เกิดมาเป็นผู้ชาย ต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การทำงาน การใช้ชีวิต หรือ ความสัมพันธ์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้อาจทำให้เราตกอยู่ในอาการคิดมากจนเกิดความเครียดถึงขั้นนอนไม่หลับ หากใครกำลังเจอปัญหานี้ เราแนะนำให้ลองนำเทคนิคที่ชื่อว่า Brain Dump ไปใช้ ซึ่งเทคนิคนี้จะช่วยให้สมองของเราโล่งขึ้น จนความเครียดและความกังวลข้างในหายไป ไม่เป็นภัยกับร่างกายและสมองของเราอีกต่อไป ความหมายของ Brain Dump ลองเปรียบสมองเป็นสนามหญ้าขนาดเล็ก และเปรียบความคิดของเราเป็นคนที่มาอยู่ในสนามหญ้านั้น ยิ่งคนเข้ามาอยู่ในสนามหญ้านั้นเยอะ ความแออัดวุ่นวายมันจะยิ่งมากขึ้นตามมา ถ้าเราไม่อยากให้สมองของเราวุ่นวายมากนัก เราควรใช้เทคนิคที่เรียกว่า Brain Dump ในการระบายความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมองของเรา เทคนิคนี้จะช่วยให้ความคิดของเราเป็นระบบระเบียบมากขึ้น สามารถจัดลำดับความสำคัญของงานได้เก่งขึ้น และทำให้เรามีความ Productive มากขึ้นด้วย เพราะความคิดของเราจะถูกจัดระเบียบ และคัดเลือกสิ่งที่ดีมากขึ้น ซึ่งเราสามารถทำ Brain Dump ได้ง่าย ๆ ด้วยขั้นตอนเหล่านี้ เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม แม้ตอนนี้เราจะมีสมาร์ทโฟนที่สามารถเขียนหรือจดบันทึกได้ทุกอย่าง แต่การเขียนลงบนกระดาษนั่นมีข้อดีกว่าตรงที่ว่า มันทำให้เราจดจำหรือเห็นความสำคัญของสิ่งที่เราบันทึก เพราะการเขียนด้วยมือกระตุ้นการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการคิดและความทรงจำ (working memory) ทำให้เราสามารถจดจำข้อมูลได้นานขึ้น และยังทำให้เรามีส่วนร่วมในข้อมูลที่เราจดบันทึกไว้มากกว่าด้วย ช่วยให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองบันทึกไว้มากขึ้นโดยอัตโนมัติ สร้างลิสต์ พอเราเตรียมอุปกรณ์เสร็จแล้ว ต่อมาให้เราสร้างลิสต์งานของตัวเอง
หลายคนเวลาเริ่มทำงานกลุ่ม หรือ โปรเจ็กต์ อาจประสบกับปัญหาสมองค้าง เพราะต้องรับข้อมูลมากมาย จนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี หรือ บางคนอาจเริ่มจากการรวบรวมความคิดเห็นของสมาชิกในนกลุ่มทุกคนก่อน ก่อนที่จะพบว่าทุกคนต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันจนไม่สามารถหาจุดตรงกลางได้ การคิดไอเดียมักเป็นเรื่องยากเสมอ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการที่เรียกว่า HMW ซึ่งจะช่วยให้เรามองปัญหาถูกจุด และคิดไอเดียการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น HMW คืออะไร HWM เป็นวิธีการคิดแก้ปัญหาที่ได้รับความนิยมในหมู่ดีไซนเนอร์ มันมักถูกใช้ในเวลา brainstorming เพื่อทำโปรเพื่อเจ็กต์ใหญ่ หรือ คิดกลยุทธ์ในการทำงาน โดย HMW เป็นคำย่อของประโยคภาษาอังกฤษ How might we ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “เป็นไปได้ไหมที่จะ…” คนมักจะเขียนประโยคนี้ลงในโน้ตหรือโพสอิท เพื่อสำรวจว่ามีอะไรคือปัญหาที่ควรแก้ไข หรือ สิ่งที่เราควรทำให้สำเร็จ ซึ่งมักใช้งานได้ดี เพราะการตั้งคำถามมักทำให้คนคิดถึงปัญหาอย่างลึกซึ้งมากขึ้น มองเห็นปัญหาที่ชัดเจนมากขึ้น