Luminox แบรนด์นาฬิกาสัญชาติอเมริกันเตรียมฉลองครบรอบ 20 ปี ด้วยการเปิดตัวนาฬิกาสไตล์ทหาร ‘Luminox Navy Seals 3501 Gold Set’ ที่ผ่านการปรับปรุงทั้งรูปลักษณ์ ความทนทาน ตลอดจนประโยชน์การใช้สอยตามมาตรฐานของ Navy SEALs เพื่อให้พวกเขาสามารถสวมใส่ขณะทำภารกิจแสนอันตรายได้ Luminox Navy Seals 3501 Gold Set เรือนนี้ไม่เพียงผ่านการรับรองจากกองทัพเรือและอนุญาตให้หน่วย SEAL สวมใส่ขณะประจำการได้ หากยังโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีส่องสว่างในที่มืด หรือ Night Vision Tubes อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Luminox ที่มีศักยภาพเหนือกว่าระบบพรายน้ำจากแบรนด์นาฬิกาทั่วไป เพราะสามารถส่องสว่างได้นานถึง 25 ปี การดีไซน์บอดี้ของนาฬิกาใช้สีดำเป็นหลัก เข็มนาฬิกา โลโก้ด้านหลัง เม็ดมะยม และหน้าปัดบางส่วนดีไซน์ด้วยสีทองคำที่ตัดกันกับสีดำได้เป็นอย่างดี กลไกการเดินเข็มยังใช้เป็นระบบควอตซ์ที่เชื่อถือได้ แถมยังเพิ่มช่องบอกวันที่มาตรงตำแหน่งที่ 3 ของหน้าปัด ฝาครอบหน้าปัดออกแบบให้หมุนได้แบบทิศทางเดียวและมีวงกลมสีทองคำล้อมรอบ ตัวฝาใช้กระจกแก้วชุบแร่คริสตัลที่ทนต่อรอยขีดข่วนและการกระแทกที่ความแข็งระดับ 550-650 Vickers นาฬิกาเรือนนี้จึงสามารถกันน้ำได้ลึกถึง 200 เมตร Luminox
คงต้องยอมรับว่าปัจจุบัน ‘กล้อง’ นั้นมีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์ไม่น้อย ไม่เพียงเป็นอุปกรณ์บันทึกภาพช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ หากยังช่วยส่งต่อวัฒนธรรมหรือเรื่องราวในอดีตของคนรุ่นเก่าไปสู่คนรุ่นใหม่ผ่านรูปถ่ายได้อีกด้วย แถมความยิ่งใหญ่ของกล้องก็เป็นแรงบันดาลใจให้การดีไซน์นาฬิกาหลายรุ่น ๆ แม้แต่รุ่น Automatic Vintage Lens II ที่ขายดีที่สุดของ TACS ก็ได้อิทธิพลมาจากเลนส์ของกล้องถ่ายรูป และตอนนี้ TACS ใช้วัสดุโลหะแปลงโฉมนาฬิการุ่นวินเทจให้กลายเป็นเรือนเวลาสีเทาเข้มสุดเท่รุ่นล่าสุดของแบรนด์ ภายใต้ชื่อ ‘TACS’ AVL II Dark Metal’ TACS’ AVL II Dark Metal เรือนนี้ถูกอัปเกรดให้แข็งแกร่งและทนทานยิ่งขึ้นด้วยหน้าปัดสี่ชั้น พร้อมเคลือบป้องกันแสงสะท้อนด้วย Super-Luminova ที่เลียนแบบลักษณะของเลนส์กล้อง ทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นตัวเลข เข็ม หรือจุดต่าง ๆ บนหน้าปัดได้อย่างชัดเจน แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้าหรือตอนกลางคืนที่มีสภาพแสงน้อยก็ตาม ใต้ชั้นหน้าปัดตกแต่งด้วยลายเส้นวงกลม และครอบกระจกคริสตัลแซฟไฟร์โปร่งใส ที่ดีไซน์มาให้คล้ายกับเลนส์ฟิชอาย (Fisheye) บริเวณขอบหน้าปัดยังได้แรงบันดาลใจจากวงแหวนที่ใช้หมุนซูมและโฟกัสภาพของกล้องอีกด้วย สิ่งที่นาฬิกาเรือนนี้ต่างจากนาฬิกาวินเทจรุ่นก่อน คือใช้สายนาฬิกาสเตนเลสสตีลเกรดพรีเมียมและตกแต่งตัวบอดี้ด้วยสีเทาเข้ม ทำให้ดูลึกลับน่าค้นหา ทั้งยังทรงพลังและทนทานกว่าเดิม ด้านกลไกใช้เครื่องนาฬิการะบบควอทซ์ Citizen Miyota 82S0 ของญี่ปุ่น ช่วยให้การเดิมเข็มน่าเชื่อถือขึ้น
