แม้การพักผ่อนในพื้นที่ส่วนตัวอย่าง “บ้าน” หรือ “คอนโด” คือชั่วโมงความผ่อนคลายของผู้ชายอย่างพวกเรา แต่เชื่อว่าบางครั้งคืนวันอันสงบสุขคงต้องเคยโดนทำลายจากแขกไม่คาดฝันเพราะเสียงรบกวนอย่างเสียงน้ำหยด ที่ขยันดัง “ติ๋ง ๆ” จากก๊อกหรือฝักบัวที่เราเพิ่งใช้งานมันไป ปัญหานี้อาจจะดูเหมือนเล็กน้อย แต่สำหรับคนที่กำลังปั้นไอเดียส่งงานหรือกำลังนอน มันสุดแสนจะหงุดหงิด! เพื่อแก้ปัญหานั้น UNLOCKMEN เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนคงต้องเคยเอานิ้วตัวเองอุดก๊อกหวังว่ามันจะเลิกหยด แต่พอเอามือออก น้ำเจ้ากรรมมันก็ดันโผล่มาค้างอีกไม่หายสักทีจนสุดเราต้องยอมแพ้ ! ทว่า UNLOCKMEN เชื่อในพลังของพ่อบ้าน เพราะสาว ๆ ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ยามที่เราแก้ปัญหาเรื่องทางบ้าน เป็นช่วงที่มีเสน่ห์มากมายเหลือเกิน “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ดังนั้น ครั้งนี้เราขอพาผู้ชายทุกคนทะลวงปัญหาง่าย ๆ นี้จากบทวิจัยที่เราเก็บมาฝากนั่นเอง ทำไมน้ำหยดดังติ๋ง เคยคิดกันไหมว่าเสียงน้ำที่หยดจากก๊อกกระทบพื้นซิงค์หรือพื้นกระเบื้องในห้องน้ำทำไมถึงหยดดังติ๋ง ? คุณคงคิดว่าถามอะไรโง่ ๆ มันต้องเกิดจากหยดน้ำกระทบพื้นอยู่แล้ว คำตอบนี้มันถูกต้องเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะถ้าเราสังเกตให้ดี บางจังหวะเสียงติ๋งก็หายไปทั้งที่มันยังหยดอยู่ Dr. Anurag Agarwal จากภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้แรงบันดาลใจการศึกษาเรื่องนี้หลังจากไปบ้านเพื่อนที่หลังคารั่ว จึงนำประเด็นนี้กลับมาปรึกษากับทีมว่าเคยมีใครหาที่มาของเสียงนี้ที่แท้จริงแล้วหรือยัง ซึ่งทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่” เขาจึงตั้งกล้องความเร็วสูงจับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นหลังจากน้ำหยด ผลลัพธ์ของภาพที่ได้มาทำให้สาวไปถึงสาเหตุได้ว่า ต้นตอของเสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของฟองอากาศขนาดเล็กใต้ผิวน้ำที่เกิดจากแรงตึงผิวขณะหยดกระทบต่างหาก เล่าไปอาจจะยังไม่เห็นภาพเราลองมาดูภาพจากทีมวิจัยที่นำกล้องความเร็วสูงจับปฏิกิริยาการหยดของน้ำตามลำดับภาพด้านล่างกันดู
ภาษากายนั้นเป็นสื่อในการสื่อสารอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนสามารถแสดงความหมายต่าง ๆ ออกมาได้แม้ไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ ก็ตาม มันมีทั้งประโยชน์มากมาย แต่ก็เป็นโทษได้หากเราไม่ระมัดระวัง ยิ่งถ้าเป็นภาษากายที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกในแง่ลบแล้ว ยิ่งต้องสำรวจตัวเองกันหน่อยว่าเราเองทำบ่อยมั้ย มันกลายเป็นความเคยชินหรือเปล่า ? และที่แย่ที่สุดก็คือ มันอาจทำให้เราสูญเสียโอกาสดี ๆ ที่นาน ๆ จะมาทีก็ได้ จากผลการสำรวจของ TalentSmart