ในสังคมที่เต็มไปด้วยความเครียด ความสับสนและความโดดเดี่ยว ไม่แปลกที่ผู้คนจะรู้สึกอ้างว้างและความอ้างว้างนี้ก็กัดกินเราแทบตลอดเวลาไม่ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายหรืออยู่ลำพังก็ตาม แม้เราจะอ้างว้างและเหงากันจนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ ความเหงา กลับอันตราย รวมถึงส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจมากกว่าที่คิด งานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่าคนที่ตกหลุมพรางของความเหงามีแนวโน้มจะเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่ชอบเข้าสังคม 50% ด้วยตัวเลขที่สูงมากจึงทำให้นักสังคมวิทยาได้ออกมาเตือนถึงอันตรายที่เป็นผลพวงมาจากความเหงา การศึกษาระบุว่าชาวอเมริกันมากถึงหนึ่งในสามไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็มีช่วงเวลาที่รู้สึกเหงาด้วยกันทั้งนั้น แต่สำหรับผู้สูงอายุจะรู้สึกเหงามากกว่าคนวัยอื่นถึง 18% และความเหงาเป็นเหตุที่ทำให้เราตายได้ Julianne Holt-Lunstad ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจาก Brigham Young University ได้นำเสนองานวิจัยของสมาคมจิตวิทยาอเมริกันที่สำรวจผู้คนกว่า 3.4 ล้านคนในสหรัฐ ฯ (รวมถึงการสำรวจในทวีปยุโรปและเอเชีย) พบว่าผลของความเหงาที่เกิดจากการอยู่คนเดียวนั้นจะก่อให้เกิดผลเสียกับร่างกายและชีวิตวัยเด็กได้เท่ากับโรคอ้วน เพราะยิ่งเหงาจะยิ่งเครียด และยิ่งเหงาก็จะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนามีความเห็นไปในทางเดียวกันว่าความเหงาร้ายกาจพอ ๆ กับโรคเบาหวาน อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด รวมไปถึงงานวิจัยที่พูดถึงอันตรายของความเหงาในคอนเทนต์ Loneliness Kills: เป็นคนเหงามันเจ็บปวด เพราะการเหงา “อันตรายกว่าการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน” ที่แสดงให้เห็นว่าความเหงาอันตรายเทียบเท่ากับโรคมะเร็งปอดที่มาพร้อมกับบุหรี่ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความน่ากลัวของความรู้สึกอ้างว้างที่สามารถทำร้ายเราได้ นอกจากความเหงาที่ทำให้เกิดโรคแล้ว ศาสตราจารย์ Holt-Lunstad ยังแจ้งให้คนทั่วไปได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของความเหงา และพยายามหาวิธีสลายความรู้สึกเหงา รวมถึงค้นหาคำตอบว่ากลุ่มคนประเภทไหนจะมีอัตราเสี่ยงเผชิญกับความเหงามากที่สุด คำตอบที่ได้นอกจากเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มักเหงาอยู่บ่อย ๆ แล้ว เรื่องของอายุที่ยืนยาวของเหล่าเศรษฐีก็ส่งผลทำให้เหงาได้ง่ายกว่าคนที่มีฐานะทั่วไปเช่นกัน เมื่อพวกเขาป่วย เขาพร้อมที่จะจ่ายเงินเพื่อรักษาโรค และใช้เงินไปกับการซื้อความสุข เสริมสุขภาพจิตด้วยการไปเที่ยวต่างประเทศหรือกินอาหารที่ชอบ แต่จากผลสำรวจนั้นแสดงให้เห็นว่าเศรษฐีเหล่านี้ถึงจะอายุยืนแต่อัตราการแต่งงานนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อไม่แต่งงานก็ไม่มีลูกหรือบางคนที่แต่งงานก็หย่าร้างและอยู่ตัวคนเดียว
