การใช้ชีวิตที่ว่ายากดูเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปเลย ถ้าเทียบกับอุปสรรคที่เรียกว่า ‘การทำงาน’ เพราะนอกจากต้องต่อกรกับเจ้านายจู้จี้ขี้บ่นที่พร้อมก่นด่าทุกครั้งหากทำพลาดเพียงเล็กน้อย สิ่งที่หินไม่แพ้กันคือการผจญกับเพื่อนร่วมงานตรรกะป่วยที่ทำเอาผู้ชายอย่างเราประสาทจะแดก แม้งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Behavioral Sciences & the Law เผยว่าร้อยละสามของผู้นำธุรกิจนั้นมีสุขภาพจิตที่ผิดปกติ และประชากรทั่วไปมีแนวโน้มป่วยจิตเพียง 1% เท่านั้น แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราจะหลุดพ้นจากคนจำพวกนี้ได้โดยง่าย คนที่มีระบบการคิดแปลก ๆ และใจกล้าบ้าบิ่นไม่ได้ปรากฏแค่ในภาพยนตร์ระทึกขวัญเท่านั้น บางครั้งโลกก็เหวี่ยงพวกเขามาให้เราเดินสวน กระทบไหล่ หรือแย่ที่สุดคือมาเป็นเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศ แถมภาวะจิตป่วนก็มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอีกด้วย ทำให้หนุ่ม ๆ ต้องระแวดระวังเป็นพิเศษ เพราะเพื่อนชายในออฟฟิศอาจไม่ได้คิดดีกับคุณเสมอไป แล้วเพื่อนร่วมงานแบบไหนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคจิตและเราควรตีตัวออกห่างมากที่สุดกันล่ะ? “จะไปกลัวอะไรวะ ไม่มีใครรู้หรอก” ถ้าคุณมีเพื่อนร่วมงานที่แสวงหาความตื่นเต้น ใช้ชีวิตโลดโผน และรักที่จะเสี่ยงอันตราย เพราะไม่เคยกังวลเรื่องความปลอดภัยของตนและผู้อื่น นี่เป็นอีกสัญญาณที่บอกว่าเพื่อนร่วมงานของคุณคนนี้อาจไม่ปกติ เขามักจะโน้มน้าวเพื่อนในออฟฟิศให้เข้าร่วมกิจกรรมแสนอันตราย หาเรื่องแกล้งคนโน้นคนนี้อยู่เรื่อย แอบทำงานนอกในเวลางาน หรือแม้แต่หนีการประชุมที่หัวหน้าไม่ได้เข้า แม้จะไม่ใช่คนโรคจิตทุกคนที่จะทำพฤติกรรมเช่นนี้ แต่พวกเขาค่อนข้างมีความสามารถที่จะพาคนอื่นไปผจญหรือเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องอันตรายในหัวพวกเขา “อ๋อ! เรื่องนี้ผมดูข่าวมาเมื่อเช้าเลยครับ จริง ๆ ไม่น่าจะใช่แบบนั้นนะ ” อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเพื่อนร่วมงานจิตป่วนคือเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ รอบรู้ทุกเรื่องราว และดึงดูดผู้คนอย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยพฤติกรรมเก่งกล้าบ้าบิ่นเกินบรรยาย บวกกับความพยายามที่จะตั้งตนเป็นศูนย์กลางจักรวาลในออฟฟิศ ทำให้คนอื่นมองเขาว่าโดดเด่นกว่าใคร ๆ
