หากพูดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างนาฬิกา OMEGA กับองค์การบริหารการบินและอวกาศของสหรัฐอเมริกาอย่าง NASA เชื่อว่าสาวกเรือนเวลาแทบทุกคนคงจะเคยรับรู้ถึงกิตติศัพท์ของตำนาน Moonwatch กับการที่นาฬิกา OMEGA Speedmaster ได้ถูกสวมใส่อยู่บนข้อมือนักบินอวกาศในการลุยภารกิจพิชิตดวงจันทร์กันมาบ้างแล้ว แต่เมื่อมีชื่อของอีกหนึ่งตัวละครหลักอย่าง Snoopy ตัวการ์ตูนสุนัขบีเกิ้ลที่โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งมักจะปรากฎตัวอยู่ในเรือนเวลารุ่นพิเศษรำลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่าง OMEGA และ NASA เข้ามาร่วมด้วย งานนี้คงมีอีกหลายคนนึกสงสัยในใจว่าเหตุใด Snoopy ถึงได้มีบทบาทในวาระสำคัญต่าง ๆ ของ OMEGA และ NASA มาโดยตลอด และในวันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจถึงที่มาที่ไปของความความผูกพันระหว่าง SNOOPY, NASA และ OMEGA ที่มีมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษให้ชาว UNLOCKMEN และเหล่าผู้หลงใหลในเรือนเวลา ที่อาจยังไม่ทราบถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ให้ได้กระจ่างกัน SNOOPY ไอคอนแห่งโลกการ์ตูน สู่สัญลักษณ์ภารกิจพิชิตดวงจันทร์ และรางวัลแห่งเกียรติยศ ถ้าจะต้องเล่าเรื่องราวสายสัมพันธ์สุดพิเศษระหว่าง Snoopy และ NASA คงต้องย้อนไปตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 60 เมื่อ Charles M. Schulz ได้วาดการ์ตูนที่มีสุนัขพันธุ์บีเกิ้ลนาม Snoopy สวมชุดอวกาศพร้อมเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการ Apollo
การรวมตัวของ Segway และ Skateboard เมื่อข้อดีจากทั้งสองสิ่งถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน ความมันส์ของ Skateboarding ที่ติดตรงต้องออกแรงไถไปตลอดทาง เจอทางลาดชันเมื่อไหร่ก็จบข่าว กับความง่ายจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยของ Segway ที่แค่เอียงตัว ก็เคลื่อนไหวไปตามทิศทางที่ต้องการได้อย่างสบาย ไม่ต้องออกแรงแม้แต่หยดเดียว เราคิดไว้ไม่ผิดว่าต้องมีคนเอา 2 สิ่งนี้มารวมกันเข้าสักวัน และมันก็เกิดขึ้นจริงแล้วในชื่อ ‘StarkBoard’ เหมือนได้แรงบันดาลใจมาจากความไฮเทคของ Tony Stark เราจะเรียก StarkBoard ว่าเป็น Skateboard อัจฉริยะก็ไม่ผิด เพราะรูปทรงของมันยังคงเป็น Skateboard อย่างชัดเจน แต่มีการเพิ่ม weight sensor และ motion sensor เข้าไป ทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้จากการโน้มตัวเช่นเดียวกับที่ใช้ใน Segway ดังนั้นต่อให้เล่น Skateboard ไม่เป็นเลย ก็ไม่มีปัญหา เรียนรู้แค่ไม่กี่นาทีก็เพียงพอที่จะออกไปผจญภัยบนถนนได้ทันที StarkBoard เคลื่อนไหวด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง สามารถเดินทางได้ 20 km ซึ่งเหลือเฟือสำหรับการเดินทางไปมาในเมือง ด้วยความเร็วสูงสุด 32 km/h มอเตอร์ไฟฟ้าที่ทรงพลังสามารถส่งกำลังพาเราขึ้นทางลาดชันได้ถึง