ทุกคนต่างรู้ดีว่ายาเสพติดทุกชนิดนั้นให้โทษและเต็มไปด้วยพิษภัย แต่ภายใต้พื้นผิวแห่งความอันตรายก็กลับกลายเป็นว่า “ความลึกลับ” และ “ความท้าทาย” นั้นกำลังรอการเผยตัวอยู่ นั่นเป็นเหตุผลให้คนจำนวนไม่น้อยตัดสินใจมุ่งเข้าสู่วังวนของยาเสพติด แต่ถ้าให้เจาะลึกลงไปถึงเหตุผลจริงแท้มากกว่าความอยากลองว่าเพราะอะไรคนถึงหันมาเสพยา ? UNLOCKMEN อาสาหาคำตอบมาให้ถึงที่แล้ว พันธุกรรมทำให้เราเสพติด บทความเทคโนโลยีทางการแพทย์เขียนถึงเรื่องพันธุกรรมที่แตกต่างกันในแต่ละคนและพบว่ายีนมีส่วนกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากลองใช้สารเสพติดได้ง่ายขึ้นจริง หนังสือเรื่อง “โคเคน พิษร้ายจากอเมริกาใต้” เขียนโดยกลุ่มแพทย์ที่ทดลองทฤษฎีเกี่ยวกับโคเคนและได้คำตอบที่น่าสนใจว่าผู้มีความบกพร่องทางพันธุกรรมบางประเภทที่ส่งผลทำให้มีอาการจิตเภท หรือเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าจะมีส่วนที่ทำให้พวกเขาเริ่มหันมาใช้ยาเสพติดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป สภาพแวดล้อมรอบตัว การสำรวจระบุว่าผู้อาศัยย่านใจกลางเมืองจะตัดสินใจริลองยาเสพติดง่ายกว่าตามเขตชายขอบ เพราะมีผู้ค้าจำนวนมาก ทำให้ผู้ซื้อก็มีจำนวนมากตาม การเข้าถึงยาเสพติดจึงไม่ใช่เรื่องยากลำบากถ้าอยู่กลางเมือง รวมถึงสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่น กลุ่มเพื่อน คนใกล้ชิด เพราะเมื่อเราเห็นกลุ่มเพื่อน ๆ นัดกันปาร์ตี้เล่นยา บางครั้งอาจเกิดความรู้สึกอยากใช้ยาบ้างเพื่อทำให้ตัวเองได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนมากขึ้น เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ สภาพเศรษฐกิจมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจใช้ยาของคนในสังคม บางคนเป็นหนี้ เกิดความเครียดและหาทางออกด้วยการเริ่มต้นยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด โดยจะเริ่มจากประเภทไม่ร้ายแรงอย่างบุหรี่หรือแอลกอฮอล์ และเมื่อมีจุดเริ่มต้นเมื่อไหร่อาจจะลามไปถึงโคเคนหรือเฮโรอีนก็เป็นได้ ในขณะที่เรื่องภาษีก็มีส่วนกำหนดอัตราการใช้สารเสพติดของผู้คนได้เช่นกัน บางรัฐในสหรัฐฯ มีอัตราการสูบบุหรี่ต่ำเนื่องจากภาษียาสูบแพงกว่าที่อื่น เมื่อยาเสพติดมีราคาแพงขึ้นคนก็จะใช้น้อยลงไปเอง เพราะถ้ายามันแพงเกินไปใครจะจ่ายไหวล่ะ บุคลิกภาพ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าบุคลิกภาพถูกจัดให้เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้คนตัดสินใจใช้ยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นแอลกอฮอล์หรือสารเสพติดประเภทอื่น ๆ เพราะบุคลิกในภาพยนตร์หลายเรื่องที่พระเอกโคตรจะเท่เวลาถือซิการ์ หรือบทบาทเจ้าพ่อมาเฟียที่มาพร้อมยาเสพติดทุกประเภทที่ไม่ว่ามุมไหนก็ให้ภาพลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา
วินัย กฎเกณฑ์ การอยู่ภายในกรอบ เป็นสิ่งที่ผู้ชายเราเรียนรู้และเดินตามมาตั้งแต่เด็ก เริ่มจากผมรองทรง เสียบเสื้อในกางเกง จัดหมู่ลูกเสือยาวไปถึงขึ้นเขาชนไก่ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่บ่มรากฐานของการวางแผนใช้ชีวิตให้เป็นระเบียบทั้งสิ้น แต่นั่นก็เป็นแค่เสี้ยวแรกของชีวิตเท่านั้น เพราะพอหลุดจากรั้วมหาวิทยาลัย เริ่มต้นชีวิตการทำงาน กระทั่งจับจูงมือคนรู้ใจมาใช้ชีวิตคู่ เราก็มีอันต้องคิดอะไรให้มากขึ้นและสิ่งที่คิดก็มักพัวพันกับเรื่อง “เงิน ๆ ทอง ๆ” ไปเสียหมด เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้เงินก็ไม่ต่างจากปัจจัยสี่ในชีวิตไปแล้ว ต่อให้เป็นหนุ่มโสดก็ต้องเริ่มคิดว่าแก่ไปใครจะดูแล ต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ รวมไปถึงหนุ่มโสดไม่จริงทั้งหลายที่แต่งงานมีครอบครัวเองก็ต้องเริ่มคิดถึงภรรยาและเจ้าตัวเล็กเช่นกัน หากใครกำลังมองหาไดนามิกการลงทุนที่ยืดหยุ่นและสามารถสร้างหลักประกันให้กับชีวิตไปพร้อมกัน เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นตลอดเวลา เราเชื่อว่าประกันภัยคือหนึ่งในคำตอบนั้น แต่หลายคนก็ยังรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อประกัน เพราะมันดันไม่ใช่สิ่งที่เห็นผลชัดเหมือนหุ้นแดง ๆ เขียว ๆ ในพอร์ต แต่เสมือนสัญญาผูกมัดระยะยาวที่กว่าจะได้ใช้เงินเต็ม ๆ ก็ต้องผวาว่าเงินจะละลายหายไปไหมวันที่เราไม่มีเงินจ่ายเบี้ย ถ้ามีใครสักคนที่เข้าใจความรู้สึกนี้ มาเคลียร์ปมปัญหา สร้างความยืดหยุ่นตามความต้องการของเรา ให้เราสามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครองและการลงทุนได้ทุกช่วงเวลา แม้แต่ตอนเจอปัญหาเฉพาะหน้าก็สามารถพักจ่ายเบี้ยและถอนเงินลงทุนออกบางส่วนมาใช้จ่ายได้ก่อน ย่อมเป็นข้อเสนอตอบโจทย์ที่เราไม่อาจละสายตา mDesign คือประกันชีวิตควบการลงทุนจากเมืองไทยประกันชีวิตที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ความยืดหยุ่นของชีวิต โดยไม่ทิ้งรายละเอียดระหว่างทางทั้งจากวันที่เรามีพลัง ยังไร้ภาระ มาสู่วันที่เราสร้างครอบครัวมีหน้าที่รับผิดชอบ ที่สำคัญรายละเอียดที่ลงลึกทุกมิติเหล่านี้ทำให้ความยืดหยุ่นกลายเป็นคำตอบสุดท้ายที่ดีกว่า ยืดหยุ่นทำให้เราวางแผนชีวิตและสร้างผลตอบแทนได้ หลายคนอาจจะคิดว่าการซื้อประกันชีวิต เป็นการออมเงินระยะยาวกว่าจะได้เห็นดอกผลมักกินระยะเวลานาน สู้เอาเบี้ยประกันไปลงทุนหาเงินให้งอกเงยเหมือนการลงทุนเพียว ๆ รูปแบบอื่นไม่ได้ แต่ถ้าเรากลายเป็นเสาหลักของครอบครัวที่มีคนข้างหลังต้องดูแล การลงทุนอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เราควรเตรียมความคุ้มครองชีวิตไว้จะได้อุ่นใจเมื่อเจอกับวิกฤตไม่คาดฝัน ความยืดหยุ่นของ