นอกจากการทำงานไปวัน ๆ สิ่งหนึ่งที่เวิร์กกิ้งแมนอย่างเราตั้งเป้าหมายเอาไว้เบื้องหน้าคงหนีไม่พ้น ‘ความสำเร็จ’ แม้มันจะเป็นเพียงคำนามนามธรรมที่ไม่มีรูป รส กลิ่น และเสียงที่แน่นอน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือฟันเฟืองทรงประสิทธิภาพที่คอยขับเคลื่อนผู้ชายเราให้ตั้งใจใช้ชีวิตและมุ่งมั่นกับงานที่ทำ เพื่อหวังว่าสักวันเราอาจประสบความสำเร็จอย่างใครเขา เป้าหมายที่เรียกว่า “ความสำเร็จ” ไม่ได้มีไว้แค่พุ่งชน หากยังคอยเตือนใจในวันที่หนุ่ม ๆ ท้อแท้ หมดหวัง และคิดจะเลิกล้มสิ่งที่ตรากตรำทำมาเกือบตลอดชีวิต วันนี้ UNLOCKMEN ขอเป็นอีกแรงที่ช่วยพิสูจน์อัตราความสำเร็จของพวกคุณทุกคน ด้วย 5 สัญญาณที่บอกว่าคุณเริ่มก้าวขึ้นบันไดความสำเร็จไปแล้ว (แม้คุณอาจไม่เคยรู้ตัวมาก่อน) เข้าใจนิยามความสำเร็จ หากพูดถึงความสำเร็จหลายคนมักจะถูกพรางตาด้วยการมีบ้านหลังใหญ่โต รถยนต์หรูจอดขนาบข้าง และมีกลุ่มเพื่อนผู้ทรงอิทธิพล แต่แท้ที่จริงแล้วฐานะและวัตถุนิยมหาได้เป็นคำจำกัดความของความสำเร็จแต่อย่างใด เนื่องด้วยแต่ละคนนั้นมีเป้าหมายและจุดสูงสุดในชีวิตที่ต่างกัน นิยามความสำเร็จจึงเป็นเรื่องปัจเจกที่ไม่เข้าใครออกใคร มีงานวิจัยจาก Strayer University เผยว่า 90% ของคนอเมริกันเชื่อว่าความสุขเป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจทรัพย์หรือศักดิ์ศรี มี 67% คิดว่าความสำเร็จคือความสัมพันธ์อันดีต่อเพื่อนและครอบครัว ในขณะที่ 60% นิยามความรักในอาชีพที่เลี้ยงปากท้องว่าเป็นความสำเร็จ และมีเพียง 20% เท่านั้นที่เห็นว่าความมั่งคั่งทางการเงินเป็นตัวชี้วัดและกำหนดความสำเร็จ หากคุณเข้าใจความหมายของความสำเร็จในแบบฉบับของตัวคุณเองได้ นั่นแปลว่าคุณประสบความสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง มองโลกในแง่ดีและเต็มไปด้วยความหวัง ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเลวร้ายเป็นอีกส่วนของชีวิต โลกอาจจะเหวี่ยงคนไม่ดีหรือเรื่องแย่ ๆ มากระทบไหล่เราอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหน หากหนุ่ม
ทุกคนเติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ประสบการณ์ที่พบแตกต่างกัน เช่นเดียวกับการรับมือปัญหาของแต่ละคนที่ย่อมแตกต่างกันไปตามสิ่งที่สั่งสมมาจาก “ครู” ที่อยู่รอบข้าง แต่วันนี้บทเรียนจากครูที่เราพูดถึงไม่ใช่คนที่คอยบ่มเพาะให้ในช่วง 20 กว่าปีแรกของชีวิตอย่างพ่อแม่ หรือครูในสถาบันศึกษา แต่เป็นขวบปีของการทำงานที่อยู่หลังจากนั้นไปจนชั่วชีวิตการทำงาน ครูที่บอกว่า “คุณไม่มีทางเป็นเด็กไปได้ตลอดกาล” คุณยังจำเรื่องที่ “เจ้านาย” หรือ “หัวหน้า” ของคุณสอนได้ไหม ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่เท่าไหร่ก็ตาม เราจำได้แม่น จำได้ดี และคิดว่าคงเป็นประโยชน์กว่าถ้าจะแชร์บางส่วนที่หล่อหลอมมาให้หลายคนที่กำลังทำงานอยู่ตอนนี้ได้ฟัง ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่เด็กที่สุดในออฟฟิศวันนี้ หรือเป็นคนที่โตกว่าคนอื่น ๆ ท่ามกลางการทำงาน