หลังจากปี 2021 ที่ Seiko 5 Sports ได้เปิดตัว Field/Military Collection เรือนเวลาคอลเลกชันแห่งนักผจญภัย ที่ไม่ว่าจะสาย Camping / Hiking / Trekking ก็สามารถคอมพลีทลุคอัพสไตล์สายลุยระดับไฮคลาส พร้อมกับฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ต่อทุกการใช้งาน เป็นที่ประทับใจของสายแคมป์เปอร์ทั่วโลกมาแล้ว มาในปี 2023 นี้ เรือนเวลาคอลเลกชั่นตัวเก่งตัวเดิม Seiko 5 Sports กลับมาอีกครั้ง ! ด้วย Seiko 5 Sports Field Mid-Size “Outdoorsy Style” เรือนเวลารุ่นล่าสุดของนักผจญภัยที่สายแคมป์ปิ้งพลาดไม่ได้ ด้วยคอนเซปต์ Chillaxing (มีที่มาจาก Chill และ Relax) ตอบโจทย์ในคนรักกิจกรรมเอาท์ดอร์ กับเรือนเวลา 5 เรือน ที่ดีไซน์ทั้งประโยชน์ใช้สวยและประโยชน์ใช้สอย เดี๋ยว UNLOCKMEN จะมาเล่าทีละเรือนให้ฟังในบรรทัดต่อไป เริ่มกันที่นาฬิกา 3 รุ่นแรกที่ปรับขนาดหน้าปัดใหม่เป็น 36
สืบเนื่องจากความร่วมมือระหว่าง ไซโก (ประเทศไทย) ในฐานะหน่วยงานเอกชนที่ให้ความสำคัญของการมุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ ครอบคลุมในทุกมิติทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้มีความเชื่อมโยงกันหรือที่เรียกกันว่า Sustainable Development Goalsหรือ (SDGs) และมูลนิธิสืบนาคะเสถียร หน่วยงาน NGO ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการสานต่อเจตนารมย์ของคุณสืบ นาคะเสถียร ในการพิทักษ์ ช่วยเหลือ และรักษาผืนป่าห้วยขาแข้ง และสัตว์ป่าทุกชีวิตให้อยู่ได้อย่างปกติสุข จนก่อเกิดมาเป็นนาฬิกาคอลเลคชั่นพิเศษ สืบ นาคะเสถียร ไทยแลนด์ ลิมิเต็ด อิดิชั่น (Seub Nakhasathien Thailand Limited Edition) ที่ได้ผลตอบรับที่ดีเกินคาด อีกทั้งยังได้กำเนิด โครงการ Save the Forest โปรเจคที่ได้นำพาสื่อพันธมิตรเดินทางไปลงพื้นที่เพื่อสัมผัสการทำงานของเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และร่วมทำกิจกรรมเพื่อพิทักษ์ผืนป่ามรดกโลก ณ จังหวัดอุทัยธานี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าห้วยขาแข้งในระหว่างวันที่ 15 – 17 มกราคม 2566 โดยกิจกรรม Save the Forest เริ่มด้วยกิจกรรมการฟังบรรยายความสำคัญของป่าโดย ได้รับเกียรติจากเจ้าหน้าที่ผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน เริ่มจากคุณเพิ่มศักดิ์
เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยกับ Brand Friend คนที่ 3 ของ Seiko นักแสดงที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี ‘อเล็กซ์ เรนเดลล์’ ผู้ร่วมก่อตั้ง Environmental Education Centre หรือ ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (EEC) องค์กรที่มุ่งหวังในการส่งเสริมให้สังคมมีความรู้ และความเข้าใจต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม พร้อมลงมือปกป้องธรรมชาติให้ยั่งยืนมาโดยตลอด โดยการร่วมมือระหว่าง Seiko ในครั้งนี้ หนุ่มอเล็กซ์มาเพื่อผนึกกำลังให้กับแคมเปญเพื่อโลกที่ชื่อว่า Sustainable for Life พร้อมกับ 2 โปรเจกต์เพื่อรักษาธรรมชาติได้อย่างครอบคลุมทั้งโลกบนบกและโลกใต้ทะเล กับ Seiko Save the Ocean และ Seiko Save the Forest ท่ามกลางบรรยากาศที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติอันเขียวชอุ่มในป่าใหญ่ ของโรงแรม Bangkok Marriott Hotel The Surawongse นั้น ทำให้นึกขึ้นได้ว่าจริง ๆ โปรเจกต์ Save the Ocean ที่มีขึ้นเพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ท้องทะเลของประเทศไทยของ
