ตำนานแห่ง Ventura ถือกำเนิดขึ้น เมื่อ Hamilton ได้สร้างนาฬิกาที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เรือนแรกของโลกขึ้นในปี 1957 ซึ่งกลายมาเป็นนาฬิกาแห่งโลกอนาคต ราวกับนิยายแนววิทยาศาสตร์ได้กลายมาเป็นจริง ภายใต้ตัวเรือนทรงสามมุมที่สะดุดตา พร้อมดีไซน์คลื่นไฟฟ้าบนหน้าปัดได้พลิกโฉมวงการนาฬิกาของโลกไปตลอดกาลนับตั้งแต่นั้นมา นาฬิการุ่นตำนานอันล้ำยุคอย่าง Ventura กลับมาพร้อมดีไซน์ใหม่ล่าสุดในชื่อ ‘Ventura Elvis80 Skeleton’ ภายใต้การตีความความคลาสสิกของ Ventura ในรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างสรรค์รูปลักษณ์ที่ทันสมัยอย่างรูปทรง Elvis80 ซึ่งเป็นรูปทรงที่ได้รับการตั้งชื่อตาม Elvis Presley ผู้ที่ถือเป็นแฟนตัวยงของนาฬิกา Ventura Ventura Elvis80 Skeleton กลายมาเป็นนาฬิการะบบอัตโนมัติแทนระบบไฟฟ้า ซึ่งได้สร้างนิยามใหม่ให้กับการผลิตนาฬิกาในทุกมิติ ด้วยกลไกอันโดดเด่นที่ปรากฏบนหน้าปัด โดยหน้าปัดเปลือยของตัวเรือน Ventura Elvis80 Skeleton เผยให้เห็นกลไก H-10-S สุดล้ำ พร้อมการตกแต่งที่โฉบเฉี่ยวแบบ Côtes de Genève มาพร้อมการสำรองพลังงานถึง 80 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าเราได้ผสานอดีต ปัจจุบันและอนาคตเข้าด้วยกัน โดยยังคงไม่ทิ้งรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Ventura ด้วยดีไซน์คลื่นไฟฟ้าที่ถูกนำเสนอผ่านลายซิกแซ็กบนโครงสร้างหน้าปัดแบบเปลือยหรือโครงกระดูก (skeleton) Ventura Elvis80
หลังจากหายหน้าหายตาไปนานสำหรับหนุ่ม Justin Bieber ที่นอกจากจะหลบหนีไปรักษาอาการป่วยซึมเศร้าที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน จากการรับมือกับสถานะคนดังตั้งแต่ยังเด็กจนสูญเสียชีวิตส่วนตัวไป อีกทั้งยังได้สละโสดเป็นฝั่งเป็นฝาเป็นที่เรียบร้อยกับนางแบบสาว Hailey Baldwin ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะคัมแบคอย่างเต็มตัวทั้งการปล่อยอัลบั้มใหม่ Change ซึ่งไม่รู้ว่าด้วยเรื่องราวของ Covid-19 หรือเปล่า ที่ทำให้ความกระแสความนิยมของหนุ่ม Justin อาจจะดูแผ่วเบาลงไปบ้าง ไม่เปรี้ยงป้างเหมือนสัก 4-5 ปีก่อนที่ขยับอะไรก็เป็นข่าวได้ตลอดเวลา แต่ทว่ามีหนึ่งโปรเจกต์ที่มองข้ามไม่ได้เลยสำหรับการเปิดไลน์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองเป็นครั้งแรกอย่าง “Drew House” ระหว่างที่เขาซุ่มเงียบอยู่นั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะหายไปซะทีเดียว เพราะได้แอบพัฒนาแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง หลังจากไปเป็น Influencer ให้คนอื่นมานักต่อนัก โดยโปรเจกต์เสื้อผ้าของเขาเริ่มต้นอย่างรวดเร็วในช่วงปลายปี 2017 ขณะที่ Justin กำลังพักจากงานเพลง โดยเขาได้ไปจด Trademark ด้วยกันทั้งหมด 3 ชื่ออันประกอบไปด้วย “The House of Drew” , “La Maison Drew” และ “Drew” ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งสามคำนี้มีคำว่า Drew อยู่ในนั้นทั้งหมด ซึ่งเราก็พอจะสันนิษฐานได้ไม่ยากว่า Drew นั้นมาจากไหน เพราะมันมาจากชื่อกลางของเขาเอง ( Justin Drew Bieber )
ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าช่วงนี้กระแสของเหล่าแก๊งมาเฟียกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นข่าวรองหัวหน้าแก๊งยากูซ่าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเพิ่งออกจากคุกมาหมาด ๆ หรือภาพยนตร์มาเฟียเรื่อง The Irishman ของผู้กำกับดังออกฉายพร้อมกวาดรางวัลจากเวทีไปแล้วนับไม่ถ้วน ไปจนถึงเรื่องราวของแก๊งนักเลงปลายแถวจากย่านเบอร์มิงแฮมของเกาะอังกฤษที่นำมาสร้างเป็นซีรีส์เรื่อง Peaky Blinders ทั้งหมดสามารถโหมกระแสโลกผู้ชายให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ในวันนี้ UNLOCKMEN ไม่ได้มาเล่าถึงเรื่องราวในซีรีส์ของ Peaky Blinders แต่เน้นการเจาะลึกด้านแฟชั่นอันโดดเด่นของ Thomas Shelby กับชาวแก๊งของเขาว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมสั้นเกรียนเกือบทั้งหัว เสื้อโค้ตยาว หมวกรุ่นคุณปู่แสนเชย และมวนบุหรี่ถึงเท่มากเมื่ออยู่ในหนังเรื่องนี้ WHAT IS ‘PEAKY BLINDERS’ ? ย้อนกลับไปในเกาะอังกฤษคริสต์ศตวรรษที่ 19 ช่วงเวลาแห่งรอยต่อระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ใครหลายคนไม่คาดคิดว่าโลกจะกลายเป็นสนามรบอีกครั้ง อังกฤษกำลังเจริญทางด้านอุตสาหกรรมแบบสุด ๆ แต่กลับไม่ใช่ทุกคนจะร่ำรวย ยังมีคนตกงานจำนวนมาก ชนชั้นแรงงานทำงานหนักเพื่อแลกกับเงินจำนวนน้อยนิด เกิดอาชญากรรมบ่อยครั้งในย่านที่ไม่ค่อยได้รับการใส่ใจ Peaky Blinders เป็นเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากบุคคลที่มีตัวตนจริงในอังกฤษช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่ในชีวิตจริงพวกเขาเป็นแก๊งอันธพาลเล็ก ๆ ในเมืองเบอร์มิงแฮม สมาชิกของกลุ่มส่วนใหญ่เป็นเยาวชนแต่งตัวจัดจ้าน จากคำบอกเล่าของผู้คนบอกว่า ชาวแก๊งบางคนมีแต่กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่ง เดินเตร่ไปมาบนถนน ไม่ได้มีอำนาจล้นมือมากขนาดนั้น
ฮิปฮอปกับแฟชั่นถือเป็นของคู่กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ละยุคก็จะมีไอคอนที่แตกต่างกันออกไป เราเติบโตมากับ Run DMC ที่คนต้องหาหมวก Bucket มาใส่กันทั่วบ้านทั่วเมือง หรือแม้แต่ยุค Air Force 1 ที่ Jay-Z หรือ Nelly ใส่ใน Music Video ช่วงยุค 2000 จนมาถึงปรากฎการณ์ Yeezy ของ Kanye West ที่ทำให้สตรีทแฟชั่นการเป็นเรื่องของทุกคน