ถ้าจะให้พูดถึงสิ่งของสักชิ้นที่สามารถบ่งบอกถึงตัวตน ไลฟ์สไตล์ รวมถึงรสนิยมของชายผู้เป็นเจ้าของได้อย่างดี หลายคนอาจจะนึกถึงรถยนต์, สูท, เข็มขัด, รองเท้า ฯลฯ แต่ในมุมมองของ UNLOCKMEN เราคิดว่า นาฬิกา คือไอเทมซึ่งเป็น Key Piece ที่สามารถสะท้อนตัวตนของผู้ชายอย่างเรา ๆ ออกมาได้อย่างชัดเจนผ่านดีไซน์ มรดกแห่งเรื่องราวของแบรนด์ รวมถึงฟังก์ชั่นการใช้งาน รวมถึงความเยี่ยมยอดของเทคโนโลยีกลไกการบอกเวลาอันซับซ้อน ที่กว่าจะได้มาอยู่บนข้อมือของผู้ชายแต่ละคน ล้วนต้องผ่านการเฟ้นหาเรือนเวลาที่เหมาะสมกับตัวเองอย่างที่สุด เพราะนอกจากเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก สิ่งที่ผู้ชายแทบทุกคนต้องการคือนาฬิกาคู่ใจที่เป็นได้ทั้งสิ่งที่บ่งบอกรสนิยม และอุปกรณ์บอกเวลาที่สามารถใช้งานได้จริง มีฟังก์ชั่นที่ตอบสนองความต้องการในทุกด้านของชีวิตที่แตกต่าง ซึ่ง MIDO ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ ที่สร้างสรรค์ประดิษฐกรรมแห่งเวลาคุณภาพสูงออกมาอย่างมากมาย โดยแต่ละรุ่นแต่ละคอลเลคชั่นต่างมีการยอมรับถึงความสวยงามของดีไซน์ และคุณภาพมาตรฐาน Swiss Made จนทำให้นาฬิกาจาก MIDO จำนวนนับไม่ถ้วนถูกเลือกให้เป็นสิ่งสะท้อนตัวตนของผู้ชายจากทั่วโลกในแทบทุกยุคทุกสมัย ต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาเกือบ 100 ปี นับตั้งแต่ Mr. Georges Schaeren เริ่มต้นก่อตั้งโรงงานผลิตนาฬิกา MIDO G. Schaeren & Co. AG ขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันท่ี 11
หากคุณกำลังมองหาเพื่อนร่วมทางดีๆที่พร้อมตะลุยโร้ดทริปสุดมันส์ตามแบบฉบับอเมริกัน Hamilton Pan Europ คือคำตอบนั้น นาฬิกาที่ตอบโจทย์เรื่องความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือ ดุดันด้วยสไตล์ที่เจนจัด เรือนเวลาที่จะท่องโลกกว้างไปกับคุณทุกเส้นทาง Hamilton Pan Europ เปี่ยมด้วยรายละเอียดงานดีไซน์ชั้นเยี่ยม สะท้อนแรงบันดาลใจจากชิ้นส่วนรถคลาสสิคแห่งยุค 1970’s อาทิ กันชนสีโครเมียม เบาะหนัง และซีทเบลท์หนัง ตัวเรือนโฉบเฉี่ยว งานขัดสเตนเลสสตีลสุดแวววาว มาพร้อมชุดเปลี่ยนสลับสายให้ผู้สวมใส่ได้เลือกตามอารมณ์และลุค ชุดเปลี่ยนสลับสายที่มาพร้อมนาฬิกาจะทำให้คุณสามารถเปลี่ยนสายเองได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นสายหนังฟอกนุ่มงานตัดเย็บประณีต หรือจะสาย NATO ผ้าไนลอนถักทนทาน แม้วัสดุสายนาฬิกาทั้งสองที่มีความแตกต่างกัน แต่ให้สัมผัสที่สวมสบาย และมีความทนทานไม่แพ้กัน เข้าคู่กับตัวเรือนขนาด 42 มม. อย่างสมบูรณ์แบบ ขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ H-30 พร้อมความสามารถในการสำรองกำลังลานสูงสุดถึง 80 ชั่วโมง และหน้าต่างแสดงวันและวันที่ ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา สาย NATO มีแถบสีเขียวตรงกลาง กลมกลืน ล้อรับกับหน้าปัดสีเขียวเข้ม และขอบวงรอบอลูมิเนียมสีดำได้อย่างลงตัว สะท้อนลุคสปอร์ตแห่งยุค 1970’s ได้อย่างโดดเด่น ดีไซน์ดังกล่าวนับว่าเป็นการหยิบยกรูปลักษณ์จาก Pan