ช่วยให้คิดวิธีการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามมา ดังนั้น หากทุกคนสามารถ HMW ไปใช้ได้ จะสามารถแก้ปัญหา และคิดไอเดียได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน วิธีการนำ HMW ไปใช้ เริ่มจากการเตรียมอุปกรณ์สำหรับการทำโน้ต HMW ก่อน ได้แก่ โพสอิท อุปกรณ์ในการเขียนหนังสือ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ความสำเร็จ’ เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายการทำงานของผู้ชายหลายคน แล้วถ้าคุณหรือใครอยากประสบความสำเร็จบ้าง วิธีที่ง่ายที่สุดคือเลียนแบบชีวิตการทำงานของคนที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จ แต่หากลองทำตามคำแนะนำของ Warren Buffett, Oprah Winfrey หรือแม้แต่ Bill Gates แล้วยังไม่เวิร์ก วันนี้ UNLOCKMEN มีกิจวัตรง่าย ๆ มานำเสนอ รับประกันว่าถ้าทำได้ ชีวิตการทำงานของคุณจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี หรืออาจเข้าใกล้ความสำเร็จในหน้าที่การงานมากขึ้นอีกก้าว อธิบายประเด็นหลักก่อนประชุม การประชุมแต่ละครั้งอาจไม่ใช่แค่ประชุมตามกำหนดการหรือถกเถียงประเด็นกันแบบไม่รู้จักจบสิ้น Jack Dorsey ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Twitter จึงแนะนำให้ส่งประเด็นผ่าน Google-Docs กับผู้เข้าร่วมประชุมก่อนเริ่มประชุมจริง ประมาณ 10 นาที วิธีนี้จะช่วยให้คนในห้องประชุมเห็นภาพเดียวกันและเข้าใจเนื้อหาการประชุมเบื้องต้น แม้จะยังไม่ได้เข้าประชุม ทั้งยังทำให้พวกเขาได้คิดและวิเคราะห์เนื้อหาโดยใช้วิจารณญาณ อาจคอมเมนต์กันผ่าน Google-Docs ได้ทันที เอื้อประโยชน์ให้การประชุมราบรื่น ไม่ยืดเยื้อ และมีประสิทธิภาพสูง เรียนรู้ที่จะพูดคำว่า “ไม่” อีกเรื่องที่เราอยากให้หนุ่ม ๆ ทำกันจนเป็นกิจวัตร คือการเรียนรู้ที่จะพูดคำว่า “ไม่” ในสถานการณ์จำเป็น เพราะบางครั้งคำว่า “ไม่” ไม่ได้แปลว่าคุณเกี่ยงงานหรือไร้ความสามารถเสมอไปหรอกนะครับ งานวิจัยของ
ต้องยอมรับว่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากต้องต่อกรกับการจราจรที่ติดแหง็กไปยันชาติหน้าแล้ว ผู้ชายเรายังต้องสู้รบฟาดฟันกับกองงานมหึมาที่หัวหน้าขยันโยนมาให้ไม่รู้จบ ที่ยากไปกว่านั้นคือต้องเคลียร์งานทั้งหมดให้เสร็จภายในเวลางาน 8 ชั่วโมงนี่สิ ไม่รู้ว่าจะโทษวัฒนธรรมองค์กรแสนยืดหยุ่นที่เอื้อประโยชน์ให้เรามาทำงานสายจนเคลียร์งานไม่ทัน หรือโทษตัวเองที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานกันแน่ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าการบริหารเวลาในชีวิตเข้าขั้นวิกฤตหรือล้มเหลว UNLOCKMEN มีเทคนิคง่าย ๆ มาแบ่งปัน รับประกันว่าถ้าทำได้ ชีวิตการทำงานของคุณจะ productive ยิ่งขึ้นแน่นอน! ‘60-30-10’ เป็นทฤษฎีการแบ่งเวลายอดนิยมที่ทำให้ใครหลายคนประสบความสำเร็จมานักต่อนัก ทฤษฎีนี้ว่าด้วยการแบ่งเวลาทำงานเป็นสามส่วน คือ 60, 30 และ 10 เริ่มที่เวลา 60% แรกจะใช้สำหรับงานที่สำคัญหรือมีมูลค่าต่อบริษัท เวลา 30% ถัดมาจะใช้ไปกับงานเร่งด่วนที่มูลค่ารองลงมาจากงานแรก และจบลงที่เวลา 10% สุดท้ายสำหรับกิจกรรมอื่น ๆ หรือการเตรียมพร้อมทำงานในวันต่อไป 