นอกเหนือจากอาการลุ้นเรื่องราวที่ยังค้างคา รอให้ติดตามบทสรุปใน Stranger Things SS4 Vol.2 ซึ่งกำลังจะลงสตรีมมิ่งในวันที่ 1 กรกฎาคม นี้ เราเชื่อว่าสาวก Stranger Things หลายท่าน คงกำลังอินกับแฟชั่นยุค 80s จากพร็อพและคอสตูมต่าง ๆ ของเหล่าตัวละครในซีรีส์ ที่ทีมงานทำการบ้านมาอย่างดี หาไอเทมมากมายมาให้แต่ละคาแรกเตอร์สวมใส่กันแบบตรงยุค และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในไอเทมที่โดดเด้งสะดุดตาออกมาคือนาฬิกาสวย ๆ หลากรุ่นหลายแบรนด์ ที่บอกไปเป็นต้องรู้อายุ เพราะเพียงแค่เห็นโผล่มาในจอแค่ไม่กี่วิ เป็นต้องอุทานด้วยภาษากึ่งไม่ทางการว่า “เชี่ยย นี่มันรุ่นที่เคยอยากได้” หรือ “เฮ้ย เรือนนี้เราเคยมีใส่ไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนนี่นา” งานนี้ใครที่รู้สึกว่านาฬิกาของเหล่าตัวละครใน Stranger Things นั้นมันทัชใจ แต่จำได้แค่คลับคล้ายคลับคลา ไม่ได้รู้ลึกถึงขนาดว่ามันชื่อรุ่นอะไร บอกเลยว่าไม่ต้องไปเหนื่อยค้นหาให้ตาแตก เพราะเราได้รวบรวมลายแทงชื่อรุ่นเด่นจากตัวละครดังเกือบทุกคาแรคเตอร์เท่าที่เราสามารถหาได้ มาให้ชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายนำชื่อรุ่นลากเข้า Google เพื่อสะกดรอยไปตามสอยกลับมาครอบครองให้หายคิดถึง ข่าวดีคือมีหลายเรือนที่วางขายมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยได้กลายเป็นงานวินเทจเข้าขั้น Rare Item ที่อาจต้องใช้กำลังกาย บวกกำลังใจ เสริมด้วยกำลังภายในกระเป๋าตังค์ในการตามล่าของดีมาประดับข้อมือ เอาเป็นว่าก่อนจะเวิ่นเว้อไปมากกว่านี้ เชิญไปดูกันเลยดีกว่าว่าตัวละครไหนใส่นาฬิกาอะไรเข้าฉากกันบ้าง เอ้า…
ในปี 2564 ที่ผ่านมา มอริส ลาครัวซ์ ได้รับกระแสตอบรับจากกลุ่มลูกค้าในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งจุดเริ่มต้นของความสำเร็จกับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามนั้น เริ่มจุดประกายมาจากคอลเล็กชั่น Aikon รุ่น Limited Edition อย่าง Aikon Urban Tribe ที่เข้ามาไทยเพียง 24 เรือนเท่านั้น และได้ถูกจับจองหมดภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์ ถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่สำหรับแบรนด์เลยทีเดียว จนทำให้ทางแบรนด์ตัดสินใจที่จะจัดงานเลี้ยง เพื่อส่งมอบนาฬิกา ซึ่งเป็นการขอบคุณลูกค้าที่ได้พรีออเดอร์กันเข้ามาล่วงหน้า ที่ห้องอาหารรีเดล เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยภายในงานนั้นทางผู้บริหารของแบรนด์ คือ คุณ Marcel Gut (คุณมาแซล กู้ด) Global Sales Director of Maurice Lacroix เป็นผู้เดินทางมาส่งมอบนาฬิการุ่น Aikon Urban Tribe ให้ถึงมือลูกค้าไทยด้วยตัวเอง นอกจากนี้แล้วการกำเนิดขึ้นของ Maurice Lacroix Club Thailand ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ แบรนด์เติบโตได้อย่างชนิดเรียกว่าก้าวกระโดด และอยู่ในกระแสนิยมของวงการนาฬิกาในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว ซึ่ง Maurice Lacroix