ไม่ว่าใครก็มีสิ่งที่ตัวเองหลงใหลมากกว่าหนึ่ง และถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากทำให้สิ่งที่หลงใหลนั้นรวมเข้าด้วยกันได้ จะถือว่าเป็นที่สุดของการใช้ชีวิต เจเรมี่ มอนแทโร (Jeremy Monteiro) นักดนตรีชื่อดังระดับโลก ก็เป็นอีกคนที่สามารถนำเอาสิ่งที่ตนเองหลงใหลมารวมอยู่ด้วยกัน นั่นก็คือ J. Monteiro แบรนด์นาฬิกาที่มี DNA จาก Music และ Timepiece ซึ่งสามารถไปด้วยกันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ Jeremy Monteiro เป็นนักเปียโนแจ๊สที่มากไปด้วยความสามารถระดับต้น ๆ ของเอเชียคนหนึ่ง เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่นักเปียโนที่เก่งกาจ แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลง นักร้องและโปรดิวเซอร์ที่ศิลปินนานาประเทศอยากร่วมงานด้วยจนได้สมยานามว่า “Singapore’s King of Swing” “ดนตรีแจ๊สไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่เจเรมี่หลงใหล เครื่องบอกเวลาอย่างนาฬิกา ก็เป็นสิ่งที่เขาหลงใหลด้วยเช่นกัน” ย้อนกลับไปในอดีต เขาได้รับนาฬิกาข้อมือเป็นของขวัญวันเกิดจากคุณพ่อตอนอายุ 16 ปี หลังจากที่ได้รับของขวัญชิ้นนั้น มันทำให้เขาเริ่มก้าวเข้ามาศึกษาเรื่องของกลไกลบอกเวลาควบคู่ไปกับการสั่งสมประสบการณ์ทางด้านดนตรีจนกลายมาเป็นนักเปียโนแจ๊สระดับโลก วันหนึ่ง Jeremy ไปเยี่ยมสตูดิโอของนักดนตรีแจ๊สท่านหนึ่งที่ร่วมงานด้วย ทำให้ได้เห็นโครงร่างของการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ สิ่งนั้นเหมือนเป็นการจุดประกายแรงบันดาลใจครั้งใหม่ให้ Jeremy มันทำให้ต่อมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และภาพนาฬิกาที่เดินตามจังหวะดนตรีก็ปรากฏขึ้นในหัวทันที วินาทีนั้นเขารู้แค่ว่าอยากทำให้ภาพในหัว ณ ตอนนั้น เกิดออกมาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็คือจุดเริ่มต้นของเรือนเวลาที่ชื่อ “J. Monteiro” “J. Monteiro”
ย้อนไปเมื่อช่วงกลางปี 2019 ถือเป็นครั้งแรกที่โลกแห่งเครื่องบอกเวลาได้รู้จักกับ SWATCH BIG BOLD ซีรีส์นาฬิกาคอลเลคชันใหม่ล่าสุด ที่รับเอามรดกทางจิตวิญญาณในการพัฒนาเอาตัวรอดรวมถึงการปรับตัวให้เท่าทันยุคสมัย จากตำนานที่มีลมหายใจอย่าง SWATCH รุ่น OG มาต่อยอดในแนวทางของตัวเอง กับไอเดียความขบถที่ขับเน้นตัวตนออกมาอย่างเด่นชัดในวิถี Street Culture จากเรือนเวลาที่สะท้อนสไตล์ของผู้สวมใส่ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ในปีนี้ SWATCH ได้ต่อยอดความสำเร็จด้วยการนำพานาฬิกาตระกูล BIG BOLD ออกจากรูปแบบเดิม ๆ อีกครั้ง สู่การเดินทางครั้งใหม่ที่ผสานความจัดจ้านของ Street Fashion เข้ากับความเท่ ดุดัน จากกลิ่นอาย Racing Sport ด้วยฟังก์ชัน Chronograph หรือระบบจับเวลาที่เป็นตัวช่วยสำคัญของเหล่านักแข่งแห่งสนามประลองความเร็ว ซึ่งมีอยู่ใน SWATCH BIG BOLD CHRONO รุ่นใหม่ล่าสุด SWATCH BIG BOLD CHRONO ยังคงเอกลักษณ์จากรุ่นแรกเอาไว้กับหน้าปัดขนาดใหญ่ 47 มิลลิเมตร แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือระบบจับเวลา Chronograph ที่มาพร้อม 3 หน้าปัดย่อย แบ่งเป็นตัวนับนาที,