60% เพื่องานสำคัญ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้งานของหนุ่ม ๆ หลายคนไม่สำเร็จลุล่วงตามที่หวัง อาจเป็นเพราะคุณใช้เวลาทั้งวันไปกับงานยิบย่อยหรืองานที่ไม่สำคัญ จนไม่มีเวลามากพอจะทำงานหลักที่สำคัญยิ่งกว่า เราแนะนำให้คุณแบ่ง 60% ของเวลาทำงานไว้สำหรับทำงานสำคัญหรืองานชิ้นใหญ่ที่จำเป็นต้องใช้เวลาทำมากกว่างานอื่น แต่ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่างานไหนสำคัญที่สุด ลองพิจารณาดูว่างานนั้น ๆ สอดคล้องกับภาพรวมงานใหญ่หรือไม่ และมันเอื้อประโยชน์ต่อเป้าหมายเบื้องหน้าที่คุณตั้งไว้หรือเปล่า เช่น ถ้าคุณเป็นพนักงานขายและมีโจทย์ให้ปิดยอดให้ได้ 300,000 บาทต่อสัปดาห์
ผู้ชายแต่ละคนก็คงมีพฤติกรรมการทำงานที่แตกต่างกันไป บ้างชอบมาทำงานเช้าแล้วกลับเร็ว เร่งทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วง เพื่อจะได้เหลือเวลาไปทำเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต ในทางกลับกันหนุ่มบางคนเป็นสายชิลที่ชอบมาสายหน่อย แต่ก็ทำงานได้เรื่อย ๆ จะอยู่จนดึกดื่นก็ไม่เกี่ยง เพราะชอบทำงานแบบเนิบช้ามากกว่าเร่งด่วน แต่ที่แปลกกว่านั้นคือมีมนุษย์ทำงานบางคนชอบทำงานไป ท่องโลกอินเทอร์เน็ตไป ทำงานได้ไม่ถึงสิบนาทีก็กด new tap แวะไปเล่นเฟซบุ๊กอีกห้านาทีค่อยกลับมาทำงานต่อ ไม่รู้ว่าพวกเขาสมาธิสั้นหรือไม่อยากเคร่งเครียดกับงานมากไปกันแน่ ในปี 2002 ทีมนักวิจัยของ The National University of Singapore สันนิษฐานว่าพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียในที่ทำงาน เป็นปัญหาใหญ่ที่อาจส่งผลให้พนักงานทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หลังจากนั้นก็มีงานวิจัยชิ้นอื่น ๆ สนับสนุนข้อสันนิษฐานดังกล่าวเช่นกัน ทำให้หลากหลายบริษัทพยายามหาแนวทางป้องกันไม่ให้พนักงานใช้อินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียระหว่างทำงานมากเกินไป ทั้งตรวจสอบการใช้อินเทอร์เน็ตและกำหนดนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัท การท่องโลกอินเทอร์เน็ตช่วยจัดการกับความเครียดได้? มีรายงานว่าชาวอเมริกันใช้เวลาประมาณ 10% ของเวลาทำงานไปกับการท่องโลกอินเทอร์เน็ต เล่นโซเชียลมีเดีย ส่งอีเมลหาเพื่อนสนิท และชอปปิงออนไลน์ แต่พฤติกรรมทั้งหมดนี้ไม่ได้สะท้อนว่าพวกเขาขี้เกียจหรือไม่ตั้งใจทำงานแต่อย่างใด เพราะผลสำรวจเผยว่าพฤติกรรมที่ชอบทำงานพลางท่องโลกอินเทอร์เน็ตพลาง ช่วยให้พนักงานรับมือกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตึงเครียดและกดดันได้เป็นอย่างดี ซึ่งนั่นอาจทำให้พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้ จากการสำรวจนักศึกษามหาวิทยาลัย 258 คน ที่ทำงานอย่างน้อย 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานของพวกเขา พบว่าการใช้อินเทอร์เน็ตในที่ทำงานเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัว อาจมีผลเชิงบวกต่อพนักงานและมีผลดีต่อการทำงานอย่างไม่น่าเชื่อ พนักงานที่ใช้เวลาท่องเว็บไซต์และเล่นโซเชียลมีเดียขณะทำงาน ให้ความเห็นว่าพวกเขาพึงพอใจในที่ทำงานและมีแนวโน้มจะลาออกจากงาน