เราเชื่อว่าผู้ชายแทบทุกคนคงต้องมีสิ่งของสักอย่างที่รัก หวง และหลงใหลคลั่งไคล้จนแทบอยากเก็บบูชาเอาไว้บนหิ้ง แต่ถ้านั่งนับนิ้วดูดี ๆ จะรู้ว่าในบรรดาของสะสมทั้งหมด มีไม่กี่อย่างที่มอบทั้งคุณค่าและมูลค่าให้กับเราในเวลาเดียวกัน แล้ว ‘นาฬิกา’ ก็คงเป็นหนึ่งในสิ่งของไม่กี่อย่างที่ว่านั้น เพราะนอกจากจะมีมูลค่าตามราคาแล้ว นาฬิกายังมีคุณค่าพิเศษบางอย่างในสายตาของนักสะสมที่หลงรักมันเสียยิ่งกว่าอะไร ถึงจะรู้ว่าการเก็บสะสมของสักชิ้นต้องเกิดจากความหลงใหล แต่ความหลงใหลจะพาใครสักคนเดินไปได้ไกลขนาดไหนกัน? เราเลือกเก็บคำถามนี้ไว้ในหัว ก่อนจะเดินไปคุยกับ “ตุ้ย อัฐวุฒิ” ชายที่ใช้ความหลงใหลเป็นจุดเริ่มต้นของการสะสมนาฬิกา และความหลงใหลที่ว่าก็พาเขามาไกลจนถึงขั้นเก็บรวบรวมนาฬิกาหายากไว้กว่า 100 เรือน ผศ.ดร. อัฐวุฒิ ปภังกร หรือ คุณตุ้ย เป็นหนึ่งในนักสะสมนาฬิกาตัวยง ที่ควบตำแหน่งที่ปรึกษาด้านบัญชีและอาจารย์ในระดับอุดมศึกษา เขาชื่นชอบนาฬิกาตั้งแต่อายุ 16-17 ปี จากนั้นก็เริ่มฝันว่าอยากมีนาฬิกาดี ๆ ใส่สักเรือน เพราะเชื่อว่านาฬิกาบ่งบอกความเท่ สะท้อนตัวตน และช่วยเสริมบุคลิกภาพของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี คุณตุ้ยจึงเก็บสะสมนาฬิกาเรือนที่ชอบมาเรื่อย ๆ จากนั้นวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ล่วงเลยมากว่า 20 ปี แต่ความหลงใหลในนาฬิกาของเขาก็ยังหมุนวนรอบหน้าปัดอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เหมือนเข็มวินาทีที่ไม่เคยหยุดเดิน “นาฬิกาไม่ใช่แค่เครื่องบอกเวลา ผมว่ามันมีคุณค่ามากกว่านั้น” ผมคิดว่าของสะสมสำหรับผู้ชายส่วนใหญ่มีแค่สองอย่าง หนึ่งคือรถยนต์ สองคือนาฬิกา แล้วสมัยวัยรุ่นการถือเงินสดมันก็ร้อน มันร้อนมือจนเราอยากเอาไปใช้ซื้ออะไรสักอย่าง แต่ถ้าเอาไปซื้อรถก็คงยังไม่มีปัญญาและถ้าซื้อมาก็ไม่รู้จะเก็บไว้ตรงไหนไม่ให้พ่อแม่รู้ แต่นาฬิกานั้นไม่เหมือนรถ ผมสามารถซื้อนาฬิกาจำนวนมากเก็บไว้ที่บ้านได้โดยไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น
หากย้อนไปในช่วงยุค 80s หนุ่ม ๆ หลายคนคงพอจำได้ว่า ‘AKIRA’ หรือ ‘อากิระ คนไม่ใช่คน’ การ์ตูนแอ็กชันไซไฟอันโด่งดังได้เข้าฉายและกวาดรายได้ทั่วโลกไปอย่างถล่มทลาย ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของโลกอนาคตอันปั่นป่วนที่มีเด็กหนุ่มชื่อว่า ‘อาริกะ’ เป็นตัวเดินเรื่อง ในภาพยนตร์อ้างถึงเหตุการณ์ที่กรุงโตเกียวถูกทิ้งระเบิดปรมาณูในเดือนกรกฎาคมของปี 1982 ตั้งแต่นั้นไฟสงครามก็เริ่มปะทุขึ้นและสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ทำให้โตเกียวต้องล่มสลายลงในที่สุด