ปัจจุบันนาฬิกาได้ก้าวข้ามมาสู่ในยุค Smartwatch กันอย่างเต็มตัวเพื่อตอบโจทย์ Lifestyle ที่ต้องการความรวดเร็วและความสะดวกสบายเป็นหลัก อีกทั้งยังมอบความบันเทิงด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ มากมาย แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในความคลาสสิคแบบอนาล็อก แต่สำหรับใครที่มอบใจให้ทั้งแบบดิจิตัลและอนาล็อกหรือเรียกง่าย ๆ ว่าไฮบริด แถมยังชอบดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นพิเศษ ลองมาทำความรู้จักกับ Garmin Vivomove Sport กันครับ รูปลักษณ์ภายนอกของ Garmin ถูกดีไซน์มาเพื่อให้เข้ากับทุกลุคทุกสไตล์ ภายใต้คอนเซปต์ “More Than Stylish, It’s Traditional Watch” รูปลักษณ์ดูเรียบ ภูมิฐาน ให้ความรู้สึกเท่แบบสุขุม มีความสปอร์ตตรงกับชื่อรุ่นทุกตารางนิ้ว มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ ดำ, ขาว, น้ำตาล และเขียวอ่อน มาพร้อมกับตัวเรือนทรงกลมขนาด 40 มม. และเมื่อเรามองผ่านเรือนกระจกเข้าไปจะพบกับเข็มนาฬิกา 2 เข็มที่ทำหน้าที่บอกชั่วโมงและนาที ส่วนตัวเลขกำกับเวลาจะมีเพียงเลขคู่เท่านั้นพร้อมกับชื่อของ Garmin ที่เด่นสง่ากลางตัวเรือน มาถึงตรงนี้มันก็ดูไม่ต่างจากนาฬิกาอนาล็อกที่เราคุ้นเคยทั่วไป แต่อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่สายตาเห็น คุณต้องลองใช้ปลายนิ้วของคุณสัมผัสลงไปบริเวณกระจกเบา ๆ เพียง 2
เชื่อว่าบรรดาผู้หลงใหลในมนต์เสน่ห์แห่งเรือนเวลา คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของแบรนด์ Longines (ลองจินส์) อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของนวัตกรรมเวลาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ยืนหยัดมายาวนานเกือบ 190 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ริเริ่มผลิตนาฬิกาในปี 1832 ที่เมือง Saint-Imier ก่อนที่จะใช้ชื่อ Longines ซึ่งเป็นการนำเอาชื่อบริเวณที่ตั้งโรงงานมาใช้เป็นชื่อแบรนด์อย่างเป็นทางการ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ชื่อของ Longines และโลโก้นาฬิกาทรายติดปีกได้กลายเป็นที่รู้จักและจดจำของผู้คนทั่วโลก กับเรื่องราวของประสิทธิภาพการบอกเวลาที่แม่นยำ, ความแข็งแรงทนทาน รวมไปถึงเทคโนโลยีแบบฉบับดั้งเดิมที่ทำให้ Longines ได้เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของนักบุกเบิกและเหล่าผู้กล้าจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Amelia Earhart, Elinor Smith, Paul-Emile Victor และ Howard Hughes ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ต่างมอบความไว้วางใจให้เรือนเวลาของแบรนด์นาฬิกาทรายติดปีกนี้เป็นเพื่อนคู่ใจเคียงข้างตลอดการผจญภัยอันเหลือเชื่อมากมาย ทั้งการบุกป่าฝ่าดงผ่านสภาพอากาศอันสุดเหวี่ยง, ล่องเรือท่ามกลางความเหี้ยมโหดของมหาสมุทร อีกทั้ง Longines ยังมีบทบาทในการเปิดเส้นทางเดินอากาศใหม่ ๆ รวมถึงการบันทึกสถิติการเดินทางอากาศอีกด้วย นอกจากนี้ Longines ยังได้ทำการถ่ายทอดจิตวิญญาณของนักบุกเบิก และเรื่องราวอันมหัศจรรย์จากโลกแห่งการบิน ผ่านเรือนเวลาคอลเลกชั่น Longines Spirit ซึ่งหลายคนคงมีโอกาสสัมผัสความงามที่เต็มไปด้วยเรื่องราวซึ่งเปรียบเสมือนการสดุดีแด่สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษผู้หาญกล้าแห่งประวัติศาสตร์กันมาแล้ว และล่าสุดคอลเลกชั่น Longines Spirit ยังได้ก้าวไปอีกขั้นกับ Longines Spirit Titanium ซึ่งยังคงได้แรงบันดาลใจมาจากโลกแห่งการบินอันเป็นจุดกำเนิดของคอลเลกชั่น พร้อมทะยานสู่ยุคแห่งนวัตกรรมใหม่ด้วยเรือนเวลาที่ผลิตจากไทเทเนียมซึ่งเรากำลังจะพาชาว