ไม่ว่าจะเป็นผู้คลั่งไคล้ หลงใหล ในเรือนเวลาแบบเข้าเส้น หรือแม้แต่คนธรรมดาทั่วไปที่บังเอิญอยากจะหานาฬิกาคุณภาพดีเอาไว้ประดับข้อมือกันสักเรือน ต่างก็ต้องยอมรับถึงชื่อเสียง คุณภาพของเรือนเวลา Swiss Made หรือ แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่ง Mido ถือเป็นอีกแบรนด์นาฬิกาจากสวิส ที่พวกเราชาวไทยให้การตอบรับอย่างดีมาทุกยุคทุกสมัย ด้วยจุดเด่นในเรื่องของการออกแบบที่โดดเด่น วัสดุตัวเรือนชั้นดี งานประกอบที่พิถีพิถัน รวมถึงกลไกบอกเวลาคุณภาพสูงมาตรฐานสวิส ในราคาที่สมเหตุสมผล เมื่อพูดถึงความนิยมของแบรนด์ MIDO ทั้งในไทย และในระดับโลก ต้องย้อนกลับไปประมาณ 99 ปีก่อน ที่ได้มีการเริ่มต้นก่อตั้งโรงงานผลิตนาฬิกา MIDO G. Schaeren & Co. AG ขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันท่ี 11 พฤศจิกายน 1918 โดย Georges Schaeren จวบจนถึงทุกวันนี้นับเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ ที่ MIDO ยังคงยึดปรัชญาหลักในการสร้างสรรค์เรือนเวลาที่ผสมผสานระหว่างความงามความเป็นต้นตํารับและความมีอรรถประโยชน์ซึ่งสามารถใช้งานได้จริง โดยจุดเปลี่ยนสําคัญของนวัตกรรมเรือนเวลาจาก MIDO สําหรับเราต้องยกให้ในปี 1930 ที่ MIDO ได้คิดค้นระบบการปิดซีลเม็ดมะยมแบบจุกคอร์กสําเร็จ (ภายหลังเรารู้จักกันในชื่อ Aquadura) และเป็นผู้นําในด้านการทําตัวเรือนนาฬิกาให้กันนํ้าได้อย่างแท้จริง
หากจะพูดว่านาฬิกา OMEGA Speedmaster ได้ข้ามผ่านช่วงเวลาสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้งคงไม่ผิดนัก หลังจากที่ได้จัดงานฉลองครบรอบ 60 ปี ไปเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยมนต์ขลังของเรือนเวลาที่ผ่านเรื่องราวอันน่าภาคภูมิใจ เริ่มต้นจากการเป็นนาฬิกาเรือนแรกของโลกที่มาพร้อมสเกลทาคีมิเตอร์บนขอบตัวเรือนซึ่งผลิตขึ้นมาสำหรับนักแข่งรถ อันเป็นต้นกำเนิดของชื่อรุ่น Speedmaster ก้าวมาสู่การเป็นนาฬิกาเรือนแรกที่ถูกสวมใส่บนดวงจันทร์ ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดเป็นความหลงใหลที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในหัวใจของเหล่าผู้รักนาฬิกาทั่วโลก ในวันนี้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ Benjamin Clymer ชายผู้ก่อตั้งเว็บ Hodinkee.com เว็บไซต์ที่เป็นจุดนัดพบของบรรดาผู้หลงใหลเสน่ห์ของเรือนเวลาจากทั่วทุกมุมโลก ที่ต่างเข้ามาพูดคุย แลกเปลี่ยนเรื่องราวเกี่ยวกับนาฬิกา รวมถึงเป็นแหล่งซื้อขายนาฬิกาหายากที่ควรค่าแก่การสะสม และชายที่เปรียบเสมือนคนดังแห่งวงการนาฬิกาคนนี้ คือหนึ่งในผู้ที่มีความหลงใหลต่อ OMEGA Speedmaster อย่างเปี่ยมล้น ซึ่งเขาจะมาเปิดใจให้เราฟังถึงเรือนเวลาที่ถือเป็นตัวจุดประกายความชื่นชอบนาฬิกาในตัวเขา และทำไม OMEGA Speedmaster ยังคงครองตำแหน่งพิเศษอยู่ในใจของเขาอย่างไม่เสื่อมคลาย จุดเริ่มต้นแห่งความหลงใหลที่คุณมีต่อ OMEGA Speedmaster ? ความหลงใหลใน Speedmaster ของผมเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ที่ได้เห็นมันถูกสวมใส่อยู่บนข้อมือของคุณปู่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยสนใจของสะสมที่คุณปู่มีอยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นกล้องถ่ายภาพ รถยนต์ เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งนาฬิกา แต่สำหรับนาฬิกา Speedmaster มันทำให้ผมรู้สึกต่างออกไป เมื่ออยู่ใกล้คุณปู่ผมรู้สึกได้ว่าเหตุผลที่เขาซื้อมันมาเพราะต้องการที่จะส่งต่อมรดกแห่งเวลาเรือนนี้ให้กับผม ซึ่งคุณปู่ยังมีนาฬิกาเรือนโปรดอยู่อีกสองเรือน เรือนแรกได้ส่งต่อให้คุณพ่อของผม ส่วนอีกเรือนส่งต่อให้กับคุณลุง แม้ว่าเขาไม่เคยบอกว่านาฬิกาเรือนที่สามนี้จะตกเป็นของใคร แต่ผมก็รู้อยู่แก่ใจว่า
นาฬิกา ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องบอกเวลา หรือเรือนเวลาประดับสถานะทางสังคม แต่ในอีกแง่มุม นาฬิกาเป็นเครื่องมือบันทึกช่วงเวลาสำคัญ นาทีที่ยิ่งใหญ่ และความทรงจำที่น่าประทับใจในหลายเหตุการณ์ แน่นอนว่าประวัติศาสตร์มีหลายแง่มุมให้เราได้เรียนรู้เพื่อประยุกต์ใช้กับปัจจุบัน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ OMEGA เป็นนาฬิกาแบรนด์ดังที่ได้รับความนิยมสูงสุด พร้อมประวัติอันยาวนานเกินร้อยปี สอดคล้องกับสัญลักษณ์อักษรกรีกตัวสุดท้าย ที่หมายถึงความสำเร็จอันเป็นที่สุด ด้วยความหมายที่ลึกซึ้งและเป็นที่จดจำ คำว่า OMEGA จึงถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์นาฬิกาอันเป็นที่สุดในทุกด้าน เป็นเวลายาวนานถึง 168 ปี และได้มีส่วนร่วมในการบันทึกเหตุการณ์สำคัญ ๆ หลายเหตุการณ์ และวันนี้เราจะนำประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่เหล่านั้น มาถ่ายทอดเรื่องราวอันน่าสนใจ ผ่านประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าของนาฬิกา OMEGA OMEGA & the Armies ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 กองกำลังทางทหารนับว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อความมั่นคงของแต่ละประเทศ การปฏิบัติภารกิจให้ตรงตามกำหนดการ ย่อมหมายถึงความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของชาติ The Royal Flying Corps (RFC) แห่งกองทัพสหราชอาณาจักรได้กำเนิดขึ้นมา พร้อมยุทโธปกรณ์ทางอากาศที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้น RFC เป็นฝูงบินที่มีหน้าที่ทั้งการรบทางอากาศ การสอดแนม รวมถึงลาดตระเวนทางอากาศ โดยฝูงบิน RFC นี้ยังเคยผ่านการรบสไตล์ Dogfight กับ the