ที่ทดสอบกับคนกว่าล้านคนพบว่า ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มคนที่มีตำแหน่งงานในระดับสูง มักจะมีตัวเลข EQ ที่ค่อนข้างพุ่ง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้รู้ดีว่าพลังของภาษากายนั้นมีมากแค่ไหน และมักจะสำรวจตัวเองในเรื่องนี้เสมอ เพราะฉะนั้น เพื่อความไม่ตายน้ำตื้นของผู้ชายที่กระหายความสำเร็จอย่างเรา มาดูกันดีกว่า ว่าภาษากายแบบไหนที่อาจพาเราดำดิ่งได้แบบไม่รู้ตัว จะได้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ก่อนสายเกินไป ใช้มือมากเกิน อย่าคิดลึกครับหนุ่ม ๆ การใช้มือมากเกินในที่นี้คือการขยับมือไม้มากเกินเวลาสนทนา ราวกับว่าคุณกำลังจะใช้กำลังภายในอะไรอย่างนั้น ซึ่งมันดูเหมือนกับว่าคุณปรุงแต่งสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารมากเกินไป พยายามควบคุมมือไม้ให้ดี ใช้เท่าที่จำเป็น อาจจะผายมือออกมาช้า ๆ โชว์ฝ่ามือให้ทุกคนเห็นเวลาที่พูดอะไรออกไป แบบนี้จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าคุณไม่ได้เสแสร้ง ดูรุ่นใหญ่ และมั่นใจ กอดอกตลอด การกอดอกเป็นภาษากายกึ่งอัตโนมัติเวลาที่คุณสร้างกำแพงทางความคิดขวางไอเดียของคนที่สนทนาด้วย แม้ว่าจะยิ้มอยู่ หรือกอดอกหลวม ๆ ก็อาจทำให้คนข้างหน้ารู้สึกอึดอัดได้ไม่มากก็น้อย พยายามอย่ากอดอกแบบเหมือนทากาวไว้
มองไปทางไหนก็พาให้รู้สึกเบื่อไปหมด ยิ่งหมดไฟในใจแล้ว ต่อให้เปลี่ยนไปนั่งทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้มีไฟขึ้นมาเอาซะเลย ปลุกไฟจากภายนอกอาจไม่ช่วยเท่าไหร่ ลองหันมาปลุกไฟในใจให้กลับมาลุกโชนอีกครั้งจะดีกว่า UNLOCKMEN ชวนคุณมาดู 5 หนังที่จะให้คุณได้เจอมุมมองใหม่ ๆ ในการทำงาน เผื่อว่าจะมีเรื่องไหน สะกิดความคิดของเราให้เกิดไฟขึ้นมาได้อีกครั้ง ต่อให้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้เราได้ข้อคิดอะไรบางอย่างผ่านตัวละครหลากหลายแนวที่พร้อมจะมาเล่าเรื่องราวชีวิตการทำงานของตัวเองให้ฟัง The Secret Life of Walter Mitty (2013) Director : Ben Stiller เรื่องราวยอดฮิตที่เราอยากให้ดูจริง ๆ สำหรับใครที่รู้สึกอุดอู้เหลือเกิน เมื่อก้าวพ้นประตูออฟฟิศเข้าไปสู่โลกของการทำงานแบบลูปเดิม ๆ มาผจญภัยไปพร้อม ๆ กับ Walter Mitty (Ben Stiller) หนุ่มออฟฟิศที่เบื่อชีวิตไม่แพ้กับเรา ๆ ที่ทำงานในบริษัทนิตยสาร LIFE แต่แล้วเมื่อโลกหมุนไป สื่อสิ่งพิมพ์ไม่อาจคงอยู่ได้เหมือนแต่ก่อน LIFE จึงจะผันตัวไปทำสื่อออนไลน์แทน เมื่อฉบับสุดท้ายมาถึง เขาดันทำภาพถ่ายที่ต้องใช้ในเล่มหายไป เรื่องราววุ่นวายมันเกิดขึ้นตรงนี้ เขาต้องออกไปตามหาช่างภาพของภาพใบนั้น การออกตามหาช่างภาพครั้งนี้ เขาต้องเดินทางไปเจอเรื่องราวผจญภัยแบบที่ชีวิตของหนุ่มออฟฟิศจืด ๆ คนนึงไม่เคยพบเจอมาก่อน โดยในเรื่องจะเล่นกับความช่างฝันของเขา ให้เราได้เดาเอาเองว่าฉากนี้คือเรื่องจริงหรือจินตนาการของเขา