เชื่อว่าผู้หลงใหลในเรือนเวลาทั้งหลาย น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก ‘Captain Cook’ อีกหนึ่งซีรีส์ระดับ Masterpiece ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ RADO มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1962 ซึ่งล่าสุดความคลาสสิกจากอดีต และความล้ำสมัยด้านนวัตกรรมวัสดุ รวมถึงกลไกบอกเวลาคุณภาพสูง ได้ถูกนำมากล่าวขานเป็นตำนานบทใหม่กับเรือนเวลาสุดพิเศษอย่าง RADO Captain Cook High-Tech Ceramic ที่รวบรวมทุกความเจ๋งของ RADO เข้าไว้ด้วยกัน เริ่มตั้งแต่นวัตกรรมซึ่งถือเป็น DNA ของผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุอย่าง RADO กับโครงสร้างตัวเรือนที่ใช้วัสดุ High-Tech Ceramic ชิ้นเดียวที่มีคุณสมบัติป้องกันรอยขีดข่วนและอาการแพ้ อีกทั้งขับเคลื่อนโดยกลไกออโตเมติก Cal.R734 ความถี่การทำงาน 21,600 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงานได้สูงสุด 80 ชั่วโมง ปกป้องการรบกวนของสนามแม่เหล็กรอบตัวด้วยแฮร์สปริง Nivachron™ พร้อมถ่ายทอดความสวยงามของจักรกลให้ผู้สวมใส่ได้ยลโฉมเป็นสุนทรียภาพทางสายตา ด้วยหน้าปัด Skeleton และฝาหลังไทเทเนียมกรุแผ่นกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ เผยให้เห็นการทำงานของกลไกภายในอย่างชัดเจน นอกจากนี้เรื่องราวการเดินทางแห่งท้องทะเล ที่ถูกนำเสนอผ่านรูปแบบของ Diver Watch มาอย่างยาวนาน ยังได้ถูกตีความใหม่ใน RADO Captain Cook High-Tech
ผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาส่วนใหญ่มักจะมองหานาฬิกาที่มีความพิเศษมาเพิ่มเติมใน Collection ตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นที่ทำขึ้นเป็นที่ระลึกในเหตุการณ์สำคัญ ๆ รุ่นที่มีการ Collaboration หรือเป็นรุ่น Limited Edition ซึ่งมีจำนวนจำกัด นั่นก็เพราะนาฬิกาเหล่านี้มีความพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว คุณค่าทางจิตใจ ความหายาก รวมถึงแนวโน้มมูลค่าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ยกตัวอย่างแบรนด์นาฬิกาชั้นนำของโลกอย่าง ‘Seiko’ ถ้าหากใครติดตามจะรู้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ‘Seiko’ ถือเป็นแบรนด์นาฬิกที่มีรุ่นยอดนิยม รวมไปถึง Collection เจ๋ง ๆ ออกมาให้นักสะสมได้จับจองเป็นเจ้าของกันอยู่ตลอด และใน Collection ล่าสุด พิเศษยิ่งกว่ากับ ‘Seiko x Alex Face’ นาฬิกาที่ได้ศิลปินกราฟฟิตี้ผลงานระดับโลกของไทย มาเป็นผู้ออกแบบ Collection นาฬิกาสุดพิเศษนี้ด้วยตัวเอง ถ้าพูดถึงชื่อ ‘Alex Face’ ทุกคนจะต้องนึกถึงภาพผลงานเด็ก 3 ตา ซึ่งเป็น Signature ของเขามาพอสมควร แต่วันนี้เราจะพาทุกคนไปเจาะลึกเกี่ยวกับตัวศิลปิน Street Art คนนี้ ย้อนกลับไปถึงจุดเร่ิมต้น และเส้นทางความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาของคาแรคเตอร์ที่ปรากฎตัวมาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ‘Alex Face’