เพราะที่แห่งนี้ ทุกคนพกศักยภาพกับความสามารถตัวเองมาใช้แลกเงินเดือน ไม่มีใครอยากฟังคำตอบของเด็กไม่ยอมโต ส่วนการแก้ปัญหาไม่ใช่แค่คำขอโทษหรือแค่คัดคำผิดแล้วจบไปเพื่อรอให้วันนึงข้างหน้าเกิดเหตุการณ์ซ้ำอีกครั้ง เนื่องจากความเสียหายที่ตามมันใหญ่กว่าสอบไม่ผ่าน หรือโดนตำหนิ “อย่ามาหาพี่พร้อมปัญหา เอา SOLUTIONS มาด้วย” นี่คือประโยคแนะนำการทำงานที่อดีตหัวหน้าเคยพูดกับเราที่อยู่ในฐานะคนที่เด็กที่สุดในสายงานและตำแหน่งงานเสมอ ประโยคนี้ช่วงแรกเราเคยไม่เข้าใจ เคยบ่น เคยเถียงว่าถ้าแก้ได้เองแล้วมันจะไปลอดไปถึงหัวหน้าได้ยังไง คงจะไม่เดินมาหาแบบนี้ แต่เมื่อโดนสอนให้ตั้ง “สติ” ดับความร้อนรนแล้วคิดหาทางออก เราจึงจำเป็นต้องโตขึ้นโดยอัตโนมัติ คุยแบบคนทำงานคุยกันและคิดอย่างมีเหตุผลให้รอบคอบขึ้น ถอยออกมามองปัญหาจากมุมอื่นและหาทางออก ซึ่งเมื่อพิจารณาให้ดี เราพบว่ามี 5 อุปสรรคมายาที่ทำให้คิดว่าถึงทางตันจนทำงานไม่สำเร็จ ทั้งที่การแก้ไขปัญหามันไม่ได้มีเพียงทางเดียวเสมอไป ดังต่อไปนี้ เราให้เวลาทุกคน
ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่ายุคนี้มันเป็นยุคร้านกาแฟครองเมือง เพราะแทบทุกสัปดาห์ Facebook มักจะมีร้านคาเฟ่แนะนำใหม่ ๆ หรือ Co-Working Space ดี ๆ ผุดขึ้นมาให้เห็นบนหน้า feed ตลอดเวลาจนเราสงสัยว่าอะไรมันจะบูมขนาดนั้น แต่เราก็ยังขยันไปแวะร้านใหม่ ๆ เหมือนกันเพื่อหาพื้นที่ดี ๆ ไว้ทำงาน ทำงานในคาเฟ่ทำไม? ออฟฟิศก็มี บ้านก็ฟรี กระเสือกกระสนไปทำไมให้เสียเงิน? เชื่อว่าขณะที่เราลากตัวเองพร้อมหอบคอมกับอุปกรณ์ชาร์จหนักรวมโลกว่า ๆ ไปไหนมาไหนเพื่อหาที่ปักหลักทำงาน มันต้องเคยมีคนถามคำถามนี้ โดยที่ตัวเองก็ยังตอบไม่ได้ด้วยว่าทำไม แต่ที่รู้ ๆ คือสมองมันแล่นมากกว่าจริง ๆ ปริมาณงานก็ทำได้เยอะกว่า ถ้าคุณยังหาคำตอบไม่ได้ โปรดรู้ไว้ว่าปรากฏการณ์นี้มีชื่อเรียกว่า Coffee Shop Effect ซึ่งมาพร้อมกับข้อดีต่าง ๆ ที่เพิ่มศักยภาพการทำงานต่อไปนี้ เสียงรอบข้างทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่ Ambient ที่เกิดในร้านกาแฟมันกระตุ้นสมองเราให้ทำงานได้ดีไม่แพ้การจิบคาเฟอีนประจำร้าน จึงไม่แปลกที่งานครีเอทีฟหรือความหัวแล่นมักจะเริ่มต้นขึ้นจากในนั้น โดยผลวิจัยของ Van der Groen พิสูจน์ให้เห็นว่าประสาทสัมผัสที่เกิดขึ้นจากการรบกวนนี้ ถ้าเราได้รับมันในปริมาณที่พอเหมาะ