ไม่รู้ว่าชาว UNLOCKMEN ที่อายุเกิน 25 ขึ้นไป ยังพอจำการ์ตูนบาสเก็ตบอลเรื่อง Slam Dunk ได้บ้างหรือเปล่า เพราะเมื่อไม่นานมานี้ทีมงานได้นำมันกลับมาปัดฝุ่นอ่านอีกหนึ่งรอบเพื่อระลึกความหลังในวัยเยาว์ แต่เชื่อหรือไม่ว่าแม้การ์ตูนเรื่องนี้จะผ่านเวลามานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่เนื้อหาภายในเรื่องก็ยังเต็มไปด้วยมนต์ขลังที่สามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่าน แถมสนุกเพลิดเพลินชนิดที่ไม่ตกยุคเลย นอกเหนือจากเนื้อหาที่สนุกเร้าใจ สมจริง ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมากภายในเรื่อง นั่นคือ sneakers ที่อาจารย์ ทาเคฮิโกะ อิโนอุเอะ เลือกใช้ก็ครองใจวัยรุ่นไปตาม ๆ กัน และเราเองก็เชื่อว่า sneakerhead รุ่นเก่าส่วนใหญ่ล้วนมีจุดเริ่มต้นมาการ์ตูนเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการย้อนวันเวลา เราจะขอนำเสนอรองเท้า sneakers คู่เด็ดย้อนวัยไปในมังงะ Slam Dunk ว่ามีอะไรโดนใจเราบ้าง Converse ERX 360 สำหรับรองเท้าคู่นี้เป็นรองเท้าที่ตัวละคร อาคางิ ทาเคโนริ ผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์กัปตันทีมโชฮาคุ สวมใส่ ซึ่งมันเป็นรองเท้าบาสรุ่นคลาสสิคของ Converse ที่ในปัจจุบันหาได้ยากแล้ว Converse ERX 360 เป็นรองเท้าสาย power ที่จะเน้นหนักในเรื่องการกันกระแทก โดยการใส่
ปัจจุบันอาชีพขายรองเท้ารีเซลนับว่าได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม เนื่องจากเม็ดเงินที่สามารถทำกำไรให้กับผู้ขายรวมแล้วมีรายได้ดีกว่าการเล่นหุ้นหรือซื้อทองเสียอีก จึงทำให้มีพ่อค้าแม่ค้ามากมายต่างกระโดดลงมาร่วมวงในตลาดนี้อย่างคึกคัก โดยเรื่องนี้ถือเป็นแง่ร้ายสำหรับ Sneakershead มือใหม่ที่อาจจะไม่ได้มีเงินทองมากมาย เพราะต้องมาต่อสู้แย่งชิงกับพลังเงินของพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพที่พร้อมทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะได้รองเท้ารุ่นลิมิเตดมาไว้เก็งกำไรขายต่อ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งสำหรับ Sneakerhead ที่มีกำลังทรัพย์ ซึ่งอาจจะไม่ได้มีเวลามานั่งเข้าแคมป์ ต่อแถวจับฉลากเหมือนกับคนอื่น ก็จะมีช่องทางสามารถหาซื้อรองเท้าได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยแลกกับการจ่ายเงินที่แพงกว่าราคากลางเสียเล็กน้อย อันนี้ก็เป็นดุลยพินิจของแต่ละคนไป เนื่องจาก Demand กับ Supply มันไม่เท่ากัน ดังนั้นในวันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN จะขอมาแนะนำร้านรองเท้า Resell ต่าง ๆ ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อที่จะให้ทุกคนได้ไปจับจ่ายใช้สอยรองเท้ารุ่นลิมิเตดกันอย่างจุใจ NICEFEET รองเท้าสตรีทแวร์น้องใหม่อีกหนึ่งร้านที่ตั้งอยู่ในสยามสแควร์ ซึ่งร้านนี้ค่อนข้างโด่งดังในหมู่นักสะสมรองเท้า เพราะว่าพวกเขาเคยรับหิ้วรองเท้ารุ่นหายากทางช่องทางออนไลน์ มาก่อนหน้าที่จะมาเปิดร้าน เป็นของตัวเอง ดังนั้นหากคุณไป ร้าน NICEFEET แน่ใจได้เลยว่ารองเท้าทุกคู่ที่มาวางขายในร้านจะต้องเป็นรุ่นที่หายากสุด ๆ อย่างแน่นอน Facebook : Nicefeetth Yo! Khris ร้านสนีกเกอร์สุดแนวที่ตั้งอยู่ใจกลางสยามสแควร์ ซึ่งเป็นแหล่งรวมรองเท้ารีเซลที่ทีมงาน UNLOCKMEN คิดว่าน่าจะมีจำนวนมากที่สุดแล้วในปัจจุบัน เพราะในร้านมีรองเท้าโมเดลต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่า 1,000 คู่