หากให้หยิบยกเอาเรื่องของนาฬิกาดำน้ำรุ่นเด่นจาก SEIKO มาพูดคุยกัน เชื่อเหลือเกินว่าบรรดาสาวกทั้งหลายคงใช้สมญานามหรือชื่อเล่นแทนตัวของแต่ละรุ่น ไม่ว่าจะเป็น เต่า, มอนสเตอร์, ซูโม่, ซามูไร ไปจนถึงระดับจอมทัพอย่าง ‘โชกุน (Shogun)’ มาสนทนากันอย่างออกรส ชนิดที่ว่าคนวงนอกฟังแล้วอาจมีอาการงง พาลฟันธงไปว่ากำลังคุยเรื่องมังงะกันอยู่เป็นแน่แท้ ซึ่งต้องบอกว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้คุยกันเรื่องการ์ตูน หรือหนังแฟนตาซีอะไรอย่างที่เข้าใจกัน แต่ต้องอธิบายว่าชื่อเล่นมากมายที่ถูกใช้ในการขนานนามนาฬิกาเรือนโปรด นั้นถูกนำมาจากจุดเด่นของรูปลักษณ์งานดีไซน์ในแต่ละรุ่น ยกตัวอย่างเช่น SEIKO โชกุน คือชื่อเล่นที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับ SEIKO PROSPEX รุ่น SBDC007 ที่โดดเด่นด้วยภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งของโลหะที่ใช้ ซึ่งก็คือวัสดุไทเทเนียมที่มีน้ำหนักเบาและมีความทนทานสูง เปรียบได้กับชุดเกราะที่โชกุน หรือเจ้าของตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในสมัยก่อนสวมใส่ในยามออกรบ และไม่ใช่เพียงแค่วัสดุที่ทำให้ได้มาซึ่งสมญานามโชกุน แต่งานดีไซน์ในส่วนต่าง ๆ ยังสะท้อนจิตวิญญาณชุดเกราะของจอมทัพออกมาอย่างได้ชัดเจน ทั้งในส่วนของ Pointed Markers บนขอบหน้าปัดที่ดูแข็งแกร่ง และ Triangular Notches ที่ออกแบบเพื่อให้หมุนขอบตัวเรือนได้อย่างกระชับ มั่นคง แม่นยำ ตอกย้ำให้ผู้ที่ได้สวมใส่นาฬิกาเรือนนี้รู้สึกได้ว่าความแกร่ง ผสานกับความประณีต รวมถึงน้ำหนักที่เบาของวัสดุไทเทเนียม นั้นควรค่าที่จะเป็นชุดเกราะคู่ใจของโชกุนผู้เกรียงไกร จนกลายเป็นที่มาของชื่อ ‘โชกุน’ นาฬิกาดำน้ำที่เบาที่สุดจาก SEIKO ที่หลายคนยกให้เป็นตำนาน โดยเหตุผลที่ได้กลายเป็นตำนานนั้น
‘ความคล่องตัว’ คือสิ่งที่ผู้ชายทุกคนล้วนตามหา โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง เส้นแบ่งเวลาทํางาน เวลาพักผ่อน และเวลาออกไปทํากิจกรรมสุดเหวี่ยงนั้นไม่เคยตายตัว การมีนาฬิกาที่ตอบโจทย์เรื่องดีไซน์ พร้อมฟังก์ชันการใช้งานทรงคุณภาพ และที่สำคัญคือต้องใช้งานได้จริง ถือเป็นหัวใจสําคัญสำหรับผู้ชาย Work Hard Play Hard อย่างเรา ๆ อย่างไรก็ตาม นาฬิกาที่ตอบโจทย์ฟังก์ชันลุย ๆ หรือเสริมความคล่องตัว อาจจะมีดีไซน์ไม่ค่อยจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องไปทํางาน หรือไม่สามารถแมทช์กับการแต่งตัวของ Urban men ได้เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาฬิกาที่ผู้ชายต้องสวมใส่ติดตัวทุกวัน เรื่องฟังก์ชันต้องตอบโจทย์การใช้งานสูงสุด แต่ดีไซน์ก็ต้องเติมเต็มสไตล์ของ Urban Men จึงไม่ได้เจอที่ถูกใจกันง่าย ๆ แต่สำหรับ Tissot Seastar 1000 นี่คือนาฬิกาคุณภาพ Swiss ในราคาที่ครอบครองได้ง่าย และพร้อมใช้งานบนข้อมือของเราได้ในทุกสถานการณ์ทั้งในเมืองหรือในทะเล Tissot Seastar 1000 เรือนเวลาที่มีสุดยอดนวัตกรรมของนาฬิกาสปอร์ตในตัว ควบคู่กับดีไซน์โมเดิร์นร่วมสมัย สวมใส่ได้ทั้งในเมือง และพร้อมเติมเต็มความหลงใหลและกิจกรรมลุย ๆ ของผู้ชายได้ โดยเฉพาะผู้ชายที่หลงใหลการท่องเที่ยวทะเลหรือกีฬาทางนํ้า ชื่นชอบการเติมสีสันให้ชีวิตด้วยการโต้คลื่น เล่นเจทสกี ฟลายบอร์ด เวคบอร์ด เซิร์ฟ