ถ้าจะพูดถึงซูเปอร์สตาร์ประจำ FIFA World Cup Russia 2018 และทุกทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แน่นอนว่าต้องมีชื่อของ ‘CR7’ Cristiano Ronaldo สุดยอดกองหน้าทีมชาติโปรตุเกสจากสโมสร Real Madrid โคตรแข้งวัย 33 ปีรายนี้ไม่ได้แค่เรื่องฝีเท้าในสนามและความเนื้อหอมนอกสนามให้ฮือฮาเท่านั้น แต่ยังเป็นนักเตะที่ฟิตมาก ๆ ส่งผลต่อผลงานในสนามอย่างเห็นได้ชัด สามสิบกว่าแต่ยังขึ้นแท่นระดับโลกแบบแรงไม่ตก ความเร็วสูง คล่องตัวจัด ยิงโคตรแรง ร่างโคตรแกร่ง แถมยังดูแลตัวเองดีสุด ๆ ชายหลายคนอยากได้หุ่นแบบเขา ขณะที่สาวหลายคนก็อยาก…ให้แฟนตัวเองมีหุ่นแบบเขา (อย่าคิดลึก) โดย CR7 เคยได้รับคำชมจาก Arnold Schwarzenegger ดาราฮอลลีวู้ดรุ่นใหญ่ อดีตแชมป์เพาะกายโลก ว่า “เป็นนักกีฬาที่มีรูปร่างสุดยอด” แต่จะให้ผู้ชายอย่างเรามีหุ่นแบบกัปตันทีมโปรตุเกสแบบเป๊ะ ๆ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าได้ออกกำลังตามแนวทางของ Cristiano ก็จะช่วยให้เราแข็งแกร่ง และมีรูปร่างที่ดีขึ้นแน่นอน นี่คือโปรมแกรม workout ในแบบเขาที่เราเอามาฝากกัน MONDAY – Lower Body Circuit Barbell squat: 8
หลังจากผ่านสัปดาห์แรกของฟุตบอลโลกมาแล้ว เชื่อว่าหลายกระแสคงจะพุ่งเป้าไปที่เรื่องผลงานในสนามของสองนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดแห่งยุคอย่าง Cristiano Ronaldo และ Lionel Messi เพราะคาดว่าทัวร์นาเมนต์นี้จะเป็นรายการเมเจอร์ใหญ่สุดท้ายของทั้งคู่ ที่ได้แสดงฤทธิ์เดชของตนเอง เนื่องจากตลอดสิบปีที่ผ่าน มักมีการเปรียบเทียบว่าใครกันแน่คือเบอร์ 1 ของโลก แต่เมื่อผ่านนัดแรกไป สิ่งที่ปรากฎคือแม้จะเก็บผลเสมอมาด้วยกันทั้งคู่ ทว่า Messi กลับโดนวิจารณ์อย่างหนักทั้งเรื่องการยิงจุดโทษผิดพลาด และไม่สามารถทำประตูได้เลย แตกต่างจาก Ronaldo เพราะจัดการกระทุ้งประตูไปถึง 3 ดอกด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นจุดโทษ ฟรีคิก ยิงไกล นักฟุตบอลเจ้าของฉายา เจ็ดโด้ เก็บเรียบหมด ซึ่ง UNLOCKMEN คงจะไม่มานั่งพูดความยาวสาวความยืดเกี่ยวกับเรื่องของฟุตบอลอีกแล้ว เพราะเชื่อว่าหนุ่ม ๆ คงได้รับข้อมูลข่าวสารนี้มาจากสื่ออื่น ๆ นับครั้งไม่ถ้วน แต่วันนี้เราจะขอมาเปรียบชีวิตไลฟ์สไตล์ของทั้งสองว่า แบบไหนที่ Beyond ในสายตาชาว UNLOCKMEN มากกว่ากัน GIRL ถ้าเทียบกันในเรื่องของผู้หญิงแล้วต้องบอกเลยว่า Messi ค่อนข้างจะเป็นรอง Ronaldo ชนิดแทบไม่เห็นฝุ่น เนื่องจากรายหลังนี้เปลี่ยนแฟนบ่อยเป็นว่าเล่น จนได้ฉายา Playboy แห่งวงการลูกหนัง แถมที่สำคัญรายชื่ออดีตสาว