หากพูดถึงประเทศที่กระแสแฟชั่นมาแรง แถมเต็มไปด้วยเอกลักษณ์สุดชัดเจน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเกาหลีใต้จัดเป็นหนึ่งในนั้นที่สามารถสร้างกระแสความฮือฮาให้กับทั่วโลกได้เป็นอย่างดี เพราะในช่วงขวบปีที่ผ่านมา นอกจากกระแส บอยแบนด์ เกิร์ลกรุ๊ปแล้ว แบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติเกาหลีก็ออกไปสร้างชื่อเขย่ารันเวย์โลกได้อย่างไม่น้อยหน้าใครเช่นกัน หนึ่งในแฟชั่นเขย่ารันเวย์นั้นคือแบรนด์ 99%IS ที่มีหัวเรือใหญ่อย่าง Bajowoo ผู้ถ่ายทอดอารมณ์เสื้อผ้าออกมาจากจิตวิญญานของตัวเขาเอง จนสามารถเข้าไปครองใจคนทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย สำหรับเสื้อผ้าของ 99%IS มีจุดเด่นอยู่ที่ลวดลาย หมุด หนาม ที่แสดงความแข็งกระด้างให้เข้ากับแฟชั่นในรูปแบบของ Street – Culture จนผลงานของ Bajowoo ได้รับการยอมรับในวงกว้างถึงขนาดที่ศิลปินระดับโลกมากมาย อาทิ Lady Gaga , Justin Bieber , Chris Brown , Bigbang , Pharrell Williams ต่างเลือกใช้ 99%IS เป็นเครื่องแต่งกายส่วนตัวทั้งในยามออกงาน และชีวิตประจำวัน นับว่าเป็นความโชคดีสำหรับขาแฟชั่นชาวไทยอย่างมาก เมื่อทางร้าน Upperground ได้นำเสื้อผ้า 99%IS เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนทำให้ UNLOCKMEN มีโอกาสสุด Exclusive เดินทางไปกระทบไหล่สัมภาษณ์
ปีนี้ Heineken นึกสนุก จับมือกับ Greyhound ทำโปรเจค ‘Star Delivery’ ขนเบียร์สดและอาหารจานเด็ดจากร้าน Greyhound พร้อมพร๊อบสำหรับปาร์ตี้เก๋ๆ ส่งตรงถึงบ้านคุณ ย่างเข้าปลายปีแบบนี้ หากลองสังเกตดี ๆ จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งความสุขที่อบอวลไปทั่ว ลมหนาวก็เริ่มพัดผ่านมาให้ได้แฮปปี้ กระดี๊ กระด๊ากันเป็นระลอก แถมแค่อีกเดือนนิด ๆ ก็จะเข้าสู่ช่วงเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เรียกได้ว่าช่วงนี้เป็นอีกช่วงหนึ่งของปี ที่มีดีทั้งช่วงเวลา และอากาศ เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะรวมตัวเพื่อนฝูง เหล่าแก๊งค์ก๊วนคนสนิทมาจัดปาร์ตี้สังสรรค์ ดื่มกิน พูดคุย สนุกสนานกันในแมทช์กระชับมิตร และในการปาร์ตี้กับพลพรรคเพื่อนซี้ หลายคนมักจะเลือกสถานที่ที่เป็นส่วนตัว เพราะจะได้สนุกสนานเฮฮากันได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลกับพื้นอันจำกัด หรือเกรงใจว่าความมันส์จะไปทำลายบรรยากาศผู้คนรอบข้าง ทางออกที่พบเห็นเป็นส่วนใหญ่คือการชวนชาวแก๊งค์มาปาร์ตี้กันที่บ้าน ที่คอนโด หรือในบางทีประชุมงานกันเสร็จก็จัดกันที่ออฟฟิศซะเลย ซึ่งหลายคนที่เคยจัดปาร์ตี้กันเองในพื้นที่ส่วนตัว น่าจะนึกภาพออกว่าเรื่องของสถานที่ไม่น่าจะใช่ปัญหาที่สร้างความวุ่นวายให้กับการจัดปาร์ตี้ได้มากเท่ากับการเตรียมอาหาร เครื่องดื่ม รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างที่ UNLOCKMEN เอง ก็มักจะใช้พื้นที่ในออฟฟิศจัดปาร์ตี้เฉพาะกิจกับทีมอยู่เสมอ ทำให้รู้เลยว่ากว่าจะไปออกซื้อหา หอบหิ้ว ขนม อาหาร เครื่องดื่ม นั้นมันช่างเสียเวลา และเป็นการตัดกำลังไม่ใช่เล่น บั่นทอนอารมณ์คึกคักอยากปาร์ตี้เฮฮาไปพอสมควร
