ถ้านึกถึงสิ่งแรกที่คิดถึงประเทศเกาหลีใต้ สำหรับคนที่ยังไม่เคยไปอย่างเราก็คงมีวัฒนธรรมการกินไก่ทอด & เบียร์, วง G-IDLE (เป็นติ่งแหละ), การทำศัลยกรรม อ้อ ๆ แล้วก็แน่นอน ‘การสัก’ ไงล่ะ เสน่ห์ของความมินิมอลบนเรือนร่างเป็นสิ่งที่ไม่มีทางลืมนึกถึงได้เลย เพราะเกาหลีใต้คือหนึ่งในประเทศที่คนบินไปเพื่อสักมากที่สุดที่หนึ่งของโลก อุดมไปด้วย Tattoo Artist มีชื่อเสียงฝีมือฉกาจมากมาย แต่น่าเศร้าที่กฎหมายของประเทศนี้ยังจับคำว่า ‘ถูกกฎหมาย’ ของการสักใส่ไว้ในกรงไม่ให้หนีไปไหน ซึ่งย้อนไปไกลตั้งแต่ปี 1992 จนล่าสุดถึงปี 2022 สาเหตุของความย้อนแย้งของกฎหมายต่อสายตาของผู้คนทั่วโลก ว่าอะไรทำให้ประเทศที่งานศิลปะเจริญรุ่งเรืองสุดขีดในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะดนตรี แฟชั่น และแน่นอนว่า ‘การสัก’ ถึงถูกแบนจากประเทศของตัวเอง UNLOCKMEN ชวนอ่านเรื่องเศร้าของการเป็นช่างสักในเกาหลีใต้ ที่พวกเขารู้สึกว่าถึงแม้จะเป็นประเทศที่เจริญแล้ว แต่ก็ยังถูกปฎิบัติราวกับอาชญากรอยู่ดี The K-TATTOO ความรุ่งเรืองที่สวนทางเรื่องรอยสักในเกาหลีใต้ น่าจะสามารถใช้มาตรวัดที่ไม่มากก็น้อยจากวัฒนธรรมภายในประเทศที่เรียกว่า K-TATTOO อันเป็นคำนิยามในทางเดียวกันกับคำที่ใช้กำหนดแนวดนตรีในประเทศ K-POP หรือซีรีส์แบบ K-DRAMA ความหมายง่าย ๆ ประมาณว่า ‘รอยสักที่อยู่บนเรือนร่างของศิลปินเกาหลี’ นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น รอยสักบนตัวของ
รอยสักถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน มีทั้งสักเพื่อบ่งบอกสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ หรืออย่างในบ้านเราที่สักเพื่อการใช้วิชาคาถาอาคม แต่ในปัจจุบันมันได้พัฒนากลายเป็นแฟชั่นสวยงามที่คนมากมายนิยมชมชอบ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย ส่วนใครที่มีแพลนที่จะสักหรือยังลังเล Unlockmen มี 6 ขั้นตอนเตรียมตัวก่อนโดนเข็มมาฝากเพื่อเพิ่มความพร้อมของคุณให้มากยิ่งขึ้น 1.เลือกลายที่ชอบกับตำแหน่งที่ใช่ ขั้นตอนแรกเบสิคมาก ๆ ก่อนที่จะเกิดลวดลายบนร่างกายเราเองก็ต้องคัดสรรค์สิ่งที่ชื่นชอบซะก่อน ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพต่าง ๆ หรือตัวอักษร หรือจะเป็นงานแบบโอลด์สคูลหรือนิวสคูล ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละบุคคล นอกจากนั้นยังต้องดูตำแหน่งบนร่างกายให้เหมาะสมอีกด้วย หากคุณทำงานที่เคร่งเรื่องรอยสักก็ควรสักไว้ใต้ร่มผ้า แต่ถ้าหากคุณไม่มีอะไรผูกมัดก็ซัดส่วนที่คุณอยากได้เลย 2.หาร้านตรงสเป็กและเชคความปลอดภัย ปัจจุบันมีช่างสักให้เลือกเป็นจำนวนมาก แต่ละคนก็มีความโดดเด่นและความถนัดที่แตกต่างกันออกไป แล้วยิ่งในยุคโซเชียล มีเดีย ถือเป็นโชคดีของบรรดาลูกค้าที่จะได้มีโอกาสได้ดูงานและรีวิวตามช่องทางต่าง ๆ เช่น Instagram หรือ Facebook ทำให้ช่วยตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากจะดูร้านที่ถูกใจแล้วการตรวจสอบความสะอาดของร้านไม่ว่าจะเป็นการดูแลอุปกรณ์ การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ หรือการเปลี่ยนเข็ม ก็เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะหากพลาดไปอาจจะโชคร้ายได้โรคกลับมาบ้านเป็นของแถม 3.ใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสม คุณต้องคำนึงถึงตำแหน่งที่จะสักเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นให้เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้เหมาะสมโดยเฉพาะสุภาพสตรีที่มีจุดสุ่มเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย คุณก็ควรจะต้องระมัดระวังมากกว่าเป็นพิเศษ 4.รับประทานอาหารก่อนรับงานสัก อย่าปล่อยให้ท้องของคุณว่าง และควรรับประทานอาหารที่มีกลูโคสเพราะร่างกายคุณจะเสียเลือดมากกว่าปกติ มันจะช่วยลดอาการหน้ามืดได้ และแน่นอนการรับประทานอาหารมาก่อนจะทำให้คุณไม่หิวระหว่างสักนั่นเอง 5.งดเครื่องดื่มมึนเมา นอกจากอาจจะคุยกับช่างสักไม่รู้เรื่อง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์มาก่อนจะทำให้เลือดของคุณไหลออกมามากเป็นพิเศษในขณะที่โดนเข็มกรีดไปตามร่างกาย ส่งผลงานงานสักเละ สักติดยาก แถมเปลืองกระดาษทิชชู่ชองช่างที่ต้องคอยมานั่งซับเลือดให้อีก
ศิลปะนอกจากจะถ่ายทอดออกมาจากปลายพู่กัน, ดินสอ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ได้แล้ว การใช้เข็มก็สามารถถ่ายทอดความงดงามออกมาได้เช่นกัน ซึ่งทุกคนต่างคุ้นเคยกับวิธีนี้กันเป็นอย่างดีและรู้จักกันในชื่อของ “งานสัก” แต่การถ่ายทอดมีความแตกต่างจากวิธีอื่น ๆ เพราะมีผิวหนังบนร่างกายของมนุษย์เป็นภาชนะในการรองรับ “ภาณุพงศ์ ลู” ใช้นามปากกาในการสักว่า “LUJU.TATTOOER” (LUJU มาจากคำว่า “ลู” = นามสกุล, “จู” = จูเนียร์ เพราะเป็นน้องคนเล็ก) จบการศึกษาจากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร คือหนึ่งในบุคคลที่นิยมชมชอบถ่ายทอดงานศิลปะที่ตัวเองหลงใหลลงบนผิวหนังด้วยสไตล์ที่แตกต่างและมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจกับการหยิบจับเอารูปของพืช, โครงกระดูก และสัตว์ ให้กลายมาเป็นงานสัก ทำให้ใครหลาย ๆ คนยอมควักเงินเพื่อจารึกรอยลงบนร่างกายของตัวเอง มาทำความรู้จัก LUJU ไปพร้อม ๆ กันเลยครับ จุดเริ่มต้นการเป็นช่างสัก “เป็นคนชอบงานสักมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วครับ ชอบรอยสักที่มันดูเล็ก ๆ เพราะตอนแรกเห็นรอยสักใหญ่ ๆ เต็มหลังแล้วรู้สึกกลัว แต่มาเริ่มสนใจอยากเป็นช่างสักจริง ๆ คือตอนเรียนอยู่ปี 2 เป็นช่วงกำลังหางานพิเศษทำแล้วบังเอิญไปเห็นพวกช่างสักทำให้เรารู้สึกสนใจ ก็เลยตัดสินใจไปซื้ออุปกรณ์มาลองสักดูครับ” “ตอนแรกก็เริ่มฝึกจากสักลงบนหนังเทียม ต่อมาก็ได้มีโอกาสลองบนร่างกายของเพื่อน ใช้เวลาฝึกอยู่ประมาณ