ชาวญี่ปุ่นจึงต้องสร้างเมือง ‘Neo-Tokyo’ ขึ้นมาทดแทนเพื่อให้เป็นทั้งเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา Neo-Tokyo ได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมเฟื่องฟูภายใต้ฉากหลังของซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งร้าง อย่างไรก็ตามเมืองแห่งนี้ยังคงเอกลักษณ์ของแสงไฟหลากสีที่ส่องสว่างในยามค่ำคืน แบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Casio จึงหยิบอัตลักษณ์ของเมือง Neo-Tokyo มาถ่ายทอดลงในซีรีส์ ‘G-SHOCK Neo-Tokyo’ ที่เลือกโมเดลนาฬิกาดิจิทัลและแอนะล็อกรุ่นยอดนิยมของแบรนด์ ทั้ง GA140, GA700, GAS100 และ DW6900 มาประยุกต์ให้ดูเท่และร่วมสมัยยิ่งขึ้น การดีไซน์ของนาฬิกาแต่ละเรือนจะถูกห่อหุ้มด้วยสี jet black ตั้งแต่ตัวเรือน สายรัดเรซิ่น ไปจนถึงขอบเบเซล ทำให้ง่ายต่อการจับคู่กับเสื้อผ้าหรือมิกซ์แอนด์แมตช์กับเครื่องประดับชิ้นอื่น ๆ บริเวณหน้าปัดของนาฬิกาทั้ง 4 รุ่น จะใช้แสงไฟอิเล็กโทร-ลูมิเนสเซนต์ (Electro-luminescent) ให้ความรู้สึกคล้ายกับแสงนีออนหลากสี เพื่อสะท้อนถึงเมือง Neo-Tokyo
‘Blancpain’ (บลองแปง) คำ ๆ นี้หลายคนอาจไม่คุ้นหู แต่สำหรับกูรูนักสะสมผู้หลงใหลในเรือนเวลาต่างรู้กันดีว่า นี่คือชื่อของแบรนด์นาฬิกาเก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังคงยืนหยัดมาจนถึงปัจจุบัน สิริรวมอายุอานามคร่าว ๆ ก็ปาไปแล้วกว่า 284 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งในปีค.ศ. 1735 โดยช่างทำนาฬิกานามว่า Jehan-Jacques Blancpain ( ฌ็อง-ฌากส์ บลองแปง) ณ หมู่บ้าน วิลเลอเรต์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนแห่งนาฬิกาชั้นยอด นอกเหนือจากความเก่าเก๋ากึ้ก Blancpain ยังขึ้นชื่อในเรื่องความคลาสสิกของกลไกบอกเวลาคุณภาพสูงแบบดั้งเดิม ซึ่งถูกถ่ายทอดทักษะต่อยอดเทคนิคองก์ความรู้ในการผลิตเป็นมรดกจากอดีตสู่ปัจจุบันโดยไม่หวั่นไหวเปลี่ยนใจไปใช้เครื่อง Quartz ตามสมัยนิยม ถึงขนาดมีการประกาศศักดาด้วยความภาคภูมิใจว่า ในหน้าประวัติศาสตร์ของแบรนด์ Blancpain นั้นไม่เคยปรากฎว่ามีการผลิตนาฬิกา Quartz ออกมาแม้แต่เรือนเดียว และสิ่งที่ทำให้เรือนเวลาสายอนุรักษ์นิยมอย่าง Blancpain ผงาดขึ้นมาเป็นที่กล่าวขานในวงการนักสะสมนาฬิกาวินเทจ นอกจากผลงานการประดิษฐ์นาฬิกาประดาน้ำ Fifty Fathoms (ฟิฟตี้ ฟาธอมส์) ให้กับกองทัพเรือฝรั่งเศสเป็นผลสำเร็จในปี 1953 จนมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นหิ้งเป็นรุ่น Iconic Model ของแบรนด์มาจนบัดนี้ ก็ยังมีอีกหนึ่งรุ่นที่เรียกได้ว่าเหนือกว่าความเป็น Iconic กับตำนานที่เกือบสาบสูญอย่าง Blancpain Air