หากพูดถึงแบรนด์แฟชั่นระดับกูตูร์ที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้ คงไม่มีใครกล้าปฎิเสธว่า Balenciaga สามารถก้าวขึ้นมาเป็น Top of the town สร้างปรากฎการณ์ความฮือฮาให้กับวงการแฟชั่นหลังจากได้ Creative Director คนใหม่อย่าง Demna Gvasalia ผู้เข้ามาปลุกกระแส Anti-Fashion ผ่านผลงานเจ๋ง ๆ สะท้อนการเสียดสีแฟชั่นชั้นสูง นำดีไซน์เสื้อผ้าที่ดูแสนจะธรรมดามาเพิ่มความโดดเด่นอย่างงดงาม จนล่าสุดเขาเพิ่งได้รางวัลบุคคลแห่งปีจาก Business of Fashion Demna Gvasalia ชื่อนี้ไม่ใช่โนเนมที่ฟลุคดังขึ้นมาชั่วข้ามคืน เพราะเขามีดีกรีเป็นนักเรียนของ Royal Academy of Fine Arts เมือง Antwerp ประเทศ Belgium ที่ซึ่งผลิตดีไซน์เนอร์ชื่อดังมากมาย และตัวของเขาเองเคยทำงานร่วมกับ Maison Martin Margiela , Louis Vuitton และปลุกปั้นแบรนด์ของตัวเองอย่าง Vetements ให้กลายเป็นไฮสตรีทชื่อดังมาแล้ว ก่อนจะมีโอกาสได้มารับไม้ต่อจาก Alexander Wang ที่ Balenciaga โดย Demna
ทีมงาน UNLOCKMEN สังเกตเห็นได้ว่าช่วงนี้หนุ่ม ๆ หลายคนได้ใช้วันลาหยุดที่อุตส่าห์เตรียมตัวมาเนิ่นนานเพื่อที่จะเดินทางไปพักผ่อนต่างประเทศ ชาร์จพลังจากการทำงานหนักมาตลอดทั้งปี ซึ่งมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้ชายอย่างเรามักจะละเลย และไม่ค่อยสนใจนั่นก็คือการแต่งตัวไปสนามบิน เพราะคิดว่าเป็นสิ่งไม่จำเป็น จนเกิดเป็นปัญหาโดนด่านตรวจคนเข้าเมืองกักตัวไว้ก็มี หรือไม่ก็ขาดการเตรียมความพร้อมโดยที่ใส่เสื้อผ้าอึดอัดเกินไปจึงทำให้เคลื่อนไหวร่างกายได้ลำบากเวลานั่งอยู่บนเครื่องบิน โดยอันที่จริงนั้นในสนามบินเองก็เป็นสถานที่ ๆ เราสามารถแต่งตัวชิค ๆ ให้ออกมาเท่ได้ เพียงแค่รู้จักเลือกใช้ไอเทมให้เหมาะสมถูกต้อง ดังนั้น Style Guide ในวันนี้จึงอยากจะมาแนะนำการแต่งตัวที่เราสามารถสวมใส่ได้อย่างสบาย แต่ยังคงความคูลยึดหลักไอเทมคือกางเกง Sweatpants เป็น Key Pieces สำคัญด้วยกันถึง 3 ลุค LOOK#1 Minimal Sweatsuit เหตุผลที่เราเลือกกางเกง Sweatpants เนื่องจากช่วงเวลาที่เราเดินทางไปสนามบิน แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่เราก็ต้องรักษาลุคให้ดูดี เพราะถ้าหากปล่อยเซอร์แต่งตัวชิวจนเกินไปก็อาจจะไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ ซึ่งการจะแต่งเต็มยศก็ดูจะอึดอัดจนเกินไป ดังนั้นกางเกง Sweatpants ที่มีคุณสมบัติรักษาความอุ่นได้ดี สวมใส่สบาย อีกทั้งยังคงความเท่ไว้ในตัว จึงไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าเกิดคุณจะเลือกใส่เป็น Sweatsuit โดยการเลือกเสื้อและกางเกงในเฉดสีเดียวกัน ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องเลือกเสื้อที่มีลวดลายมากจนเกินไปให้ดูรกตา LOOK#2 Work Trip สำหรับคนที่อาจจะไม่ได้ไปเที่ยว แต่มีภารกิจต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศก็ยังสามารถใส่กางเกง Sweatpants