แต่หากพูดถึงไอคอนของเด็กยุคนี้คงไม่มีใครโดดเด่นเกินหน้าเกินตาของ Jacques Bermon Webster II หรือ Travis Scott ย้อนกลับปี 2013 คือจุดเริ่มต้นของ Travis Scott ที่ออกสู่สายตาประชาชนเป็นครั้งแรกจากมิกซ์เทป Owl Pharaoh ก่อนจะปล่อยอัลบั้มเต็มในเวลาต่อมา สร้างความสนใจให้กับบรรดาแฟนๆ ฮิปฮอปที่ได้ดาวรุ่งดวงใหม่ประดับวงการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตัว โชว์การแสดงสด หรือแม้แต่แนวดนตรี ที่เรียกได้ว่าถอดแบบมาจากอาจารย์ Kanye West ซึ่งเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และไม่ได้อินเทรนด์เหมือนเดิม Travis Scott
โลกลูกหนังปัจจุบันได้เปลี่ยนสถานะที่เป็นมากกว่ากีฬาเพื่อหาความบันเทิง แต่มันได้กลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีเงินสะพัดจำนวนหลายพันล้านเหรียญต่อปี แถมเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมมากมายอย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งหากย้อนกลับไป 10-20 ปีก่อน ฟุตบอลก็ได้รับและส่งต่ออิทธิพลในโลกแฟชั่นอยู่แล้ว มีการแต่งตัวแบบ Terrace Culture ที่มีรากฐานมาจากฟุตบอล และเป็นต้นกำเนิดให้แบรนด์อย่าง Stone Island, Palace, Fred Perry ในปัจจุบันและเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนโลกก็เปลี่ยนตามไปเช่นกัน ฟุตบอลยิ่งกลายเป็น Sub-culture หนึ่งของแฟชั่น และตัวของนักฟุตบอลเองก็มีสถานะไม่ต่างจากดารา Influencer ชื่อดัง ที่สามารถนำแฟชั่นมาใช้โปรโมตในชีวิตประจำวันหรือบนสนามหญ้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องเดินบนเวทีหรือพรมแดง ทำให้หลายสโมสรหรือธุรกิจมองเห็นโอกาสและพยายามจะโยงทั้งสองเรื่องนี้เข้าไว้ด้วยกัน เป็นการปรับภาพลักษณ์ในเชิงพาณิชย์ให้สโมสรกลายเป็นแบรนด์สินค้าอย่างหนึ่ง สามารถหาเงินได้หลากหลายทางมากขึ้น อาทิ สโมสร Manchester United ที่ผันตัวเองเป็นบริษัทมหาชนอย่างเต็มตัว ทำการค้านอกสนามและสนใจเม็ดเงินกำไรมากกว่าผลการแข่งขันในสนามเสียอีก แต่หนึ่งสโมสรที่ยกระดับและปรับตัวได้อย่างรวดเร็วกับยุคฟุตบอลพาณิชย์ ต้องยกให้ทีมนี้ Paris Saint Germain หลังจากการเข้ามาเทคโอเวอร์ของกลุ่มมหาเศรษฐีตะวันออกกลาง QSI เมื่อปี 2011 ที่มีเป้าหมายใหญ่คือการทำให้ ปารีส นั้นเป็นมหานครแห่งฟุตบอลและแฟชั่น PSG จะต้องเป็นสโมสรระดับโลกและแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นแนวหน้า ทำให้เกิดการรีแบรนดิ้งครั้งใหญ่ มีการเปลี่ยนโลโก้ใหม่ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น พวกเขาเริ่มปรับปรุงจากในสนามแข่งก่อน พร้อมทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อเซ็นสัญญาคว้าซุเปอร์สตาร์ของโลกอย่าง เดวิด แบคแฮม
