกาแฟ ความสนใจด้านสถาปัตยกรรม และของสะสมส่วนตัวของคุณเบิร์ด-เอกภพ โกมลชาติ ผู้เป็นเจ้าของร้านทำให้เกิดร้านกาแฟและเบเกอรี่ที่มีชื่อว่า Ha Tien Café สถานที่ที่ใครสักคนผู้หลงใหลในความคลาสสิก และเรื่องราวอันยาวนานของเมืองพระนครควรแวะเวียนมาสักครั้ง ความน่าสนใจของคาเฟ่แห่งนี้เริ่มตั้งแต่การตั้งชื่อร้านตามชื่อเมือง “ฮาเตียน” ในเวียดนามที่มีตำนานเก่าแก่กล่าวถึงชาวญวนที่อาศัยอยู่ในเมืองฮาเตียนที่อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในย่านนี้และเรียกกันเพี้ยนจนเป็นคำว่า “ท่าเตียน” คุณเบิร์ดก็คิดว่าตำนานอันนี้มีความน่าสนใจและยังมีน้อยคนนักที่จะเคยได้ยิน จึงเลือกหยิบฮาเตียนมาตั้งเป็นชื่อร้านกาแฟที่เขารัก เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็จะพบกับบาร์กาแฟและตู้โชว์เบเกอรี่ที่มีขนมหวานเรียงราย พร้อมกลิ่นอายของความเป็นจีนที่ยังหลงเหลืออยู่ เพราะในอดีตชั้นล่างของตึกแห่งนี้เคยเป็นร้านขายยาจีนมาก่อน อีกทั้งคุณเบิร์ดก็อยากได้สไตล์จีนมาเป็นหนึ่งในดีไซน์ของร้าน เลยตัดสินใจสร้างบาร์ชั้นแรกตามแบบบ้านของชาวจีนด้วยของตกแต่งอย่างตะกร้า กระบุง และตู้ยาที่มีล็อกเกอร์จำนวนมาก เราสามารถเลือกเมนูที่ต้องการ สั่งออเดอร์ที่เคาน์เตอร์ และเดินขึ้นไปหาที่นั่งที่ใช่บนชั้นสองหรือชั้นสาม แต่ถ้าหากอยากซึมซับกลิ่นหอมของกาแฟ นั่งดูการชงเครื่องดื่มของบาริสต้าพร้อมสัมผัสบรรยากาศแบบจีน ๆ ก็สามารถจับจองที่นั่งกันได้ตั้งแต่ชั้นแรก แต่ถ้าตัดสินใจขึ้นบันไดมายังชั้นสอง ก็ขอให้ลืมบรรยากาศร้านยาจีนที่เพิ่งเจอไปก่อนหน้านี้ เพราะบริเวณชั้นสองของร้านฮาเตียนจะนำเราไปพบกับความสวยงามทั้งดีไซน์จากฝั่งตะวันตกและสไตล์ของตะวันออกที่ผสมผสานเข้าด้วยกัน ชั้นสองของคาเฟ่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน คือโซนที่เป็นผนังไม้และกำแพงสีขาวที่ให้อารมณ์แบบไทย-จีน และบริเวณด้านในที่ตกแต่งด้วยสไตล์ชิโนโปรตุกีสพร้อมกับกำแพงสีเขียวแปลกตา ประดับด้วยของตกแต่งที่เป็นของสะสมส่วนตัวของคุณเบิร์ดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพผู้คนในประวัติศาสตร์ โคมไฟที่ไปเลือกเองถึงฝรั่งเศส เฟอร์นิเจอร์แอนทีค เรียกได้ว่าเก้าอี้ทุกตัวที่อยู่ในร้าน