ผู้ชายอย่างเรามักจมอยู่กับความคิดที่ว่าผู้หญิงต้องอ่อนหวาน น่ารัก และปกปิดเรือนร่างตัวเองเพื่อจะดูเป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับเรา แต่ถ้าลองคิดทบทวนดูอีกทีการเปิดเผยเรือนร่างของผู้หญิงก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แถมเป็นสิทธิเหนือเรือนร่างที่พวกเธอต้องได้เลือก ได้ตัดสินใจเองด้วยซ้ำ แต่ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังอดขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้ว่า “มันจริงหรอวะ?” UNLOCKMEN อยากพาผู้ชายหัวดื้ออย่างคุณมาชมนิทรรศการ This is not cute นิทรรศการครั้งที่ 4 ของ “ปก-ปกฉัตร วรทรัพย์” ช่างภาพสาวที่เลือกจะถ่ายภาพเปลือยผู้หญิง ไม่ใช่แค่นั้นแต่เราจะชวนจับเข่านั่งคุยให้รู้กันไปเลยว่าตกลงผู้หญิงจำเป็นต้องทำแต่อะไรน่ารัก ๆ อย่างที่ผู้ชายคิด หรือจริง ๆ แล้วพวกเธอควรมีสิทธิเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการ อย่างที่ “ปก-ปกฉัตร” เลือกหาญกล้าท้าทายสังคมด้วยการถ่ายภาพ NUDE มาอย่างยาวนานกันแน่ ? จากกล้องคอมแพคสู่การเรียนเพื่อหาตัวตน ปกฉัตรเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์ที่กำลังง่วนกับการจัดงานแสดง This is not cute นิทรรศการของตัวเอง แต่ถ้าถามถึงจุดเริ่มต้น เธอเริ่มถ่ายภาพมาตั้งแต่มัธยม เริ่มต้นจากกล้องคอมแพคเหมือนเด็กวัยรุ่นคนอื่น ๆ ถ่ายเล่น ๆ ไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญคือการได้เข้าเรียนคณะสถาปัตยกรมศาสตร์ ภาควิชานิเทศศิลป์ สาขาถ่ายภาพ ซึ่งได้เรียนสารพัดเทคนิคการถ่ายภาพ“เราต้องเรียนเพื่อเป็นพื้นฐาน เพื่อให้ต่อยอดงานไปข้างหน้าได้” เธอบอกกับเราด้วยสายตามุ่งมั่น แต่ดูเหมือนว่าการจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจะทำให้ปกฉัตรค้นพบตัวเองแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น การเรียนต่อปริญญาโทจึงเป็นการค้นหาตัวตนในอีกระดับ
เข้าสู่ช่วงมหกรรม FIFA World Cup 2018 ที่รัสเซีย ศึกลูกหนังที่คนทั้งโลกจับตาดูทั้ง 32 ทีมฟาดแข้งกันเต็มข้อเพื่อเป้าหมายเดียวนั่นคือแชมป์โลก น่าเสียดายที่ทีมชาติไทยยังไม่เคยผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย แต่อย่าเพิ่งท้อ เชียร์กันต่อ เชื่อว่าสักวันต้องมีวันนั้น แม้ว่านักเตะหนุ่มไทยจะยังไม่เคยไปถึงฝัน แต่มีอดีตผู้ตัดสินไทยคนหนึ่งที่เคยไปทำหน้าที่ผู้ตัดสินที่ 1 ในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้ว เขาคนนั้นคือ ‘เปาอั๋น-อาจารย์ ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ’ เชิ้ตดำชาวไทยเพียงหนึ่งเดียว และหนึ่งในสองกรรมการชาวเอเชียที่ได้รับโอกาสที่ท้าทายที่สุดในอาชีพกรรมการลูกหนังในครั้งนั้น ซึ่งปัจจุบันแม้แกจะแขวนนกหวีดแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในแวดวงผู้ตัดสินฟุตบอล ด้วยการทำหน้าที่ผู้ควบคุม ผู้ประเมิณผู้ตัดสิน และเป็นคณะกรรมการของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เชิ้ตดำชาวไทยหนึ่งเดียวในฟุตบอลโลก ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน ในศึก France 98 ที่ประเทศฝรั่งเศส เราได้เห็น อ.ภิรมย์ ในวัย 45 ปีในตอนนั้น ลงทำหน้าที่เกมรอบแรก 2 แมตช์ การแข่งขันในรอบแรก กลุ่มดี ระหว่าง นอร์เวย์-โมร็อกโก ที่ผลจบด้วยการเสมอกันไป 2-2 และรอบ 16 ทีมสุดท้าย ระหว่าง ไนจีเรีย-ปารากวัย