“Words are more powerful than weapons.” หนึ่งในวลียอดฮิตที่ทุกคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความจริง ยิ่งถ้าเราลองเปิดบันทึกประวัติศาสตร์โลกดูจะพบว่าในเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ คำพูดหรือสปีชเพียงไม่กี่นาทีกลับพลิกประวัติศาสตร์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ นอกจากจะส่งผลต่อเรื่องราวในอดีตแล้ว ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนสปีชที่ยิ่งใหญ่นั้นก็ไม่ตกยุค ยังร่วมสมัยและสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตของเราได้เสมอ ครั้งที่แล้วเราได้นำเสนอสปีชที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลกให้ทุกคนได้เรียนรู้ถึงแนวคิดและสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ไปแล้วทั้งหมด 5 สปีช แต่สปีชที่ดีนั้นยังมีอีกมากมาย และเราเล็งเห็นว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกคน เราจึงคัดมาอีก 5 สปีช ให้ทุกคนได้เรียนรู้จากร่องรอยประวัติศาสตร์กันอีกครั้ง ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก สามารถย้อนตามไปอ่านได้ที่ ‘5 SPEECH ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก’เป็นข้อคิดและบทเรียนชั้นดีในการใช้ชีวิตของหนุ่ม ๆ I Have a Dream – Martin Luther King Jr. August 28, 1963, Washington, D.C. Martin Luther King Jr. คือหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดต่อการเรียกร้องสิทธิให้กับพลเมืองผิวสีในสหรัฐอเมริกา แม้ในช่วงนั้น (ยุค 50-60) จะผ่านพ้นช่วงเลิกทาสมาแล้วนับ 100 ปี สิทธิพลเมืองผิวขาวและผิวสีเท่าเทียมกันในแง่ลายลักษณ์อักษรตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัตินั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง คนผิวดำยังโดนกีดกันในการเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ รวมถึงมีการแบ่งแยกสถานที่สำหรับคนผิวดำอย่างชัดเจน
“หวามไหว” ดูไม่ใช่คำศัพท์ที่ผู้ชายอย่างเราจะยกมาใช้ได้บ่อยในชีวิตประจำวัน แต่ละเช้าเราตื่นมาเพื่อทำงานหนัก ตกเย็นสังสรรค์เพื่อพักผ่อน ก่อนจะกลับห้องเพื่อหลับไปแล้วตื่นมาทำกิจวัตรเดิม ๆ วนย้ำซ้ำเก่า “หวามไหว” จึงไม่ใช่คำที่เราจะได้ใช้และอาจถึงขั้นลืมไปแล้วว่าคำนี้มันมีความหมายแบบไหน ชวนให้รู้สึกอย่างไร UNLOCKMEN อาสากระตุกความวาบหวามในหัวใจ กระตุ้นความหวั่นไหวในร่างกายผู้ชายด้วยวรรณกรรมอีโรติก 7 เล่มสุดเย้ายวนรัญจวนใจที่เราชวนอ่านเพื่อเสพเรื่องราว ดื่มด่ำภาษาที่งดงามราวกับมีมนตร์สะกด ที่สำคัญเนื้อหาชวนสุขสมจนผู้ชายอ่านเมื่อไหร่เป็นต้องตื่นทั้งตัวและหัวใจ เนินนางวีนัส Anaïs Nin เนินนางวีนัส แปลจากหนังสือ: Delta of Venus ผู้เขียน: Anaïs Nin ผู้แปล: รังสิมา ตันสกุล สำนักพิมพ์: Library House เซ็กซ์สำหรับผู้ชายอย่างเรา ๆ ไม่ใช่เรื่องลึกลับดำมืดขนาดนั้น แต่จินตนาการดูสิว่าช่วงทศวรรษที่ 1940 ช่วงที่เรื่องราวเซ็กซี่ เย้ายวน ยังไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ ก็พูดถึงได้ขนาดนั้น ความน่าค้นหามันจะยิ่งเพิ่มความรัญจวนเป็นกี่เท่า ? อนาอิส นิน นักเขียนหญิงสายเลือดสเปน ฝรั่งเศส และเดนมาร์ค เขียนเรื่องสั้นเล่มนี้ขึ้นในช่วงทศวรรษ 1940 โดย ณ