ถ้าพูดถึงนาฬิกาคู่ใจสำหรับผู้ชาย เชื่อว่าคงมีไม่กี่แบรนด์ที่ครองใจหนุ่ม ๆ หลายคนอยู่ตอนนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในไม่กี่แบรนด์นั้นต้องมี G-SHOCK อยู่อย่างแน่นอน แบรนด์นาฬิกาสุดเท่จากแดนอาทิตย์อุทัยรายนี้ได้รับความนิยมมาหลายยุคหลายสมัยจวบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะซีรีส์ CASIO ที่เรียกได้ว่าโดดเด่นทั้งดีไซน์และไม่ทิ้งจุดเด่นของแบรนด์ในด้านความแข็งแรงทนทาน เมื่อไม่นานมานี้ G-SHOCK เพิ่งเปิดตัวโมเดลรุ่นล่าสุดอย่าง ‘CASIO GA-2100’ มาพร้อมตัวเรือนบางเฉียบ น้ำหนัก 51 กรัม และความหนาเพียง 11.8 มิลลิเมตร ทำให้นาฬิกาเรือนนี้ขึ้นแท่นเรือนเวลาที่บางที่สุดของค่าย G-SHOCK ไปโดยปริยาย สำหรับผู้ชายที่หลงใหลในความเรียบง่าย คมเท่ และรูปแบบงานดีไซน์ที่ไม่หวือหวาจนเกินไป คงต้องบอกว่า CASIO GA-2100 เรือนนี้ตอบโจทย์คุณเป็นอย่างยิ่ง ด้วยตัวเรือนที่ดีไซน์มาเป็น 8 เหลี่ยมพร้อมสายเรซินแบบดั้งเดิม ทำให้นาฬิกาสะท้อนความร่วมสมัย แถมยังแฝงกลิ่นอายมินิมัลผ่าน 3 เฉดสีเรียบเท่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เสริมความแข็งแกร่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่ห่อหุ้มตัวเรือน สายเรซินคุณภาพสูง และโครงสร้างป้องกันแกนกลางระดับพรีเมียม ช่วยให้นาฬิกาเรือนนี้ทนทานต่อแรงกระแทกและมีความสามารถในการกันน้ำได้ลึกถึง 200 เมตร ภายใต้กระจกมิเนอรัลสุดแกร่งยังซ่อนจอ LED สองชั้น บรรจุไฟ Super Illuminator และ Auto Light
ย้อนไปในปี 1987 ถ้าหนุ่ม ๆ ยังพอจำกันได้ ‘Predator’ ภาพยนตร์แอ็กชันผสมนวนิยายวิทยาศาสตร์สุดสยอง ได้เข้าฉายและทำรายได้มากถึง 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยกระแสนิยมล้นหลามและความสำเร็จของหนังที่ทะลุเกินยอดจนทำให้ทีมผู้สร้างต้องปลุกปั้นภาคต่ออีก 2 ภาคตามมา นอกจากภาพจำที่มีต่ออสุรกายและเหล่านักรบพร้อมยุทโธปกรณ์ไฮเทคจากนอกโลก เราคงลืมโฉมหน้านักแสดงนำอย่างอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ไปไม่ได้เลย แล้วหากหนุ่ม ๆ สังเกตดี ๆ บนข้อมือของพระเอกหนุ่มผู้กล้าก็ถูกประดับด้วยเรือนเวลาสุดเท่ที่ยังคงเสน่ห์เหนือกาลเวลา ‘SEIKO PROSPEX SOLAR DIVER SNJ028’ นาฬิกาดำน้ำสุดคลาสสิกแห่งยุค 80s ถูกชุบชีวิตอีกครั้ง ซึ่งรุ่นใหม่นี้ดีไซน์มาให้แข็งแกร่งกว่ารุ่น ‘ARNIE’ ในปี 1982 ตัวเรือนมีขนาด 47.8 มิลลิเมตร ใช้กลไกการเคลื่อนไหวระบบควอตซ์ Seiko H851 ที่ทำให้บอกเวลาได้อย่างเที่ยงตรงและแม่นยำ แถมยังรองรับการชาร์จด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ นาฬิกาทำจากสเตนเลสสตีล ก่อนจะเคลือบด้วยชุด DLC (Diamond Like Carbon) ทำให้นาฬิกาเรือนนี้คงทนต่อการเสียดสีและเกิดรอยขีดข่วนได้ยาก ตัวเรือนดีไซน์มาเป็นสีดำด้าน ในขณะที่กรอบและไฮไลต์บนหน้าปัดเป็นสีทอง จุดเด่นคือสามารถกันน้ำได้ถึง 200 เมตร พร้อมเคลือบหน้าปัดนาฬิกาด้วย