“เชี่ย! อาทิตย์นี้ลืมซักผ้า” “เวรละ งานที่ต้องส่งพรุ่งนี้ยังไม่เสร็จ” “โดนฆ่าแน่กู ลืมวันครบรอบไปสนิทเลยว่ะ” หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ แถมยังหลงลืมเรื่องราวสำคัญไปอย่างสนิทใจ ไม่ว่าด้วยการจัดสรรเวลาที่บกพร่อง ภาระหน้าที่หนักหนาเกินรับไหว หรือคิดว่า 24 ชั่วโมงต่อวันมันน้อยเกินไป โปรดรู้ไว้ว่านี่คือสัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังก้าวสู่เส้นทางของ ‘ผู้ชายล้มเหลว’ จริงอยู่ที่ในหนึ่งวันมีเวลาให้ใช้เพียง 1,440 นาทีเท่านั้น แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะยัดทุกเรื่องที่อยากทำลงไปในนั้นอย่างเป็นระบบไม่ได้นี่ครับ วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ มาปลดล็อกขีดความสามารถของตน ทำลายข้อจำกัดเวลา 86,400 วินาทีของหนึ่งวัน และยกระดับการใช้ชีวิตให้ productive กว่าที่เคย แล้วนิสัยแย่ ๆ แบบไหนบ้างที่ควรกำจัดทิ้งให้สิ้นซาก? มาดูกัน! พักงานจนดินพอกหางหมู หนึ่งในสามของเวลาในแต่ละวัน เราพลีกายถวายชีวิตให้กับการทำงานอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้บางครั้งงานจะหนักหนาสาหัสจนถึงขั้นต้องพลีชีพ แต่ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าเราหนีจากมันไปไม่พ้น ยิ่งเวลาทำงานเครียด ๆ ผู้ชายหลายคนคงต้องเปิด Facebook, Twitter, LinkedIn หรือส่อง Instagram สาว ๆ เพื่อพักสายตากันบ้าง แต่หนุ่ม ๆ รู้ไหม? ว่าพฤติกรรมแบบนี้มันบั่นทอนชีวิต
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะใช้ชีวิตโดยไม่เจอการหาเรื่องจากคนงี่เง่า ที่หันมาเหวี่ยงใส่เราอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ว่าจะเป็นเพราะปีชงหรือวันซวย ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดที่ทำให้ตัวเราเหนื่อยกายและใจมากมายมหาศาล ดังนั้นวิธีที่ดีกว่าคือการรู้ว่าจะรับมือจากคนแบบนี้อย่างไร เพราะการแรงมาแล้วแรงกลับไปนั้นนอกจากจะไม่ช่วยอะไร มันยังทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างไม่จำเป็นอีกด้วย ไม่ว่าจะเจอคนงี่เง่าบนท้องถนนจากการขับรถปาดกันไปมา หรือเจอคนงี่เง่าในออฟฟิศ ที่พาลจนทำให้งานของเราไม่เดิน ก่อนจะหันไปหงุดหงิดตอบโต้คนงี่เง่าแบบนั้น เรามี 3 ขั้นตอนการรับมือที่ควรทำมาแนะนำ รับรองว่ามันจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้มากกว่าในทันที เหมือนคำโบราณว่าไว้ อย่าราดน้ำมันบนกองไฟ แต่มันจะดีกว่าถ้าเราเริ่มจากการดับไฟในใจเราเสียก่อน ขั้นแรกของการรับมือกับคนงี่เง่าเข้าใจยากที่หันมาเหวี่ยงใส่เราแบบไม่มีเหตุผล คือการนิ่งสงบ ไม่ตอบโต้ เพราะการตอบโต้จะยิ่งทำให้คนงี่เง่ายิ่งบันดาลโทสะเข้าไปใหญ่ พูดอะไรก็กลายเป็นหาเรื่อง ต้องอย่าลืมว่าคนที่กำลังหน้ามืดอยู่นั้นย่อมไม่อยู่ในสติที่จะฟังเหตุผลอะไรทั้งนั้น การตอบโต้ใด ๆ จึงไม่ทำให้เกิดผลดีใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนขี้วีนที่ไม่รู้ไปหงุดหงิดอะไรมา ก็จงใช้ความนิ่งเข้าไว้ มันจะช่วยให้เราได้ยินเสียงรอบข้างมากขึ้น เป็นการสร้างสมาธิและจิตที่สงบ ช่วยให้ควบคุมตัวเองได้ดีกว่าไปในตัว