‘ออฟฟิศ’ เป็นสถานที่ที่สัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างเราเป็นที่สุด เพราะเราใช้เวลาอยู่ที่นี่ร่วม 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งถ้านับดูดี ๆ ก็มากถึง 1 ใน 3 ของวัน แต่น่าแปลกที่หนุ่มออฟฟิศบางคนกลับใช้เวลาทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงเสียอีก และยิ่งแปลกไปกว่านั้นเมื่อพวกเขาดันคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ผู้ชายบางคนทำงานในองค์กรที่มีเวลางานยืดหยุ่น และคุ้นชินกับการมาทำงานสายจนทำให้งานไม่เสร็จ แต่ใจก็ไม่อยากหอบงานกลับไปทำต่อที่บ้าน เลยต้องนั่งทำงานต่อจนกินเวลาเกินกว่า 8 ชั่วโมง นอกจากพฤติกรรมนี้จะสะท้อนว่าคุณไม่สามารถจัดสรรเวลาทำงานได้อย่างเหมาะสมแล้ว มันอาจบ่อนทำลายชีวิตแบบ productive และทำลายความสุขในการทำงานของคุณจนไม่เหลือชิ้นดีอีกด้วย วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะมาชี้เป้า 5 อุปสรรคในออฟฟิศที่คุณควรกำจัดมันให้สิ้นซาก เพื่อให้คุณได้ใช้ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างมีประสิทธิภาพ! อุปสรรคที่ 1: สภาพแวดล้อมในการทำงาน แม้ออฟฟิศแบบเปิดโล่งจะได้รับความนิยมในสมัยนี้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบออฟฟิศสไตล์นี้ เพราะหายนะของออฟฟิศแบบเปิดโล่งคือการที่คุณต้องทนฟังเสียงคนอื่นคุยกันไปมาข้ามหัวคุณตลอดทั้งวัน ไม่เพียงบั่นทอนสมาธิในการทำงาน แต่อาจทำให้คุณทนไม่ไหวและเผลอไปร่วมวงสนทนากับพวกเขาต่ออีกด้วย วิธีแก้ง่าย ๆ คือหาหูฟังเปิดเพลงดัง ๆ อุดหู หรือปลีกตัวออกไปทำงานในมุมสงบ ๆ จะช่วยให้คุณสามารถทำงานต่อได้อย่างลื่นไหล แม้ต้องอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อการทำงาน (ที่ต้องใช้สมาธิ) ก็ตาม อุปสรรคที่ 2: โซเชียลเน็ตเวิร์ก ถ้างานของคุณไม่จำเป็นต้องติดต่อสื่อสารหรือตอบอีเมลตลอดเวลาก็คงจะดีไป
Benjamin Franklin คือหนึ่งในบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา แม้เราจะพอคุ้นหน้าคุ้นตากับใบหน้าขาวดำที่ปรากฏอยู่บนธนบัตร 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนยังไม่รู้ว่าเขาคือผู้ชายที่ถูกขนานนามว่า “ประสบความสำเร็จแทบทุกเรื่องในชีวิต” เขาเป็นทั้งช่างพิมพ์ นักเขียน นักปรัชญา นักการเมือง นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ และนักการทูต มีพรสวรรค์ในการเขียนหนังสือ แต่งเพลง เล่นไวโอลิน ทั้งยังมีทักษะการเล่นกีตาร์ในระดับสูง Benjamin Franklin คือผู้ให้กำเนิดหอสมุดแห่งแรกของสหรัฐอเมริกา ก่อตั้ง The University of Pennsylvania และเป็นหนึ่งในคนสำคัญแห่งยุคเรืองปัญญาที่คิดค้นสายล่อฟ้า จุดเริ่มต้นความรู้ครั้งใหญ่ของสาขาวิชาฟิสิกส์โลก แล้วที่สำคัญที่สุด Benjamin Franklin คือผู้นำการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้แยกตัวออกจากอาณานิคม และก่อตั้งชาติสหรัฐอเมริกาขึ้นมาจนทุกวันนี้ ด้วยรางวัลความสำเร็จที่การันตีและชื่อเสียงจากหลากหลายแขนงวิชา ทำให้เราสงสัยว่า ทั้งที่มีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงเฉกเช่นมนุษย์คนอื่น แต่ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงประสบความสำเร็จได้แทบทุกเรื่องในชีวิต? 9 กุญแจไขความสำเร็จของ BENJAMIN FRANKLIN ทำให้มันง่าย ในหนังสืออัตชีวประวัติของ Benjamin Franklin เผยว่าเขาแบ่งตารางกิจวัตรประจำวันอย่างเรียบง่าย โดยมีเพียง 6 เรื่องเท่านั้นที่ต้องทำในแต่ละวัน ไม่จำเป็นต้องมีกิจกรรมมากมาย