‘รอยสัก’ นับเป็นงานศิลปะและลวดลายแฟชั่นที่เพิ่มความงดงามให้กับเรือนร่างของผู้ชายมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่นอกเหนือจากความสวยงาม รอยสักยังสะท้อนถึงความเชื่อ ความหมาย ตัวตน และความชอบที่แตกต่างกันออกไป มันจึงเป็นสิ่งที่ต้องการความปราณีตและความเป็นมืออาชีพของช่างในการสลัก วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปเยี่ยมร้านสักหลากสไตล์ที่จะเปลี่ยนผิวหนังของคุณให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความทรงจำ INK AGAIN มาเริ่มกันที่ INK AGAIN TATTOO ร้านสักลายขนาดย่อมที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยรัชดา 36 แม้ตัวร้านจะมีขนาดเล็ก แต่ฝีมือของช่างก็ไม่ได้เล็กน้อยตามตัวร้านเลย เพราะช่างประจำร้านมีประสบการณ์ด้านนี้มานานถึง 10 ปี แถมยังสลักลายได้หลายแนวไม่ว่าจะเป็น Black Work / New School / Minimal หรือ ถ้าคุณอยากได้ลายแนว Custom ทางร้านก็จัดให้ได้เหมือนกัน หากใครสนใจลองไปดูผลงานของร้านเพิ่มเติมได้ที่ IG: @inkagaintattoo หรือ ดูพิกัดร้านได้ที่ Google Maps AOMOA ใครที่ชื่นชอบรอยสักที่มีสีสันสวยงามฉูดฉาด หรือ ที่เป็นลายกราฟิกที่โดดเด่นทั้งสีและเส้น เราขอแนะนำร้านสักที่น่าจะตอบโจทย์คุณ ร้านนี้มีชื่อว่า AOMOA TATTOO STUDIO ซึ่งตั้งอยู่ในซอยเอกมัย 21
ผิวอ่อนนุ่มของมนุษย์เอาเข็มแหลมจุ่มสีจิ้มย้ำลงไปให้เลือดซิบ หมึกซึมเข้าไปในผิวหนัง จะได้รอยสักบ่งบอกตัวตน ผู้ชายกับรอยสักเป็นของคู่กัน แต่ที่อยู่กับรอยสักได้ดีไม่แพ้ผิวหนังมนุษย์ ก็ผิวของ “หินอ่อน” จากงาน Iconic ที่ถูกเพิ่ม “รอยสัก” เข้าไปจนกลายเป็นงานศิลป์ร่วมสมัย และมีศิลปินท่านนึงที่อาจหาญทำมันได้สำเร็จจนได้ Fabio Viale เกิดใน Cuneo ทางตอนเหนือของ Italy ประเทศที่ขึ้นชื่อด้านหินอ่อนคุณภาพดี เริ่มเข้ามาคลุกคลีกับวงการหินอ่อนเมื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะตอนอายุ 16 ปี นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้สึกหลงใหลในวัสดุชิ้นนี้ ต่อมาเขาผลิตงานประติมากรรมสลักหินอ่อนมากมาย และมีผลงานบางส่วนที่โด่งดังเข้าตาวงการร้านขายของแอนทีค ถือเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเต็มตัวของ Fabio เส้นทางก่อนเป็นศิลปินอิสระ คือการสร้างรูปปั้นเพื่อตกแต่งสุสานในเมืองมิลาน แต่หลังทำไปสักพัก Fabio ก็เลือกเส้นทางศิลปินเดี่ยวออกมาทำงานคนเดียว ย้ายจากอิตาลีไปอยู่ทั้งนิวยอร์กและรัสเซีย มุ่งมั่นสร้างผลงานจนในที่สุดเขาก็มีผลงานสร้างชื่อเข้าจนได้ โดยมีรางวัล Cairo Prize ให้ชื่นใจเป็นชิ้นแรก กระทั่งปี 2015 เขาตัดสินใจทำงานร่วมกับ Poggiali Gallery ใน Florence เพื่อจัดนิทรรศการส่วนตัว และผลงานนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เพราะได้รับเกียรติให้นำเข้าไปติดตั้งไว้ในโบสถ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างมหาวิหารซานโลเรนโซ แต่ทั้งหมดก็ยังไม่ไวรัลเท่างานล่าสุดที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ เป็นการสร้างรูปปั้นไอคอนิกตามแบบที่สำคัญในประวัติศาสตร์ แล้วนำมาใส่รอยสักลงไปจากการตีความของ Fabio แต่มันไม่ได้ธรรมดาแค่นั้น เพราะจุดสำคัญคือรอยสักบนหินทั้งหมดนี้ไม่ได้ใช้วิธีทาสีทับธรรมดา แต่ใช้เทคนิคทำให้เหมือนสีซึมอยู่ด้านในจนดูคล้ายกับรอยสักมนุษย์จริง