ในบางครั้งเราอาจรู้สึกโดดเดี่ยวและคิดว่ามีเพียงแค่เราเท่านั้นที่ไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกแย่และผิดหวังให้ออกไปจากใจได้ แต่แท้จริงแล้วในโลกใบนี้มีคนมากกมายกำลังเผชิญกับความรู้สึกด้านลบและพยายามกำลังจัดความรู้สึกแย่ ๆ ออกไปอยู่เช่นกัน ดังนั้น UNLOCKMEN จึงอยากตบบ่าแนะนำวิธีที่จะทำให้คนที่กำลังเผชิญหน้ากับความเครียด ความเศร้าและความรู้สึกแย่ ๆ ให้สามารถผ่านมันไปให้ได้ เพราะโลกไม่ได้มีเพียงเราแค่คนเดียวที่กำลังเครียด จากการสำรวจในงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าชาวอเมริกันจำนวนกว่า 16 ล้านคน ไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกแย่ ๆ ได้ และจากความเครียดที่ต้องเผชิญจึงทำให้โรคซึมเศร้ากลายเป็นอาการทางจิตเวชที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งในสหรัฐ ฯ บุคคลที่ทางการแพทย์ให้คำนิยามว่าเป็น โรคซึมเศร้า จะมีอาการหลายอย่างที่แสดงออกมาอย่างเช่น ความเครียด ความเศร้า ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเคลื่อนไหวร่างกายมากนัก หรือลดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ ไม่อยากอาหาร รวมถึงนอนหลับไม่สนิท บางคนอาจจะยังไปไม่ถึงคำว่าโรคซึมเศร้า หากมีความเครียดอยู่ในหัวตลอดไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม การใช้ชีวิตในแต่ละวันจะมีความยากลำบากมากขึ้น อย่างเช่นการสะบัดผ้าห่มแล้วลุกออกจากเตียงอาจกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก และความเครียดจะก่อให้เกิดความรู้สึกว่าไม่พร้อมก้าวออกจากเตียงเพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ ในแต่ละวัน เพราะมวลความเครียดที่กระจายอยู่ทั่ว ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตหลายคนจึงได้แบ่งปันเคล็ดลับที่จะทำให้ผู้ที่มีความเครียดหรือความกังวลใจสามารถเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างราบรื่น วางแผนล่วงหน้าก่อนลุกจากเตียง หากวันไหนเริ่มรู้สึกว่ากลุ่มก้อนความสิ้นหวังกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ การสำรวจอารมณ์ของตัวเองในตอนเช้ารวมถึงวางแผนเตรียมรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเจอเมื่อลุกจากเตียงคือการเริ่มต้นที่ดี เช่น การตั้งปลุกล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะตื่นขึ้นจริง ปกติเราอาจตื่นตอน 8 โมงเช้า ก็ให้เปลี่ยนไปตั้งปลุกเป็น 7 โมง และลุกออกจากเตียงอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง Harben Bradford นักจิตวิทยาในรัฐจอร์เจียกล่าวว่า
หนุ่มโสดอย่างเรา กลับห้องมาก็เงียบเชียบมีเพียงตัวเองและเสียงเพลงอยู่เป็นเพื่อน เมื่อการหาใครสักคนมาอยู่ข้าง ๆ มันไม่ง่ายขนาดนั้น ครั้นจะเลี้ยงสัตว์สถานที่ก็ไม่เอื้ออำนวย (เงินในกระเป๋าก็เช่นกัน) พาลให้ต้องมารับผิดชอบอีกหนึ่งชีวิตอย่างจริงจัง ลองเปลี่ยนมาเป็นอะไรที่ง่ายกว่านั้นอย่างการปลูกต้นไม้ เพิ่มความสดชื่นด้วยสีเขียวชอุ่ม พักหลังนี้เทรนด์การปลูกต้นไม้ในห้องมาแรงอยู่ไม่น้อย หนุ่มเหงาลองเอาเจ้าเพื่อนสีเขียว (หมายถึงต้นไม้) มาเป็น Oasis