“เชี่ย! อาทิตย์นี้ลืมซักผ้า” “เวรละ งานที่ต้องส่งพรุ่งนี้ยังไม่เสร็จ” “โดนฆ่าแน่กู ลืมวันครบรอบไปสนิทเลยว่ะ” หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ แถมยังหลงลืมเรื่องราวสำคัญไปอย่างสนิทใจ ไม่ว่าด้วยการจัดสรรเวลาที่บกพร่อง ภาระหน้าที่หนักหนาเกินรับไหว หรือคิดว่า 24 ชั่วโมงต่อวันมันน้อยเกินไป โปรดรู้ไว้ว่านี่คือสัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังก้าวสู่เส้นทางของ ‘ผู้ชายล้มเหลว’ จริงอยู่ที่ในหนึ่งวันมีเวลาให้ใช้เพียง 1,440 นาทีเท่านั้น แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะยัดทุกเรื่องที่อยากทำลงไปในนั้นอย่างเป็นระบบไม่ได้นี่ครับ วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ มาปลดล็อกขีดความสามารถของตน ทำลายข้อจำกัดเวลา 86,400 วินาทีของหนึ่งวัน และยกระดับการใช้ชีวิตให้ productive กว่าที่เคย แล้วนิสัยแย่ ๆ แบบไหนบ้างที่ควรกำจัดทิ้งให้สิ้นซาก? มาดูกัน! พักงานจนดินพอกหางหมู หนึ่งในสามของเวลาในแต่ละวัน เราพลีกายถวายชีวิตให้กับการทำงานอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้บางครั้งงานจะหนักหนาสาหัสจนถึงขั้นต้องพลีชีพ แต่ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าเราหนีจากมันไปไม่พ้น ยิ่งเวลาทำงานเครียด ๆ ผู้ชายหลายคนคงต้องเปิด Facebook, Twitter, LinkedIn หรือส่อง Instagram สาว ๆ เพื่อพักสายตากันบ้าง แต่หนุ่ม ๆ รู้ไหม? ว่าพฤติกรรมแบบนี้มันบั่นทอนชีวิต
เคยไหม เวลาที่เราทำงานแล้วดันพลาดเพราะจุดบกพร่องที่เรามองไม่เห็นแต่เจ้านายดันมองเห็นและเรียกเราเข้าไปรับฟังคำปรับปรุง หลังฟังคอมเมนต์เราก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะเงียบ ๆ เฝ้าบอกตัวเองว่าจะไม่ทำผิดอีก จับจดกับมันจนนอยด์ โทษตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่ากูมันไม่ดี กูมันห่วย ความคิดแบบนั้นบางคนอาจจะสามารถพลิกไปใช้ในทางบวกให้ทำงานดีขึ้นได้ แต่เชื่อเถอะว่าการเฆี่ยนตัวเองบ่อย ๆ จากความคิดลบเพียงอย่างเดียว มันจะรีดพลังงานและความกระหายที่จะทำงานของเราไปจนหมด ดังนั้น เพื่อให้ทำงานได้โปรดักทีฟแบบไม่ต้องเจ็บทั้งตัวจากการโดนตำหนิของคนอื่น แล้วยังมาเจ็บใจซ้ำเพราะตำหนิตัวเอง ลองมาเปลี่ยนความคิด แล้วใจดีกับตัวเอง ให้โอกาสกับความผิดพลาดเสียบ้าง แล้วคุณจะรู้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ใช่ความเหลาะแหละ แต่เป็นประสิทธิภาพที่ดีเกินคาด หลักการนี้ไม่ใช่เรื่องหลักลอย แต่นำมาผลงานและการศึกษาของ 2 นักวิจัย คือ Leah Weiss ศาสตราจารย์ที่ Stanford University Graduate School of Business ที่เขียนผลงาน How We Work: Live Your Purpose, Reclaim Your Sanity, and Embrace the Daily Grind (เราทำงานกันอย่างไร: อยู่เพื่อเป้าหมาย ฟื้นฟูจิตใจ และโอบกอดงานประจำ) กับ Shauna