ตลอดช่วงอายุ 60 ปี ของภาพยนตร์ชุดเจมส์ บอนด์ (James Bond) นับตั้งแต่ภาคแรกออกฉาย เรื่องราวของสายลับอังกฤษเจ้าเสน่ห์ผู้นี้ ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วทั้งสิ้น 25 ภาค และมีนักแสดงก้าวเท้ามารับบทนำรวมทั้งสิ้น 6 คน โดยนักแสดงคนแรกที่ได้รับบทนี้คือ ฌอน คอนเนอรี (Sean Connery) นอกจากภาพจำในฐานะนักแสดงชื่อดังที่ฝากผลงานมาแล้วมากมาย โดยเฉพาะบทสายลับหน้าหล่อเวอร์ชันคลาสสิก เขายังเคยเป็นอดีตนักฟุตบอล และฝีเท้าของเขาก็สามารถทำให้ผู้จัดการทีมฟุตบอลชื่อดังจากเกาะอังกฤษสนใจดึงตัวเขาไปร่วมทีม ฌอน คอนเนอรี เกิดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ปี 1930 ที่เมืองเอดินเบอระ เมืองหลวงของประเทศสกอตแลนด์ เขาไม่ใช่เด็กโชคดีที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดเหมือนดาราดังทั่วไป เพราะชีวิตในวัยเด็กของเขาต้องต่อสู้กับความยากจน ครอบครัวของเขามีพื้นเพเป็นชาวไอร์แลนด์ที่อพยพมาอยู่อาศัยในสกอตแลนด์ พ่อเเม่ของเขาประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ทำให้เมื่อคอนเนอรีโตพอจะดูแลตัวเองได้ เขาจึงเริ่มหางานพิเศษทำเป็นเด็กส่งนมตามบ้าน เมื่ออายุ 16 ปี คอนเนอรีตัดสินใจสมัครเข้ากองทัพเรือสกอตแลนด์ เป้าหมายคือการหางานที่มั่นคง และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว แต่สุดท้ายอาชีพนายทหารของเขาต้องสิ้นสุดลงเนื่องจากเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้เขาถูกปลดประจำการในอีก 4 ปีต่อมา คอนเนอรีต้องกลายเป็นคนตกงาน เขาจึงต้องหางานพิเศษทำเพื่อเลี้ยงปากท้อง ไม่ว่าจะเป็น ทำงานเหมืองถ่านหิน
หลายคนอาจจะเคยเห็นผลงานของ MSCHF แต่ไม่เคยรู้จักแบรนด์นี้มากนัก เป็นแบรนด์ที่มี Business model แปลกประหลาดจนเจ้าของบริษัทเองก็ไม่รู้จะนิยามตัวเองว่าอะไรดี แต่สรุปง่าย ๆ คือเป็นบริษัทใน Brooklyn, NY ที่เน้นผลิต Content ไอเดียสุดแปลกผ่านทั้งสินค้าและเนื้อหาใน Online ที่เท่และใช้งานได้จริง เช่น Chicken Bong และ Jesus Shoes เป็นต้น เดี๋ยวเราจะเจาะลึกเรื่องแบรนด์นี้กันอีกครั้ง ผลงานล่าสุดของ MSCHF (อ่านว่า mischief) ‘Birkinstock‘ ชื่อที่ทุกคนรู้จักและสร้างสรรค์ออกมาตรงตัวแต่ไม่ธรรมดา ด้วยการเอารองเท้าแตะ Birkenstock บ้าน ๆ ที่เราใส่กันทุกวี่วัน มาอัพเกรดให้กลายเป็นผลงานสุดหรูขั้นเทพด้วยการเปลี่ยนหนังรองเท้า แทนที่ด้วยหนังจากกระเป๋า Hermes Birkin และตั้งราคาที่บ้าคลั่งตามภาษาของสะสม เริ่มต้นที่ $34,000 – $76,000 USD (1- 3 ล้านบาท) ขึ้นอยู่กับรุ่นหนังว่ามาจาก Hermes Birkin ใบไหน ซึ่งที่แพงสุด ๆ