เราเชื่อว่าในสมัยก่อนที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ การหาข้อมูลข่าวสารถือเป็นเรื่องยาก ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่คนเล่นรองเท้าเจ็บกันมาเยอะ เนื่องจากโดนหลอกขายรองเท้ารุ่นที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่ไม่ใช่แบบที่ต้องการ ซึ่งทีมงาน UNLOCKMEN เองก็ไม่ค่อยเข้าใจกลยุทธ์ในสมัยก่อนของแบรนด์รองเท้าว่าจะทำรองเท้าที่หน้าตาเหมือนกันออกมาขายทำไม เพื่อเป็นการขยายความในจุดนี้ Sneakers of the weeks สัปดาห์นี้ได้หยิบยกเอารองเท้าที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับถ่ายสำเนาก๊อปปี้ออกมา ให้ทุกท่านลองพิจารณาตัดสินใจกันดูว่าเหมือนหรือเปล่า adidas Gazelle = adidas Campus สืบเนื่องจากความโด่งดังเป็นพลุแตกของ adidas Gazelle ในยุคคาบเกี่ยว 80-90 เมื่อวัฒนธรรม Brit pop กลายเป็น mass culture และหนึ่งในไอเทมที่จะขาดไม่ได้เลยคือ adidas Gazelle ที่ฮิตจนถึงขั้นของขาดตลาด แต่แทนที่ adidas จะผลิตโปรดักส์ซ้ำออกมาให้เพียงพอต่อความต้องการ พวกเขากลับหยุดผลิต Gazelle ซะอย่างนั้น จากนั้นก็ใช้เทคนิคทางการตลาดส่งรองเท้ารุ่นอื่นที่มีหน้าตาคล้ายกันเกิดเป็นการรวมร่างระหว่าง Gazelle และ Stan Smith จนกลายเป็น adidas Campus เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์ นี่จึงเป็นเหตุให้ไลน์รองเท้าของ adidas Original มีรองเท้าสองรุ่นที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับฝาแฝดให้คนได้งงเล่น Air
ในยุคปัจจุบันเราอาจจะมองรองเท้าเป็นเพียงเครื่องแต่งกายที่บ่งบอกความสวยงามและสไตล์การแต่งตัว แต่ในอดีตรองเท้านั้นมีเรื่องราวความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญ หรือแม้แต่วัฒนธรรมต่าง ๆ จนเป็นที่มาของคำว่า “รองเท้าทุกคู่ล้วนมีเรื่องราวในตัวของมันเอง” ตัวอย่างเช่นรองเท้า Puma Suede ซึ่งถือเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อวงการฮิปฮอปและคนผิวสีของอเมริกัน จนเราอยากจะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ เป็นเวลากว่า 50 ปีที่รองเท้ารุ่น Puma Suede ยืนเคียงข้างวงการ sneakers รวมถึงฮิปฮอปตลอดมา เพราะหากย้อนกลับไปในปี 1968 ที่ซึ่งเราได้รู้จักกับรองเท้าคู่นี้เป็นครั้งแรกผ่านคนผิวสีในอเมริกา โดยพวกเขาถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อวงการกีฬา และการต่อต้านทางสังคมที่กดขี่ และแบ่งแยกทางเชื้อชาติ จึงไม่แปลกหากในต่างประเทศ Puma Suede จะเป็นยิ่งกว่าแค่รองเท้าคู่หนึ่ง เริ่มต้นจากมหกรรมกีฬา Olympic Summer Games ที่ประเทศ Mexico เกิดเหตุการณ์สำคัญต่อหน้าประวัติศาสตร์ เมื่อนักกีฬาที่ชื่อ Tommie Smith สามารถทำลายสถิติวิ่ง 200 เมตรชายได้ ขณะที่เขากำลังเดินขึ้นไปรับเหรียญรางวัลในชุดสีดำ เขาได้ก้มหัวชูกำปั้นขึ้นเหนือศีรษะ ซึ่งเป็นการแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการเหยียดสีผิว และถือเป็นเรื่องเซ้นซิทีฟอย่างมากในเวลานั้น ในขณะที่มืออีกข้างของเขาก็ถือรองเท้า Puma Suede ขึ้นฟ้า เหตุการณ์นี้จึงทำให้ Tommie Smith ถูกส่งตัวกลับบ้านในทันที แต่ทางกลับกันเขาก็ได้ใจคนผิวสีในอเมริกาทั้งประเทศ