คุณมองคนที่มีรอยสักเป็นอย่างไร ? มองว่าเป็นคนไม่ดี มองว่าเป็นเรื่องความชอบส่วนตัวของเขา หรือมองว่าเป็นศิลปะประเภทหนึ่ง บางคนอาจรู้สึกโอเคกับรอยสักขนาดเล็กสไตล์มินิมัล แล้วถ้ารอยสักขนาดใหญ่พาดเต็มแขนทั้งสองข้าง คุณจะมองว่ามันคือสัญลักษณ์ของอาชญากรหรือมองเป็นศิลปะญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์มากกว่ากัน ? UNLOCKMEN จะพาไปดูมุมมองเรื่องรอยสักของชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ว่าพวกเขามีความคิดเห็นที่เหมือนหรือแตกต่างเรื่องการวาดลวดลายบนเรือนร่าง ว่ามันสวยงามหรือว่ามันคือสัญลักษณ์ของพวกอาชญากรกันแน่ ? รอยสักญี่ปุ่นว่าด้วยคนญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์รอยสักแห่งเกาะญี่ปุ่น เกิดขึ้นเมื่อค้นพบตุ๊กตาอายุราว 2,300 ปี ในหลุมศพของโชกุน การค้นพบครั้งนี้ทำให้นักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นต่างตั้งสมมุติฐานว่ารอยบนใบหน้าของตุ๊กตามีความหมายว่าอย่างไร บ้างก็ว่าเป็นเครื่องหมายแสดงความกล้าหาญ บ้างก็ว่าเป็นการบอกยศ และมีคนเชื่อว่ารอยสักคือเครื่องหมายไว้ประจานพวกนักโทษ สังคมญี่ปุ่นสมัยโชกุนจะแยกคนที่มีรอยสักกับไม่มีรอยสักออกจากกัน คนไม่มีรอยสักก็คือประชาชนธรรมดา บ้างก็เป็นพ่อค้าแม่ค้า มนุษย์เงินเดือน เจ้าหน้าที่ข้าราชการ ส่วนคนที่มีรอยสักมักเป็นโรนิน โสเภณีธรรมดาที่ไม่ใช่สาวงามแบบโอยรัน นักโทษ เด็กเกเร และคนที่ไม่ยอมอยู่ในครรลองคลองธรรมอันดีงามที่สังคมกำหนดไว้ หลังจากระบบการปกครองของญี่ปุ่นถูกรื้อใหม่หมด ช่วงปี ค.ศ. 1750 ญี่ปุ่นยกเลิกการปิดประเทศอย่างถาวร ปฏิรูปสังคมและชนชั้น ซามูไรถูกลดอำนาจ มีบันทึกระบุว่าชายหนุ่มจำนวนมากนิยมสักกันมากขึ้น ร้านสักกลายเป็นสถานที่ที่ใคร ๆ ก็สามารถเดินเข้าไปได้ แถมยังขยันออกลวดลายเท่ ๆ มาแข่งกันเพื่อเรียกลูกค้าอีกต่างหาก ผู้คนเริ่มมีมุมมองเกี่ยวกับคนมีรอยสักเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ทุกอย่างก็ต้องจบลงอีกครั้งเมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่า ‘หากประชาชนคนใดนิยมรอยสักจะต้องรับโทษ’ หรือกฎปี 2001 ระบุว่า
เราอาจรับรู้เรื่องราวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กันบ่อย บางครั้งฟังจากปากของทหารนาซี บางทีดูหนังที่เล่าจากฝั่งของสัมพันธมิตร และสัมผัสความเศร้าผ่านหนังสือของชาวยิวที่อยู่ในค่ายกักกัน UNLOCKMEN ได้พบเจอเรื่องราวอีกบทหนึ่งที่น่าสนใจ เรื่องราวของคนที่ถูกนาซีจับขังคุกด้วยข้อหาแปลก ๆ อย่างการเป็นเกย์ ที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล อัลเบรทช์ เบกเกอร์ (Albrecht Becker) คือชายสูงวัยเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเอาชีวิตรอดจากความตายเพื่อมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในปี 1935 เขามีอาชีพเป็นช่างภาพที่ถูกนาซีสั่งจำคุกด้วยข้อหาเป็นเกย์ เพราะยุคที่เต็มไปด้วยสงคราม ความขัดแย้ง การเหยียดหยาม คนรักเพศกำเนิดเดียวกันไม่ว่าหญิงหรือชายจะถูกเรียกว่า “เกย์” ถ้าคุณเป็นเกย์ช่วงปี 1935 และอาศัยอยู่ในประเทศเยอรมนี คุณจะกลายเป็นอาชญากรที่อาจถูกลงโทษถึงตาย แต่เดิมการเป็นเกย์ไม่ได้เป็นปัญหาชีวิตของเขา จนประเทศถูกปกครองด้วยระบอบนาซีและเข้าสู่สงครามก็เริ่มมีข้อบังคับแปลก ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น ‘วรรคที่ 175 ระบุว่า การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันถือเป็นสิ่งต้องห้าม’ แต่ตราบใดที่เขาไม่ได้ออกไปป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นเกย์ก็จะไม่มีใครล่วงรู้รสนิยมของเขา มีความสุขอยู่กับคนรักในเมือง Wurzburg ที่ห่างไกล “นาซีไม่สนใจผม และการเมืองของพวกเขาก็ไม่แลผมเช่นกัน” – Albrecht Becker อย่างไรก็ตาม ชีวิตแสนสงบสุขของอัลเบรทช์กับคนรักต้องสิ้นสุดลงด้วยเวลาอันสั้น ภัยร้ายเริ่มคืบคลานเข้ามาเป็นผลจากเหตุการณ์ในเดือนกรกฎาคมปี 1934 เออร์เนส กึนเทอร์ เริห์ม (Ernst Gunther Roam)
เราทุกคนย่อมมีงานอดิเรกและของสะสมต่างกันไปตามรสนิยม เช่น สะสมโมเดลรถของเล่น โมเดลหุ่นยนต์ สะสมรองเท้า หรือตามเก็บผลงานภาพวาดราคาแพงของศิลปินชื่อดัง ครั้งนี้ UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งของสะสมที่เรียกว่าไม่ธรรมดาของชายผู้หลงใหลรอยสักบนผิวหนังมนุษย์ เขาคือ ฟุคุชิ มาซาอิชิ ศาสตราจารย์นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยาซึ่งเป็นสาขาที่ศึกษาและวินิจฉัยโรคจากการตรวจอวัยวะ เซลล์ และเนื้อเยื่อของมนุษย์จากการชันสูตร แถมเขายังเป็นประธานสมาคมพยาธิวิทยาของญี่ปุ่นและอาจารย์หมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งมหาวิทยาลัยแพทย์นิปปอน (Nippon Medical School) ที่ดูแล้วไม่น่าจะกลายมาเป็นชายสะสมของสุดแปลกได้ ความชอบสะสมรอยสักเนื้อมนุษย์ของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1907 เป็นช่วงเวลาที่หมอมาซาอิชิกำลังสนใจรักษากามโรคพร้อมทำวิจัยเรื่องการเติบโตของไฝบนผิวหนังและพบสมมุติฐานน่าสนใจว่าน้ำหมึกที่ใช้สักอาจทำลายเชื้อซิฟิลิสได้ เพราะแผลจากซิฟิลิสจะไม่เกิดขึ้นตรงบริเวณผิวหนังที่เพิ่งสัก หลังจากข้อสันนิษฐานนั้นทำให้หมอมาซาอิชิทุ่มความตั้งใจทั้งหมดเพื่อศึกษาเกี่ยวกับเม็ดสีของผิวและการขยายตัวของไฝจากคนที่มีรอยสัก ต่อมาปี 1926 เขาเริ่มศึกษาผิวหนังจากทั้งคนเป็นและคนตาย พร้อมกับค้นหาวิธีเก็บผิวหนังจากศพที่มีรอยสักไปพร้อมกัน การทำงานวิจัยแต่ละครั้งจะต้องใช้ผิวหนังที่มีรอยสักจำนวนมาก คำถามที่ตามมาคือหมอมาซาอิชิจะไปหารอยสักมากมายขนาดนั้นมาจากไหน คำตอบที่เขาได้คือกลุ่มยากูซ่าที่มีรอยสักและวิธีการสักแตกต่างจากคนทั่วไป เพราะการสักสีทั่วทั้งตัวแบบ Irezumi จะต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากจึงมีแค่ยากูซ่าเท่านั้นที่นิยมสักทั่วทั้งตัว