Camper ภูมิใจนำเสนอโปรเจกต์ใหม่ที่แสดงถึงความยั่งยืนของสินค้าและทำให้สามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง กับ Speical Collection ‘Recrafted’ เป็นคอลเล็กชั่นพิเศษที่นำรองเท้าที่ทั้งผ่านการใช้แล้ว ที่ถูกนำมาคืน หรือคู่ที่มีตำหนิมารวมเข้ากับวัสดุเหลือใช้ เพื่อรังสรรค์เป็นรองเท้าแคมเปอร์คู่ที่ไม่เหมือนใคร (one-of-a-kind) โดยนำเทคโนโลยีและความยั่งยืนมาสร้างให้เป็นรองเท้าที่มีความทนทาน ตามเจตนารมณ์ของแบรนด์ที่จะเปลี่ยน วัฏจักรชีวิตของรองเท้าให้ยืนยาวยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังร่วมพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย และไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบ สำหรับโปรเจกต์นี้เกิดขึ้นที่ Camper Workshop สำนักงานใหญ่ในเมืองมายอร์กา (Mallorca) ประเทศสเปน ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตรองเท้าของแบรนด์แคมเปอร์มากว่า 4 ทศวรรษ ที่นี่มีทีมนักออกแบบรุ่นเยาว์และเหล่าช่างฝีมือที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์สไตล์ใหม่ ๆ พร้อมพัฒนารองเท้าที่มีอยู่ให้ดียิ่งขึ้นควบคู่กันไป ด้วยการผสานเทคโนโลยีล่าสุดและวัสดุในการผลิตจากเทคนิคการทำรองเท้าที่ใช้มาอย่างยาวนานนับตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1877 ของครอบครัวผู้ก่อตั้ง การนำรองเท้าแคมเปอร์ที่ใช้แล้วมาดัดแปลง ไม่เพียงแต่ได้ต่อยอดวัฏจักรชีวิตรองเท้าคู่นั้นๆ แต่ยังช่วยส่งเสริมให้ผู้คนตระหนักถึงแนวทางในการบริโภคสินค้าและยังเป็นไอเดียในการเชิญชวนให้ลูกค้าร่วมสร้างสรรค์ รูปแบบของการดำเนินธุรกิจที่ดียิ่งขึ้นไปด้วยกัน ราวกับว่าเมื่อคนหนึ่งตัดสินใจที่จะไม่ทิ้งรองเท้าไปอย่าง สูญเปล่าและส่งต่อรองเท้าให้ถูกนำไปใช้ใหม่อีกครั้ง เราเชื่อในความซื่อสัตย์และจริงใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำในฐานะแบรนด์ ตามปรัชญาที่ครอบคลุมทั้งฝั่งดำเนินการและพาร์ทเนอร์ของเราที่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งเริ่มต้นที่เมืองอินคา (Inca) ชนบทอันห่างไกล ตั้งอยู่ใจกลางของเกาะมายอร์กา ที่ซึ่งรองเท้าทั้งหมดของเราถูกออกแบบและพัฒนาโดยทีมนักออกแบบรุ่นเยาว์ที่ทำงานร่วมกับเหล่าช่างฝีมือที่เปี่ยมไปด้วยทักษะเพื่อสร้างสรรค์รองเท้าที่มีคุณค่าเดียวกันกับที่ธุรกิจของเราดำเนินมาโดยตลอดทั้งเรื่องคุณภาพ, ความสมบูรณ์ และการออกแบบ การริเริ่มในระยะยาวช่วยให้เราเข้าใกล้วัฏจักรของรองเท้าและโปรเจกต์อื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนในสังคมโดยการให้เรานำรองเท้าแคมเปอร์มาใช้อีกครั้ง ซึ่งผู้บริโภคจะช่วยเราสร้างสรรค์วัฏจักรในการดำเนินธุรกิจที่ดียิ่งขึ้นไปด้วยกัน เมื่อคนหนึ่งตัดสินใจที่จะไม่ทิ้งรองเท้าไปอย่างสูญเปล่า และทำให้รองเท้านั้น