“หลายคนอาจมองว่าเราเป็นคนทำงาน Street Art ที่ประสบความสำเร็จ แต่พูดตรง ๆ คือ เราไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงจุดนั้นหรือเปล่า แค่รู้สึกว่าถ้าเรามีโอกาส ได้รับโอกาสอะไรมา เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด งานมันต้องพัฒนาเรื่อย ๆ เราอยากรู้สึกตื่นเต้นกับงานที่ทำ ณ ปัจจุบันให้มากที่สุด อยากรู้สึกเหมือนตอนทำงานกำแพงแรก ที่เราผ่านอะไรมามากมายจนสุดท้ายก็ทำสำเร็จ เราว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมากเลย” Quote ข้างต้นคือมุมมองการสร้างงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วย Passion จากปากของชายที่เรา และใครอีกหลายคนทั้งในไทยรวมถึงต่างประเทศ ต่างให้การยอมรับว่าเขาคือหนึ่งในศิลปินเบอร์ต้น ๆ ที่นำพาผลงาน Street Art ไทย ให้ดังไกลถึงต่างแดน แม้เจ้าตัวจะไม่มั่นใจว่าได้เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางของความสำเร็จแล้วหรือยัง แต่เชื่อว่าผลงานมากมายของ ‘รักกิจ สถาพรวจนา’ หรือ ที่หลายคนรู้จักในชื่อ RUKKIT น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว จากจุดเริ่มต้นของเด็กชายธรรมดาที่มีใจรักในการวาดรูป แต่การคว้ารางวัลประกวดวาดภาพระดับอนุบาลมาครอง กลับกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้เด็กชายรักกิจ มุ่งมั่นในเส้นทางศิลปะต่อเนื่องและเริ่มต้นทำงานประจำในสาขากราฟิกดีไซน์เนอร์ จนกระทั่งสิ่งที่เรียกว่า “โอกาส” ที่ถูกหยิบยื่นให้ได้เปิดเส้นทางใหม่ให้ผู้ชายคนนี้ได้รู้จักกับงาน Street Art และใช้ชีวิตกับศิลปะแขนงนี้มาจนถึงปัจจุบัน “หลังจากจบมหาวิทยาลัยก็ไปทำงานกราฟิกดีไซน์ก่อน จากนั้นมีรุ่นพี่ชวนไปทำงาน Street Art เป็นงานพ่นกำแพงที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ (BACC) เริ่มทำครั้งแรกก็รู้สึกชอบเลย
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ ตอนนี้ ชื่อของ ALBA แบรนด์นาฬิกาดีไซน์สวยที่มีจุดเด่นเรื่องราคาจับต้องได้ภายใต้คุณภาพการผลิตที่การันตีโดยแบรนด์เรือนเวลาชั้นนำของญี่ปุ่นอย่าง SEIKO กำลังเป็นที่จับตามองด้วยคอลเลกชั่นเท่ ๆ มากมายที่ทยอยเปิดตัวออกมาภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “The Reflection Of Japan” ซึ่งแต่ละรุ่นแต่ละคอลเลกชั่นนั้นล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นโดนใจ ด้วยงานดีไซน์ที่สะท้อนถึงคุณภาพความเป็น Japan Product กับนาฬิกาแนว Sport Style ที่หนุ่ม ๆ อย่างเราสามารถหยิบมาสวมใส่ได้ในทุกโอกาส ล่าสุดทาง ALBA ก็ได้เผยโฉมอีกหนึ่งคอลเลกชั่นใหม่ซึ่งยังคงคอนเซ็ปต์ความเท่ที่สะท้อนจิตวิญญาณญี่ปุ่นออกมาได้เป็นอย่างดี กับ ALBA Monster Thailand Creation ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรือนเวลารุ่นยอดนิยมของรุ่นพี่อย่าง SEIKO ที่ได้รับการขนานนามจากเหล่านักสะสมว่า Monster ด้วยความแข็งแรงบึกบึนของตัวเรือน และดีไซน์ที่ดูแปลกตาแต่มีเสน่ห์ครองใจผู้คนมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่การเปิดตัวในปี 2000 และ Monster ที่ถูกตีความภายใต้ชื่อ ALBA Monster Collection นั้น เป็นการนำเอาเอกลักษณ์ระดับไอคอนิก มาร้อยเรียงเรื่องราวและดีไซน์ใหม่ ซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาผ่านนาฬิการะบบอัตโนมัติ 3 รุ่น 3 สไตล์ ที่ยังคงความโดดเด่นเอาไว้แบบครบ ๆ ทั้งในเรื่องขนาดตัวเรือนกำลังเข้าข้อที่ 42.4