บรรดาแฟนหนัง และเหล่าผู้หลงใหลในเรือนเวลา คงรู้กันดีว่านาฬิกา Hamilton เป็นแบรนด์โปรดของเหล่าผู้สร้างภาพยนตร์มานานหลายทศวรรษ ได้รับบทบาทสำคัญในภาพยนตร์มาหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาที่ออกแบบสำหรับ 2001: A Space Odyssey ในปี 1968 ซึ่งเป็นภาพยนตร์ระดับขึ้นหิ้งของผู้กำกับ Stanley Kubrick และยังเป็นผลงานที่สร้างแรงบันดาลใจให้มีการประดิษฐ์นาฬิกาดิจิทัลเรือนแรกของโลกขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเรือนที่เรียกได้ว่าเป็นอีกชิ้นงาน Masterpiece ที่ Hamilton ได้รังสรรค์ให้กับวงการภาพยนตร์ กับ The Murph Watch จาก Interstellar ของผู้กำกับ Christopher Nolan ที่ได้กลายมาเป็นนาฬิกาข้อมือยอดนิยมของแฟนหนังเรื่องนี้ ที่ยังคงตราตรึงกับเรื่องราวความรักความผูกพันของพ่อลูกในภาพยนตร์ที่ถูกเชื่อมโยงเอาไว้ด้วย The Murph Watch จาก Hamilton จากวันนั้นถึงวันนี้ ความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ระหว่าง Hamilton และ Hollywood ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง กับการรวมเอายอดทีมนักออกแบบและวิศวกรจาก Hamilton และ ทีม Production Design ระดับหัวกะทิผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่อง TENET มาสร้างสรรค์เรือนเวลารุ่นพิเศษสำหรับใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดของโคตรผู้กำกับอย่าง Christopher
“ความสง่างาม” คือคุณสมบัติที่ผู้ชายหลายคนใฝ่หา เพราะความสง่างามคือส่วนผสมอันลงตัวจากทั้งภายในและภายนอก การเป็นผู้ชายสง่างามจึงต้องมีองค์ประกอบสารพัดที่แสดงถึงความเนี้ยบ ความเรียบหรู และความมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Attitude ที่เต็มไปด้วยความพิถีพิถันเพื่อเฟ้นหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองและผู้อื่น เพราะ ELEGANCE IS AN ATTITUDE การสง่างามจากทัศนคติที่พิถีพิถัน จึงนำมาสู่ภายนอกที่เนี้ยบตามไปด้วย ถ้าจะให้พูดถึงความสง่างามที่ทั้งเรียบหรู น่าเกรงขาม ผู้ชายอย่างเราคงนึกถึงความสง่างามในแบบ “จอมราชันย์” เนื่องจากเต็มไปด้วยภาพลักษณ์แสนสง่าฟันฝ่าทุกอุปสรรคอันตราย พร้อม ๆ กับความน่าเคารพยำเกรง ควบคู่กับ Attitude แน่แน่วในแบบที่ผูชายล้วนอยากครอบครองความสง่างามแบบนี้ได้สักครั้งในชีวิต อย่างไรก็ตามความสง่างามแบบจอมราชันย์นั้น เมื่อมาโลดแล่นอยู่บนภาพยนตร์หรือซีรีส์สักเรื่องแล้ว การสรรสร้างให้ตัวละครที่รับบทกษัตริย์นั้นสง่างาม เนี้ยบได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ หลายครั้งผู้ชมรับรู้ว่าคนนี้รับบทกษัตริย์แต่กลับไม่อาจสัมผัสถึงความสง่างามจากตัวละครนั้น แต่ “The King: Eternal Monarch จอมราชันบัลลังก์อมตะ” ซีรีส์เกาหลีที่กำลังฉายทาง Netflix และใคร ๆ ก็พูดถึงอยู่ตอนนี้ กลับทำได้อย่างไร้ที่ติ โดย Lee Min Ho ผู้รับบทกษัตริย์อีกนผู้ต้องเดินทางข้ามเวลามาในโลกยุคปัจจุบัน เพื่อพิชิตภารกิจสุดท้าทายนั้นเป็นตัวแทนความสง่างามไร้กาลเวลาได้อย่างน่าทึ่ง กษัตริย์อีกนแห่ง The King: Eternal