หากให้หยิบยกเอาเรื่องของนาฬิกาดำน้ำรุ่นเด่นจาก SEIKO มาพูดคุยกัน เชื่อเหลือเกินว่าบรรดาสาวกทั้งหลายคงใช้สมญานามหรือชื่อเล่นแทนตัวของแต่ละรุ่น ไม่ว่าจะเป็น เต่า, มอนสเตอร์, ซูโม่, ซามูไร ไปจนถึงระดับจอมทัพอย่าง ‘โชกุน (Shogun)’ มาสนทนากันอย่างออกรส ชนิดที่ว่าคนวงนอกฟังแล้วอาจมีอาการงง พาลฟันธงไปว่ากำลังคุยเรื่องมังงะกันอยู่เป็นแน่แท้ ซึ่งต้องบอกว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้คุยกันเรื่องการ์ตูน หรือหนังแฟนตาซีอะไรอย่างที่เข้าใจกัน แต่ต้องอธิบายว่าชื่อเล่นมากมายที่ถูกใช้ในการขนานนามนาฬิกาเรือนโปรด นั้นถูกนำมาจากจุดเด่นของรูปลักษณ์งานดีไซน์ในแต่ละรุ่น ยกตัวอย่างเช่น SEIKO โชกุน คือชื่อเล่นที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับ SEIKO PROSPEX รุ่น SBDC007 ที่โดดเด่นด้วยภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งของโลหะที่ใช้ ซึ่งก็คือวัสดุไทเทเนียมที่มีน้ำหนักเบาและมีความทนทานสูง เปรียบได้กับชุดเกราะที่โชกุน หรือเจ้าของตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในสมัยก่อนสวมใส่ในยามออกรบ และไม่ใช่เพียงแค่วัสดุที่ทำให้ได้มาซึ่งสมญานามโชกุน แต่งานดีไซน์ในส่วนต่าง ๆ ยังสะท้อนจิตวิญญาณชุดเกราะของจอมทัพออกมาอย่างได้ชัดเจน ทั้งในส่วนของ Pointed Markers บนขอบหน้าปัดที่ดูแข็งแกร่ง และ Triangular Notches ที่ออกแบบเพื่อให้หมุนขอบตัวเรือนได้อย่างกระชับ มั่นคง แม่นยำ ตอกย้ำให้ผู้ที่ได้สวมใส่นาฬิกาเรือนนี้รู้สึกได้ว่าความแกร่ง ผสานกับความประณีต รวมถึงน้ำหนักที่เบาของวัสดุไทเทเนียม นั้นควรค่าที่จะเป็นชุดเกราะคู่ใจของโชกุนผู้เกรียงไกร จนกลายเป็นที่มาของชื่อ ‘โชกุน’ นาฬิกาดำน้ำที่เบาที่สุดจาก SEIKO ที่หลายคนยกให้เป็นตำนาน โดยเหตุผลที่ได้กลายเป็นตำนานนั้น
Maison Kitsune’ (เมซง คิทสึเนะ) แบรนด์แฟชั่นลูกครึ่งสองสัญชาติจากฝรั่งเศสและญี่ปุ่น โดย Gildas Loaec (จิลดาส์ โลแอ็ค) และ Masaya Kuroki (มาซายะ คุโรกิ) เผยโฉมคอลเลคชั่นใหม่ประจำฤดูกาล Spring / Summer 2021 ที่ถูกออกแบบ และพัฒนาจาก Maison Kitsune’ Studio (เมซง คิทสึเนะ สตูดิโอ) ซึ่งถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ Maison Kitsuné ได้เชิญชวนดีไซเนอร์ฝีมือดี และมีชื่อเสียง เข้ามาร่วมสร้างสรรค์ผลงานผ่านการตีความจากเอกลักษณ์ของแบรนด์ ประเดิมซีซั่นนี้ด้วย Marcus Clayton (มาร์คัส เคลย์ตัน) ครีเอทีฟ ไดเรคเตอร์มากความสามารถจากปารีส ผู้ได้มาเป็นดีไซเนอร์ประจำฤดูกาลนี้ คอลเลคชั่น Spring / Summer 2021 นี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการถ่ายทอดเรื่องราว และเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไประหว่างเมืองโตเกียว (Tokyo) และปารีส (Paris)