นับต่อจากนี้เป็นเวลากว่า 1 เดือนเต็ม ที่มหกรรมฟุตบอลโลกจะอุบัติขึ้นบนประเทศ Russia ในวันที่ 14 มิถุนายนเป็นต้นไป ซึ่งแม้ว่าบ้านเราจะไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายก็ตาม แต่ด้วยความยิ่งใหญ่และเป็นมหกรรมกีฬาระดับโลก มีหรือที่หนุ่ม ๆ จะพลาดรับชมแมตช์กีฬาดังกล่าว เพราะแม้แต่คนที่ไม่ได้รู้เรื่องฟุตบอลยังต้องหันมาให้ความสนใจกับเทศกาลฟุตบอลโลกนี้เลย ด้วยดีกรีความสนุกมันส์อย่างบ้าคลั่งช่วงบอลโลก พาลเดือดร้อนถึงหนุ่ม ๆ คอฟุตบอลวัยทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดในทวีปยุโรป ซึ่งไทม์โซนต่างกับบ้านเราพอสมควร จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากต้องเจอกับสถานการณ์นอนดึกตื่นเช้ามาทำงานตอกบัตรให้ทัน ซึ่งทีมงาน UNLOCKMEN เองก็คงประสบชะตากรรมที่ไม่แตกต่างกัน เราจึงได้ไปรวมรวบเคล็ดลับวิธีจัดการตัวเองในช่วง World Cup อย่างไรให้นอนดึกแล้วยังตื่นมาทำงานได้อย่างราบรื่น วิธีรับมือกับอาการง่วงจากการนอนดึกตื่นเช้า อัดวิตามินให้แน่น แน่นอนว่ามนุษย์ต้องการพักผ่อนและความง่วงคือปฎิกริยาตอบสนองของสมองเมื่อร่างกายต้องพัก ซึ่งคนเราไม่สามารถอดหลับอดนอนได้ แต่ถ้าเกิดมันหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างเช่นในช่วงบอลโลกเพราะต้องรอเชียร์ทีมโปรด แบบนี้ต้องจัดการอัดวิตามินต่าง ๆ เพื่อเป็นตัวช่วยเสริม ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน C ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้สมองปลอดโปร่งสดใส ร่างกายสดชื่น โดยเราสามารถรับวิตามิน C ธรรมชาติได้จากผลไม้ หรือชนิดแคปซูลแปรรูปได้หมด ถ้าจะเอาให้ครบถ้วนต้องไม่ลืมวิตามิน B รวม และโปรตีนเม็ด ที่จะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ซึ่งอาจจะบกพร่องไปเนื่องจากการอดหลับอดนอนในช่วงเทศกาลบอลโลก ดื่มน้ำเยอะ ๆ น้ำยังคงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในร่างกายเสมอ หากต้องอดนอนแล้วร่างกายไม่สดใสในยามเช้า ลองดื่มน้ำเปล่าทันทีหลังตื่นนอน
ถ้าจะพูดถึงอีกหนึ่งอาชีพที่ถูกพูดถึงมากเป็นอันดับต้น ๆ ของไทยในช่วงไม่กี่ปีมานี้ก็คงหนีไม่พ้นอาชีพ “ไลฟ์โค้ช” ซึ่งสถาปนาตนเองว่าข้ารู้ ข้าเก่ง ข้าเจ๋ง ข้าเป็นสุดยอดปรมาจารย์ในด้านนั้น ๆ ที่สุดแล้ว อาจจะเป็นนักเขียนที่ผันตัวมาสอนเคล็ดวิชาว่าเขียนยังไงถึงจะเขียนได้เทพแบบเขา อาจจะเป็นนักธุรกิจ (ที่อ้างตัวว่า) ทำรายได้ระดับร้อยล้านและอยากให้ทุกคนสู้ อดทน และเดินตามรอยความร่ำรวยไปด้วยกัน (ด้วยการจ่ายเงินค่าเข้าคอร์สเรียนมาซะ!) เรื่องเทคนิคการสอนหรือการถ่ายทอดวิชาความรู้ก็ว่ากันไปว่าใช้ได้ผลจริงหรือไม่ได้ผลจริง แต่ลักษณะหนึ่งที่ไลฟ์โค้ชตัวท็อปฮิตของไทยมักจะมีคล้าย ๆ กัน คงหนีไม่พ้นการโพสต์คำคมสร้างแรงบันดาลใจรายวัน หรือบางท่านก็ถึงขั้นโพสต์รัวรายชั่วโมง คอยปลุกพลังงานในตัวคนด้วยคำสวยหรู หรือใช้ศัพท์ยาก ๆ ให้ดูฉลาด ๆ เข้าไว้ เคยสงสัยไหมว่าคำคมหรือคำพูดวกไปวนมาพวกนี้ มันจะพาเราไปถึงความสำเร็จได้จริงหรือเปล่า ? ไม่ใช่แค่ไลฟ์โค้ชที่ทำตัวเป็นเครื่องจักรผลิตคำคมเท่านั้น แต่ถ้าเราเลื่อนฟีดเฟซบุ๊กในแต่ละวัน เราก็จะเจอเหล่าเฟรนด์ลิสต์ที่แห่กันแชร์คำคมคูล ๆ เหล่านั้นมาสู่สายตาเราทุกวัน จนเราอดสงสัยไม่ได้ว่าชีวิตของเพื่อนคนนั้นจะอุดมไปด้วยแรงบันดาลใจสุดขีดพลังเหมือนคำคมที่แชร์มาจริง ๆ ไหม ? โชคดีที่ไม่ได้มีเราที่สงสัยคนเดียวแต่ Gordon Pennycook นักศึกษาระดับปริญญาเอกและหัวหน้านักวิจัย รวมถึงทีมวิจัยจาก University of Waterloo ใน Ontario ประเทศ Canada เขาก็สงสัยใคร่รู้และอยากหาคำตอบด้วย จึงตัดสินใจทำการศึกษาที่สุดท้ายตีพิมพ์เป็นบทความชื่อ
แม้ว่าเราจะเป็นชายชาตรีที่สุดแกร่ง เข้มแข็งแค่ไหน ก็สามารถเสียน้ำตาได้ทุกคน เมื่อต้องเผชิญกับความสลดกับเหตุการณ์สุดสะเทือนใจทั้งในโลกความเป็นจริง เวลาดูหนังโคตร sad ฟังเพลงโคตรเศร้า ไม่ก็ผิดหวังกับเรื่องหนัก ๆ ในชีวิตทั้งการงาน การเงิน ครอบครัว และความรัก เรารู้ว่าการร้องไห้ซะบ้างไม่ได้เป็นการแสดงถึงความอ่อนแอ ข้อดีของมันก็มีอยู่มาก ทั้งช่วยระบายความเครียด ผ่อนคลายความเจ็บปวด และ ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น (อ่านประโยชน์ของการร้องไห้ได้ที่คอนเทนต์นี้) แต่ถ้าแมน ๆ อย่างเราดันปล่อยโฮออกมากลางวงก็คงจะอายมากหน่อย เรื่องนี้ทีมงาน UNLOCKMEN เข้าใจดี จึงขอแชร์วิธีหยุดร้องไห้ที่ใช้งานได้ผล และสามารถทำได้คนเดียว ไม่ต้องไปอ้อนให้ใครมาปลอบให้เสียเชิง แล้วผมจะหยุดร้องไห้ได้ไง ? เวลาที่บ่อน้ำตาแตกหนัก ๆ มันจะโคตรเขิน รู้สึกสับสนว่ากำลังอ่อนแอหรือเข้มแข็งอยู่ อาจรู้สึกว่าจัดการกับความเครียดได้ยาก รู้สึกทำอะไรไม่ค่อยถูก อ่านสีหน้าคนรอบข้างไม่ออก เพราะฉะนั้น ถ้าเราเรียนรู้วิธีการควบคุมความเครียด ก็จะมีส่วนช่วยควบคุมน้ำตาได้ ถ้าเกิดร้องไห้ขึ้นมา ลองทำตามวิธีการนี้ดู น่าจะหยุดได้ในเวลาอันรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาร่วงสู้พื้น เงยจนรู้สึกว่าน้ำตาท่วมอยู่บนเปลือกตา ไม่ไหลลงมาอาบแก้ม วิธีนี้ช่วยหยุดการไหลของน้ำตาได้ประมาณหนึ่ง และช่วยให้เราตั้งสมาธิเพื่อปรับความรู้ หยิกบริเวณระหว่างง่ามนิ้วโป้งและนิ้วชี้ให้เจ็บ การกระตุ้นตัวเองแบบนี้สามารถช่วยเบี่ยงเบนความรู้สึกได้ดี นักวิทยาศาสตร์ให้ข้อมูลว่า การที่เราเกร็งกล้ามเนื้อ จะทำให้ร่างกายและสมองรู้สึกมั่นใจขึ้น