หล่อเลี้ยงความรู้สึกยามก้าวเท้าเข้าห้องว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้มีเราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียวในห้องนี้ สำหรับใครที่เริ่มสนใจอยากจะลองลงมือปลูกต้นไม้ในห้อง UNLOCKMEN ขอแนะนำสิ่งที่เราควรต้องรู้เพื่อเตรียมตัวและสถานที่ของเราให้พร้อม ก่อนที่เพื่อนสีเขียวของเราจะมาถึง เลือกต้นไม้ให้เหมาะกับห้อง ใช่ว่าต้นไม้ที่ปลูกในร่มได้ จะเอาไปวางตรงไหนก็ได้ เหมาะกับทุกห้องไปหมด ต้นไม้แต่ละชนิดมีความต้องการและต้องได้รับการดูแลที่แตกต่างกัน ถามคนขายหรือเสิร์ชข้อมูลให้ชัวร์ว่าชนิดนี้ต้องการการดูแลแบบไหน แล้วเลือกห้องให้เหมาะกับต้นไม้ชนิดนั้น อย่างห้องน้ำ เหมาะกับต้นไม้ที่ต้องการความชื้น ไม่ต้องการแดดมากนัก เพราะเป็นห้องที่แดดส่องไม่ค่อยถึง ส่วนต้นที่ต้องการแดด อากาศแห้ง แนะนำให้ไว้ที่ห้องนอน เพราะเป็นห้องที่แสงแดดส่องถึง หรือจะเอาเพื่อนสีเขียวไปนอนเล่นที่ระเบียง พบปะกับพระอาทิตย์บ้างบางวันก็ยังได้ ขณะที่บางห้องอาจไม่เหมาะกับการปลูกต้นไม้เลย อย่างห้องครัว หรือโรงจอดรถ เนื่องจากเป็นมุมอับที่แดดไม่มาเยี่ยมเยียน เราจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงโลเกชั่นเหล่านั้นไปก่อน เปลี่ยนกระถางเชย ๆ ในตอนแรกทิ้งไป เลือกต้นไม้ เลือกห้อง เลือกมุมเท่ ๆ กันไปแล้ว อย่าลืมเลือกภาชนะให้ชิกตามไปด้วย ในตอนที่ซื้อมาจากร้านเรามักจะได้กระถางพลาสติกสีดำเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด ลองมองหากระถางปูนเท่ ๆ เซรามิก
สายแล้ว ลืมตาตื่น เอื้อมมือกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่แผดเสียงมาจากสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนหัวนอน เปิดม่าน … แวบแรกหลงคิดว่าหมอกเช้าแห่งเดือนมกราช่างน่าตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะขยี้ตาซ้ำ ๆ อีกทีแล้วตระหนักได้ว่า “ฝุ่นเหี้ยอะไรเยอะแยะขาวโพลนขนาดนี้วะ!?” 2-3 วันนี้เราล้วนตื่นมาพร้อมความตื่นตระหนก เพราะแค่มองด้วยตาเปล่ายังสัมผัสได้ว่าปริมาณฝุ่นหนาแน่นมากกว่าปกติ แล้วไหนจะปริมาณที่ตามองไม่เห็นอีก นี่จึงเป็นอีกช่วงหนึ่งที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเรากำลังผจญวิกฤตฝุ่น PM 2.5 ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามวิกฤตเรื่องฝุ่นไม่ได้มีแค่ไทยที่เผชิญมันอยู่เพียงลำพัง หลายประเทศก็กำลังเผชิญปัญหานี้ หลายประเทศผ่านมันมาได้แล้ว โดยรัฐบาลแต่ละประเทศต่างก็มีมาตรการ แนวทาง หรือนโยบายเด็ดขาดในแบบของตัวเองเพื่อแก้ปัญหามลภาวะทางอากาศกันทั้งนั้น ในวันที่เราเองก็กำลังสูดฝุ่นเข้าปอดปริมาณมาก ๆ อยู่ UNLOCKMEN ชวนดูวิธีที่รัฐบาลประเทศอื่น ๆ แก้ปัญหากับวิกฤตฝุ่นในประเทศตัวเองในวันที่ฝุ่นพิษกำลังบุกฆ่าประชาชน เมื่อฝุ่นบุกเกาหลี: โรงไฟฟ้าฯ ลดการผลิต ประชาชนลดเวลาทำงานและเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง แดนกิมจิเองก็เป็นอีกประเทศที่ประสบวิกฤตฝุ่นพิษในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเรา แต่ไม่ต้องอ้อยอิ่งรีรอทางการก็ออกมาตรการเร่งด่วนทั้งบู๊ ทั้งบุ๋น โดยทั้งแจ้งเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง กิจกรรมกลางแจ้งอย่างลานไอซ์สเก็ต หลายแห่งก็งดให้บริการ และออกตัวว่าจะคืนเงินให้ลูกค้าด้วย ส่วนกระทรวงสิ่งแวดล้อมก็ไม่นิ่งเฉยออกมาตรการเด็ดขาดกับภาคอุตสาหกรรมโดยสั่งให้โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานลดกำลังการผลิตลงมากว่า 80% เมื่อเทียบกับเวลาปกติ ไม่ใช่แค่นั้นภาครัฐยังสั่งการให้โรงงานและสถานที่ต่าง ๆ ของรัฐที่ปล่อยมลภาวะสู่อากาศลดเวลาทำงานลง โดยยึดมาตรการที่องค์กรของแต่ละท้องถิ่นแนะนำอย่างเคร่งครัด เมื่อฝุ่นบุกจีน: ตั้งตำรวจสิ่งแวดล้อม คอยบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จีนเป็นอีกประเทศที่มีปัญหามลภาวะหนักหน่วงเข้าขั้นวิกฤต นายกเทศมนตรีกรุงปักกิ่งจึงผลักดัน “ตำรวจสิ่งแวดล้อม”ขึ้นมาเป็นหน่วยที่ดูแลบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อมและการสร้างมลภาวะโดยเฉพาะ
Passion หรือ แรงบันดาลใจ คำพูดที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเอามาใช้เป็นตัวชี้วัดถึงความตั้งใจของคนเรา ซึ่งบางครั้งถูกใช้อย่างฟุ่มเฟือยจนหลายคนมองว่ามันก็เป็นแค่คำพูดเท่ ๆ ที่เอาไว้ใช้ตอบคำถามอย่างมีสไตล์ในกลุ่มคนที่ไม่เคยลงมือทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ เท่านั้น แต่สำหรับบางคนแล้วคำว่า Passion มีอยู่จริงแถมยังเป็นเหมือนก้อนพลังงานชั้นดีที่คอยกระตุ้นให้พวกเขาฟันฝ่าอุปสรรค รวมไปถึงคำดูถูกที่เคยได้รับมา เช่นเดียวกับเหล่า Collector และ Creator ประจำปี 2018 ทั้ง 5 คนที่ UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยรวมถึงรับฟังเรื่องราวของชีวิตที่ใช้ความหลงใหลเป็นแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อน สิ่งที่ทั้ง 5 คนมีเหมือนกันก็คือ พวกเขารู้ว่าตัวเองต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่กับอะไร จากนั้นจึงพลิกโจทย์ดังกล่าวมาเป็นแรงผลักดันจนในที่สุดก็สร้างชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการได้สำเร็จ มาย้อนฟังแนวความคิดและการใช้ชีวิตอันสุดโต่งจากกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางที่เลือกด้วยตัวเอง หวังว่าจะเป็นพลังที่ส่งต่อให้ผู้ชายทุกคนกล้าออกไปเสี่ยงกับความฝันของตัวเองดูสักครั้ง ในปีต่อไปที่กำลังจะมาถึง หมอโดม DOGTOR GARAGE ความหลงใหลคือการได้คืนชีพรถคลาสสิกให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง มองภายนอกอาจดูเหมือนกับผู้ชายที่ชื่นชอบในรถยนต์ทั่วไป แต่สำหรับ หมอโดม สุทธิพงษ์ ธีติปริวัติร์ แห่ง Dogtor Garage เป็นอะไรที่มากกว่านั้น เริ่มจากความชื่นชอบรถคลาสสิกมาตั้งแต่จำความได้ ด้วยเหตุผลว่ารถทุกคันมีความแตกต่างของตัวมันเอง แต่ละคันล้วนมีเอกลักษณ์และเรื่องราวที่สะท้อนวัฒนธรรมของยุคสมัยนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี แต่แน่นอนว่าการใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่หลงใหลในทุกวัน ๆ