นับตั้งแต่การเปิดตัวของนาฬิกา Seiko 5 Sports ในปี 1968 โลกก็ได้รู้จักกับ เรือนเวลาจักรลที่เป็นตัวแทนของความทนทาน และคุณค่าด้านประสิทธิภาพที่ไว้ใจได้ มาอย่างยาวนานกว่า 54 ปี จวบจนปัจจุบัน โดยเลข “5” ในชื่อรุ่นเป็นสิ่งแสดงถึงคำมั่นสัญญาว่านาฬิกา Seiko 5 ทุกเรือนจะมาพร้อมคุณสมบัติหลัก 5 ประการ ดังนี้ เครื่องระบบอัตโนมัติ, ฟังก์ชั่นวันและวันที่บริเวณ 3 นาฬิกา, ระบบกันน้ำ, เม็ดมะยมบริเวณ 4 นาฬิกา และ ตัวเรือนรวมถึงสายที่มีความแข็งแรงทนทาน จากคุณสมบัติเหล่านี้ ส่งผลให้ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อของ Seiko 5 Sports นาฬิกาสปอร์ตสัญชาติญี่ปุ่น ได้สร้างประวัติศาสตร์รับความนิยมในระดับนานาชาติในฐานะนาฬิกาที่สามารถ “ไปได้ทุกที่” โดดเด่นทั้งประสิทธิภาพครบครันและดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครในราคาที่คุ้มค่า อีกทั้งจุดเด่นเหล่านี้ยังได้ถ่ายทอด DNA ความแข็งแกร่งสู่คอลเลคชั่นใหม่ของ Seiko 5 Sports ที่กลับมาในปี 2019 ซึ่งได้มีการเพิ่มความกระตือรือร้นและพลังแห่งการขับเคลื่อนอันทันสมัยลงไป พร้อมเปิดตัวรุ่นพิเศษออกมามากมาย ทั้ง Thailand Limited Edition / Street Fighter
นับย้อนไปตั้งแต่การเปิดตัวนาฬิกาสำหรับนักดำน้ำรุ่นแรกของญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1965 เทคโนโลยีนวัตกรรมการบอกเวลาของ Seiko ได้ทำให้มาตรฐานของวงการนาฬิกาเปลี่ยนแปลงไป และทำให้ชื่อของไลน์อัพ Seiko Prospex เป็นสัญลักษณ์ของความท้าทายทุกขีดจำกัด เป็นตัวแทนคอลเลกชั่นเครื่องบอกเวลาสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกีฬาและผู้ที่หลงใหลในการผจญภัย ไม่ว่าจะใต้น้ำ เหนือท้องฟ้า หรือแม้กระทั่งบนบกก็ตาม และในปี 2022 นี้ นาฬิกา The Black Series หนึ่งในซีรีส์ยอดนิยมของ Seiko Prospex ได้ก้าวข้ามความท้าทายสู่การผจญภัยครั้งใหม่ ที่ไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่เพียงการดำดิ่งสู่ท้องทะเลลึก กับการเปิดประสบการณ์การเดินป่าตั้งแคมป์ในยามค่ำคืน เพื่อดื่มด่ำความงามท่ามกลางความเงียบสงบ ซึ่งพร้อมสะกดทุกสายตาด้วยแสงจากธรรมชาติบนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดสนิท จนแทบจะมองเห็นดวงดาวทั้งกาแล็กซี่ โดยเฉพาะในบางพิกัดบนท้องฟ้าที่เผยความงามผ่านแสงสีเขียวเรืองรองที่สาดส่องลงมากระทบกับเงาของต้นไม้รอบด้าน จนกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Seiko Prospex The Black Series “Night Vision” Limited Edition รุ่นใหม่ล่าสุด Seiko Prospex Black Series “Night Vision” Collection นำแรงบันดาลใจจากท้องฟ้าของผืนป่ายามค่ำคืน มาถ่ายทอดลงบนตัวเรือนทั้งหมด 3 แบบ ทั้ง 3 รุ่น
สาวก SEIKO คงไม่มีใครไม่รู้จักคอลเลกชั่น ‘Save The Ocean’ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นงาน Special Edition ที่ไม่ได้มีคุณค่าในแง่ของความงามจากลวดลายดีไซน์พิเศษในแต่ละรุ่นเท่านั้น แต่มันยังมีคุณค่าในเชิงอนุรักษ์ด้วยการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของท้องทะเล เพื่อสานต่อจิตสำนึกในการพิทักษ์ท้องทะเลให้คงอยู่อย่างสมบูรณ์สู่รุ่นลูกหลานของเราสืบไป โดยต้นกำเนิดของคอลเลกชั่น ‘Save The Ocean’ นั้นเริ่มมาตั้งแต่ปี 2018 ที่ SEIKO ได้ร่วมมือกับนักสำรวจและนักอนุรักษ์เพื่อการอนุรักษ์ฟื้นฟูท้องทะเลอย่างยั่งยืน ซึ่งจุดมุ่งหมายของ ‘Save The Ocean’ นอกจากจะทำหน้าที่สร้างการรับรู้ให้เห็นถึงความสำคัญของท้องทะเลผ่านดีไซน์เฉพาะตัวของเรือนเวลาแต่ละรุ่นแล้วนั้น