แม้โลกจะก้าวหน้าและพัฒนาไปขนาดไหน แต่บางมุมของดาวเคราะห์สีน้ำเงินแสนสงบ ก็มีไฟสงครามกำลังปะทุขึ้นอย่างดุเดือดและดูท่าว่าคงไม่มอดดับไปโดยง่าย GARMIN แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์จึงหยิบเรื่องราวทางทหารมาผูกโยงกับการรังสรรค์เรือนเวลา จนได้ออกมาเป็น ‘GARMIN’S INSTINCT TACTICAL EDITION’ นาฬิกายุทธวิธีที่ถอดแบบความแข็งแกร่งและฟังก์ชันมาจากเหล่าทหารอเมริกัน ต้องบอกว่าแบรนด์นาฬิการายนี้ยังยึดมั่นที่จะผลิตนาฬิกาแบบสมบุกสมบันมาโดยตลอด ซึ่งรอบนี้ ‘GARMIN’S INSTINCT TACTICAL EDITION’ นำวัสดุผสมพอลิเมอร์เสริมแรงเส้นใย (fiber-reinforced polymer) มาใช้ดีไซน์ตัวบอดี้เพื่อให้นาฬิกาทนทานต่อแรงกระแทก ใช้หน้าจอขาวดำที่มีประสิทธิภาพในการกันน้ำลึกถึง 100 เมตร หรือราว 330 ฟุต แถมบริเวณหน้าปัดยังใช้กระจกแก้วมาตรฐาน MIL-STD-810 ที่นอกจากจะป้องกันรอยขีดข่วนได้เหนือชั้น ยังแสดงผลท่ามกลางแสงแดดจ้าได้อย่างสบาย ๆ ‘GARMIN’S INSTINCT TACTICAL EDITION’ มีเซนเซอร์นำทางและเข็มทิศ 3 แกนในตัว รองรับระบบดาวเทียมนำทางทั่วโลก ทั้ง GPS, Glonass และ Galileo สามารถติดตามอัตราการเต้นของหัวใจและปริมาณการเผาผลาญแคลอรี่ของคุณ พร้อมทั้งแจ้งเตือนสภาพอากาศ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และส่งสัญญาณ SOS เพื่อติดต่อฉุกเฉินกับทีมได้อีกด้วย เจ๋งขึ้นกว่าเดิมเพราะมี Jumpmaster Mode ที่ดีไซน์มาเพื่อใช้งานควบคู่กับการกระโดดร่มแบบ
ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์เก่าแก่ระดับโลกที่เหล่าบรรดาผู้หลงใหลในมนต์เสน่ห์แห่งเรือนเวลารู้จักกันดี กับแบรนด์ Longines (ลองจินส์)อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของนวัตกรรมเวลาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ยืนหยัดมายาวนานกว่า 187 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ริเริ่มผลิตนาฬิกาในปี 1832 ที่เมือง Saint-Imier ก่อนที่จะใช้ชื่อ Longines ซึ่งเป็นการนำเอาชื่อบริเวณที่ตั้งโรงงานมาใช้เป็นชื่อแบรนด์อย่างเป็นทางการ จากวันนั้นถึงวันนี้ชื่อเสียงของ Longines และโลโก้นาฬิกาทรายติดปีกกลายเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลก ในเรื่องของความเชี่ยวชาญด้านการผลิตนาฬิกาที่มีดีไซน์เรียบหรู ผสานเข้ากับเทคโนโลยีการบอกเวลาทรงประสิทธิภาพ จนได้รับเลือกให้เป็นผู้จับเวลาการแข่งขันกีฬาระดับโลกมากมาย รวมถึงเป็นพันธมิตรกับสมาพันธ์กีฬานานาชาติ ทำให้ชื่อของ Longines เป็นส่วนหนึ่งของโลกกีฬามาโดยตลอด และคุณสมบัติเด่นเหล่านั้นได้รับการถ่ายทอดมาสู่เรือนเวลาคอลเลคชัน Longines Sport ซึ่งมี Longines HydroConquest ยืนหนึ่งเป็นรุ่นยอดนิยม ด้วยรูปลักษณ์ และฟังก์ชั่นตอบโจทย์โดนใจผู้ที่หลงใหลการออกผจญภัยในกีฬาทางน้ำ แต่ขณะเดียวกันภายใต้ดีไซน์สปอร์ตนั้นก็ยังคงความเรียบหรูสง่างามอันเป็นหัวใจของแบรนด์ไว้ได้เป็นอย่างดี THE NEW HYDROCONQUEST หลังจากที่ Longines เปิดตัวนาฬิกาขอบตัวเรือนเซรามิกสีต่าง ๆ ในคอลเลกชัน HydroConquest ไปเมื่อไม่นานมานี้ ล่าสุดยังได้มีการเติมความสมบูรณ์แบบให้กับคอลเลกชัน HydroConquest อีกครั้ง ด้วยเรือนเวลาโฉมใหม่ขยี้ใจคนชอบของดำด้วย All-black ceramic version ผลิตจากเซรามิกสีดำทั้งตัวเรือน ที่ยังคงสะท้อนถึงแรงบันดาลใจจากโลกกีฬาทางน้ำ ผสมผสานเข้ากับความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีการผลิต และความเท่แบบหรู ๆ ดูมีระดับตามสไตล์ Longines เอาไว้อย่างชัดเจน สำหรับวัสดุที่ใช้นั้นขอบอกว่าไม่ใช่เซรามิกแบบไก่กา แต่ Longines HydroConquest โฉม All-black มาพร้อมตัวเรือนที่ผลิตขึ้นจาก
แทบทุกคนคงรู้ดีว่า นาฬิกา Swiss Made หรือนาฬิกาที่ผลิตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นั้นมีชื่อเสียงเรื่องคุณภาพมากมายขนาดไหน แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าธุรกิจนาฬิกาในสวิตเซอร์แลนด์นั้นเคยประสบกับฝันร้าย ที่เรียกว่าวิกฤตการณ์ Quartz crisis ที่มีจุดเริ่มต้นจากเทคโนโลยี Quartz ที่ชาวสวิสคิดค้นเอาไว้แต่ไม่ได้ใส่ใจพัฒนาต่อ เพราะยังต้องการสืบสานความคลาสสิกของเครื่องไขลานแบบดั้งเดิมเอาไว้ แต่แล้วเรื่องมันก็เกิด เมื่อทางฝั่งญี่ปุ่นได้นำเครื่อง Quartz มาสานต่อผลิตนาฬิกาข้อมือที่บางที่สุดในโลก ณ เวลานั้นออกมาเป็นผลสำเร็จ ด้วยมาตรฐานการบอกเวลาแม่นยำ บวกกับความบาง และ ราคาเบา ๆ นาฬิกาข้อมือจากญี่ปุ่นจึงได้รับความนิยมถล่มทลาย สวนทางกับยอดขายนาฬิกาสวิสที่ลดฮวบอย่างน่าตกใจ และปวดใจ จนสุดท้ายผู้ประกอบการธุรกิจนาฬิกาสวิสจึงต้องร่วมมือกันกอบกู้สถานการณ์ มีการควบรวมบริษัทปรับโครงสร้างกิจการขนานใหญ่ และได้ปล่อยท่าไม้ตายออกมาในปี 1983 ด้วยนาฬิกาพลาสติกระบบ Quartz ตัวเรือนบางเฉียบ ดีไซน์เรียบง่ายทันสมัย ราคาไม่แพง ซึ่งช่วยพลิกฟื้นให้ธุรกิจนาฬิกาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์กลับมาผงาดอีกครั้ง และ เจ้านาฬิกาพลาสติกเรือนที่ว่าก็ยังคงยืนหยัดประจำการณ์อยู่บนข้อมือผู้คนทุกเพศทุกวัยและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในนามว่า Swatch(สวอท์ช) มาจนถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่าแบรนด์ Swatch นั้นผ่านหน้าประวัติศาสตร์ และผสมผสานเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการแต่งกายมาอย่างยาวนานโดยไม่มีทีท่าว่าจะตกยุค ซึ่งต้องยกประโยชน์ให้กับ DNA ในการพัฒนาเอาตัวรอด การปรับตัวให้เท่าทันยุคสมัย และเทรนด์ที่เปลี่ยนไปของแบรนด์ Swatch ที่ถูกปลูกฝังเอาไว้อย่างเข้มข้น นับตั้งแต่การถือกำเนิดของตำนานที่ยังมีลมหายใจอย่าง Swatch รุ่น