หลากหลายเหตุผลที่ทำให้ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ได้พบกับแก๊งยากูซ่า สิ่งหนึ่งเกิดจากมุมมองแง่ลบของคนทั่วไปที่มองว่าคนสักมักจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย เพราะในสมัยเอโดะรอยสักคือสัญลักษณ์ของนักโทษเพื่อแยกผู้มีความผิดออกจากคนทั่วไป เมื่อวันเวลาผ่านไปเหล่ายากูซ่าก็นิยมสักกันทั่วตัวยิ่งทำให้คนญี่ปุ่นมองว่าคนสักคือคนไม่ดี แต่สำหรับหมอมาซาอิชิคนเหล่านี้คือคนที่เขาต้องการพบเป็นอย่างมาก เมื่อหมอมาซาอิชิรู้จักและคลุกคลีอยู่กับเหล่ายากูซ่าจำนวนมากและเห็นรอยสักลวดลายแตกต่างกันที่ทั้งมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะ รวมถึงบอกเล่าเรื่องราวไว้มากมาย ความเหมาะเจาะก็คือยากูซ่าส่วนใหญ่ที่มารับการรักษาจากหมอมาซาอิชิเป็นนักเลงปลายแถว เวลาไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นก็มักจะเจอสายตาดูแคลนอยู่เสมอ แต่หมอมาซาอิชิพอใจที่จะรักษายากูซ่า แถมบางคนมาหาเขาพร้อมกับรอยสักที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งรอยสักครึ่ง ๆ กลาง ๆ นี้เองได้จุดประกายความคิดบางอย่างให้กับเขา หลังจากที่เขารู้จักกับเหล่ายากูซ่าที่ไม่มีเงินมากพอจะทำให้รอยสักสมบูรณ์ หมอมาซาอิชิยื่นข้อเสนอว่าจะรักษาโรคให้และเก็บเงินแค่ครึ่งราคา หรือถ้าเป็นอะไรเล็กน้อยจะไม่คิดเงิน โดยคนที่มีรอยสักครึ่ง ๆ
ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง “Constantine คนพิฆาตผี” คงต้องยอมให้กับความเท่ระเบิดระเบ้อของ Keanu Reeves ที่เจิดจรัสออกมาตลอดทั้งเรื่อง จนกลบเสียงวิจารณ์เนื้อหาที่ฉีกไปจากคอมมิกอย่างไม่มีชิ้นดี นอกจากความเท่ที่มันเตะตาคนดูอย่างเราแล้ว หลายคนคงจำรอยสักปริศนาที่แขนของ John Constantine ตัวเอกของเรื่องกันได้ดี โดยเฉพาะฉากยกแขนมาแนบกันเพื่อปราบเจ้าเด็กแสบ รอยสักนั้นไม่ได้ถูกดีไซน์ขึ้นมาใหม่ ให้มันเท่เข้ากับคาแรกเตอร์เฉย ๆ อย่างตัวละครในเรื่องอื่น แต่มันเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายและมีมานานอีกแล้วอีกต่างหาก UNLOCKMEN จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสัญลักษณ์นั้น ที่กลายมาเป็นรอยสักแสนสะดุดตาบนแขนของเขากัน ทำความรู้จักเรื่อง Constantine ก่อนจะไปทำความรู้จักกับสัญลักษณ์นั้น ลองมาทบทวนเนื้อเรื่อง “Constantine คนพิฆาตผี” กันหน่อย เผื่อมีบางคนที่ดูนานแล้วจนลืมเลือนเนื้อเรื่องไป หรือบางคนที่อาจจะยังไม่เคยดูเรื่องนี้มาก่อน ความเท่ของการปราบผีระดับตำนาน เรื่องราวของ John Constantine (Keanu Reeves) เขาไม่ได้เป็นนักบุญ แต่เขาคือผู้ที่เคยผ่านความตาย และมีพรสวรรค์ในการเห็นสิ่งใด ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ เขาใช้ชีวิตเพื่อกำจัดพวกเกเรกลับนรกไม่ให้เหลือซาก จนเขาได้ไปเจอกับตำรวจสาวที่ขอร้องให้เขาช่วยสืบเกี่ยวกับคดีการฆ่าตัวตายของน้องสาวฝาแฝดของเธอ แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น เมื่อความตายของสาวคนนั้นเป็นเพียงปมเล็ก ๆ ของเรื่องราวอันยุ่งเหยิงระหว่างปีศาจ ลูกตัวแสบของลูซิเฟอร์ที่อยากจะขึ้นมาป่วนโลกนี้แบบเต็มที ใครที่ชื่นชอบปีศาจแบบตามศาสนา ไม่ใช่ผีแบบ Ghost ล่ะก็ แนะนำเรื่องนี้เป็นอันดับต้น ๆ เพราะเรื่องนี้จะเต็มไปด้วย ปีศาจ ศาสนา