ทาง SEIKO ยังนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายนาฬิกา SEIKO PROSPEX ‘Save The Ocean’ กลับไปช่วยฟื้นฟูท้องทะเลให้กลับมาอุดมสมบูรณ์เช่นเดิมอีกด้วย และเป็นที่น่ายินดีว่าคอลเลกชั่นแห่งการอนุรักษ์ท้องทะเลนั้นมีการตอบรับที่ดีจนเดินทางมาถึงลำดับที่ 8 ของซีรีส์ ซึ่ง SEIKO PROSPEX ‘Save The Ocean’ Special Edition ประจำปี 2022 นั้นจะหยิบยกเอารุ่นเด็ดรุ่นไหนมาเติมเต็มความงดงามจากเสน่ห์แห่งท้องทะเลลงไป เชิญติดตามรับชมไปพร้อมกันได้เลย การกลับมาของ SEIKO PROSPEX ‘Save The Ocean’ Special
เชื่อว่าในตอนนี้หากจะให้พูดถึงเรือนเวลาขั้นสุดของ Seiko หลายคนคงยกให้ GS หรือ Grand Seiko ยืนหนึ่งในมวลหมู่ Seiko ทั้งหลาย แต่สำหรับแฟนพันธุ์แท้ Seiko คงรู้กันดีว่าในอดีตยังมีอีกหนึ่งรุ่นตำนานอย่าง King Seiko ที่ตีคู่ขับเคี่ยวโชว์ศักยภาพความเป็นเรือนเวลาชั้นยอดมาโดยตลอด เรื่องของเรื่องต้องย้อนไปในช่วงทศวรรษที่ 1960 ซึ่งถือเป็นทองยุคแห่งความก้าวหน้าของ Seiko ทั้งในด้านการพัฒนาเชิงเทคนิคกลไกและความคิดสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ จนได้มีการพัฒนา Grand Seiko รุ่นแรกออกมาในปี 1960 ก่อนที่จะส่ง King Seiko ตามมาในปี 1961 ซึ่งเรือนเวลาทั้ง 2 รุ่น ที่มาจาก 2 แหล่งผลิต (Grand Seiko ผลิตที่ Suwa Seikosha / King Seiko ผลิตที่ Daini Seikosha) ต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการเป็นสุดยอดเรือนเวลาของ Seiko แม้ตอนนี้จะเหลือเพียง GS ที่ครองตำแหน่งแบรนด์เรือนเวลาเรือธงจาก Seiko แต่เสน่ห์ความเป็นนาฬิกาจักรกลที่ได้รับการออกแบบและขัดแต่งอย่างสวยงามประณีต
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘SEIKO (ไซโก)’ คำภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า “นาที” “ความดีเยี่ยม” และ “ความสำเร็จ” เป็นคำคุ้นหูที่หลายคนรู้จักในฐานะชื่อแบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่นที่อยู่คู่กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย นอกจากชื่อเสียงที่ชาวไทยคุ้นเคย ในระดับโลก SEIKO ยังถือเป็นแบรนด์ที่สร้างมาตรฐานใหม่บนหน้าประวัติศาสตร์วงการนาฬิกามาแล้วมากมาย ทั้งในฐานะแบรนด์นาฬิกาข้อมือแบรนด์แรกของญี่ปุ่นที่ริเริ่มผลิตนาฬิกาควอตซ์จนทำให้เกิดยุค Quartz Crisis และเป็นแบรนด์ที่ผลิตนาฬิกาดำน้ำไทเทเนียมรุ่นแรกของโลก รวมถึงนวัตกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย จากประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 140 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ SEIKO ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 จนกลายเป็นความเชี่ยวชาญที่ผลักดันให้ SEIKO ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทนาฬิกาชั้นนำในญี่ปุ่น เป็น House of Watchmaking ที่ผลิตทุกชิ้นส่วนของนาฬิกาด้วยโดยช่างผู้ชำนาญการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของนาฬิกา ภายใต้คติ Keep Going Forward ซึ่งหมายถึงการไม่หยุดพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ ที่ SEIKO ยึดถือมาจนถึงปัจจุบัน และในปี 2021 นี้ ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสพิเศษของแบรนด์คุณภาพจากญี่ปุ่นที่เดินทางมาครบรอบ 140 ปีเท่านั้น ซึ่งพวกเราชาวไทยที่เป็นสาวก SEIKO มาตั้งแต่ยุคบุกเบิกน่าจะรู้กันดีว่าช่วงเวลานี้ถือเป็น “ช่วงเวลาพิเศษ” ของไซโก