เมื่อโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งประกาศทดลองให้นักเรียนใส่ชุดไปรเวทมาเรียนสัปดาห์ละหนึ่งวันเป็นเวลาหนึ่งภาคเรียนก็กลายเป็นประเด็นร้อนฉ่าที่ใครหลายคนร่วมแสดงความคิดเห็นและถกเถียงกันจนไฟลุกท่วมโซเชียลมีเดีย มีทั้งคนที่ไม่เห็นด้วยกับการใส่ชุดไปรเวทไปเรียนโดยบอกว่าจะทำให้เกิดความไม่เป็นระเบียบวินัย ผู้เรียนจะสนใจการแต่งตัวมากกว่าการเรียน ที่สำคัญคือความเหลื่อมล้ำจากชุดที่ใส่มาแตกต่างกัน ในขณะที่ฝ่ายเห็นด้วยกับการใส่ชุดอะไรก็ได้ไปเรียนกลับบอกว่าความเหลื่อมล้ำมันมีอยู่จริงและมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ต่อให้แต่งเครื่องแบบเหมือน ๆ กัน แต่กระเป๋า กล่องดินสอ ยี่ห้อปากกา นาฬิกาที่ใส่ ฯลฯ มันก็เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำอยู่แล้ว แทนที่จะซุกความเหลื่อมล้ำไว้ใต้พรมด้วยเครื่องแบบเหมือน ๆ กัน ควรสอนให้รู้จักความเหลื่อมล้ำและหลากหลาย รวมถึงสอนให้เคารพคนไม่ว่าจะต่างกับเราแค่ไหนดีกว่า สารพัดความคิดเห็นและเหตุผล UNLOCKMEN จะไม่ชี้ชัดตัดสินว่าแบบไหนผิดหรือถูก เพราะเราเชื่อในการถกเถียงกันอย่างสุภาพและมีเหตุผล การที่เราได้อ่าน ได้ฟังความคิดเห็นของคนที่ต่างจากเราโดยไม่ได้ต้องการแค่เอาชนะ จะนำมาซึ่งการใช้ตรรกะและเหตุผลในการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม วันนี้ UNLOCKMEN ชวนอ่านความคิดเห็นอันหลากหลายทั้งจากคนที่ยังเรียนอยู่ คนที่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยที่บังคับให้ใส่เครื่องแบบไปเรียนทุกวัน คนที่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยที่บังคับให้ใส่เครื่องแบบแต่แหกขนบไม่ยอมใส่ รวมถึงมหาวิทยาลัยที่ให้เสรีภาพในการเลือกจะใส่หรือไม่ใส่ชุดนักศึกษาก็ได้ และที่พลาดไม่ได้ความคิดเห็นจากศิษย์เก่าจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้! เครื่องแบบทำให้เราประหยัดเวลา เริ่มต้นกันที่ความคิดเห็นของอดีตนิสิต คณะมนุษยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่คนคิดว่าต้องเรียนทำนาปลูกข้าวเท่านั้น (เดาไม่ออกก็ต้องเดาออกแล้วล่ะ) โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้นิสิตสวมเครื่องแบบไปเรียนทุกวัน “เราเป็นคนหนึ่งที่ใส่ชุดนิสิตกับกระโปรงพีทตลอด 4 ปี ทั้งที่ปี 2 เขาก็ปล่อยให้ใส่สอบได้แล้ว ข้อดีคือไม่ต้องมานั่งเลือกเสื้อผ้ารองเท้าเวลาออกจากบ้าน อีกอย่างคือเวลาเกิดเหตุอะไรขึ้น การแบ่งชัดเจนว่าเราคือนักเรียนนักศึกษาทำให้เราได้รับการช่วยเหลือก่อน แต่ถ้าใส่ไปรเวทคนมักจะระวังตัว มันก็ไม่แย่หรอกถ้ามีประโยชน์กับตัวเรา” ชุดไม่ใช่สาเหตุความเหลื่อมล้ำ แต่ความเหลื่อมล้ำมันมีอยู่แล้วในประเทศนี้! ในขณะที่อดีตนักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสีเขียวอมฟ้า วิทยาเขตติดวังพูดถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำไว้อย่างน่าสนใจว่า