‘รอยสัก’ คือหนึ่งในวัฒนธรรมทางสังคมที่ผู้คนมีความเห็นขัดแย้งกันที่สุด บ้างก็ว่ามันสวยงาม บ้างก็ว่ามันมีเสน่ห์ บ้างก็ว่ามันดูเซ็กซี่ แต่บ้างก็ว่ามันดูสกปรกน่ารังเกียจ อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่ารอยสักคือวัฒนธรรมเก่าแก่ของโลก ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่ารอยสักเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อกว่า 12,000 ปีก่อน แม้จะเดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ เมื่อรอยสักฝังลงไปในผิวหนัง มันจะติดตัวไปชั่วชีวิต ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ แต่อย่างที่เรารู้กันดี รอยสักที่อยู่บนร่างกายคือตัวแทนของอารมณ์ ความรู้สึก หรือเจตนารมณ์ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ซึ่งสิ่งพวกนี้ไม่จีรังยั่งยืน สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามประสบการณ์ชีวิตที่ได้รับ แต่รอยสักที่ลงหมึกไปแล้วนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จะลบทิ้งก็ทั้งเจ็บตัวทั้งเสียเงินมหาศาล หลายคนจึงเลือกที่จะทนอยู่กับรอยสักที่ไม่รู้สึกชอบอีกแล้วไปตลอดชีวิต แต่ตอนนี้ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนไป… Carson Bruns ผู้อำนวยการห้องทดลองวัสดุ CU’s Emergent Nanomaterials Lab มีความตั้งใจแรงกล้าที่จะปฎิวัติประวัติศาสตร์แห่งรอยสัก 12,000 ปี เขาริเริ่มโปรเจ็กต์ที่กล้าหาญ เนื่องจากสิ่งที่ต้องเจอคือการโจมตีจากผู้รักรอยสักสายอนุรักษ์นิยมที่บอกว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำนั้นทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของรอยสัก “ผมหลงใหลในรอยสัก มันคือแขนงหนึ่งของศิลปะที่ผมชื่นชอบ มันสะท้อนอัตลักษณ์ของแต่ละบุคคลออกมาได้อย่างชัดเจน และคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้หลังจากตัดสินใจไปแล้ว” Bruns กล่าว “แต่ผมตระหนักได้ว่ากลับไม่มีใครสนใจศึกษาเรื่องรอยสักในแง่มุมวิชาการอย่างจริงจังเลย” ถึงแม้ Carson Bruns จะเป็นผู้ชายสายวิทยาศาสตร์ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญเรื่องการใช้สสารและกฎควอนตัม แต่เขากลับสักเต็มตัว ไว้ผมยาว นั่นน่าจะเป็นสิ่งบ่งบอกได้ดีว่าผู้ชายคนนี้หลงใหลในรอยสักขนาดไหน “หมึกสักเป็นเพียงอนุภาคเม็ดสีในของเหลว และสิ่งที่มันทำคือดูดซับความถี่ของแสงและเปลี่ยนสีผิวของคุณ” Bruns อธิบาย “หมึกของเราก็เป็นเช่นนั้น แต่แทนที่จะใช้อนุภาคเม็ดสีรูปแบบเดิม เราเปลี่ยนเป็นใช้อนุภาคเม็ดสีจากเปลือกพลาสติกกลวงเหล่านี้” อนุภาคเหล่านั้นสามารถเติมเต็มด้วยของเหลวชนิดใดก็ได้ที่ Bruns ต้องการ