และที่สำคัญที่สุดคือมันจะช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกสงบขึ้นได้ด้วยความแปลกใจที่เราไม่ตอบโต้ เพราะความนิ่งเป็นเสียงที่ตะโกนได้ดังกว่า มีความหมายมากกว่าเสียงด่ากลับมากกว่าที่เราคิด สิ่งที่สำคัญที่พวกเราหลายคนมองข้าม และมันคือกุญแจไปสู่ความสงบที่แสนสบายใจ นั่นคือการพยายามทำความเข้าใจถึงเหตุผลที่อีกฝ่ายทำพฤิตกรรมแย่ ๆ ออกมา การเข้าใจถึงเบื้องหลัง ที่มาที่ไป จะทำให้เราเข้าใจเจตนาหรือเหตุผลที่อีกฝ่ายมีพฤติกรรมนั้น ๆ และเราจะไม่รู้สึกโกรธใด ๆ แม้อีกฝ่ายจะเหวี่ยงหรือหงุดหงิดใส่เราอย่างไร้เหตุผลก็ตาม ถ้าเราเข้าใจว่าพฤติกรรมที่อีกฝ่ายมาหาเรื่องเราอาจจะมีเหตุผลจากความเครียดบางอย่าง เราอาจจะรู้สึกเห็นใจมากกว่าที่จะไปตอบโต้ อย่างเช่นเมื่อเราขับรถอยู่ดี ๆ ก็เจอคู่กรณีไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์วินหรือพี่
แรงบันดาลใจ Motivation แรงจูงใจ เวลาผู้ชายอย่างเราได้ยินคำเหล่านี้ทีไร หลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นคำเพ้อฝัน เลื่อนลอย เป็นแค่ความรู้สึกฟุ้ง ๆ ไม่น่าจะเชื่อมโยงเข้ากับประสิทธิภาพการทำงาน คุณภาพของงาน หรือแม้แต่ศักยภาพของทีมหรือองค์กรไปได้ แต่ใครจะรู้ว่า “Motivation” สำคัญกว่าที่เราคิด สำคัญกับทั้งโอกาสที่จะทำงานสำเร็จ สำคัญต่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทีม เพราะถ้าคนทำงานทำงานแบบไม่อิน ทำงานแบบโคตรเบื่อหน่ายไปวัน ๆ ใช้แรงกายแรงใจแค่พอให้มีงานส่ง ๆ ไป องค์กรนั้นก็คงไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด แต่ทำได้แค่คืบคลานไปอย่างช้า ๆ พอเอาตัวรอดได้ (และแค่รอวันที่จะไปไม่รอดหรือโดนแซงไปเท่านั้น) Motivation หรือแรงจูงใจสำคัญต่อการทำงานอย่างไร? งานวิจัยที่ชื่อ The Effects of Incentives on Workplace Performance: A Meta‐analytic Review of Research Studies ระบุว่า ในแต่ละโปรเจกต์ที่ทำขึ้นมาแล้วสำเร็จนั้นปัจจัย 40% มาจากแรงจูงใจล้วน ๆ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าทั้งทีมมี Motivation หมดก็มีแนวโน้มว่าจะร่วมมือกันทำสิ่งนั้นให้สำเร็จได้ ไม่ว่างานหรือโปรเจกต์นั้นจะยากหรือง่าย แต่คนทำงานเต็มไปด้วยแรงจูงใจที่อยากทำให้สำเร็จก็พร้อมจะฝ่าไป เพราะฉะนั้นการจะทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น
เคยนับบ้างไหมว่าเราหมดเวลาไปกับการทำงานกี่ชั่วโมงต่อวัน? หากคิดเล่น ๆ คงประมาณหนึ่งในสามของวันเลยละมั้ง ตั้งแต่เรียนจบและเริ่มชีวิตการทำงานอย่างจริงจัง งานและชีวิตประจำวันก็ผูกโยงกันโดยสมบูรณ์ ถึงจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในออฟฟิศมากกว่าบ้านก็เถอะ แต่คงไม่ใช่ผู้ชายทุกคนหรอกที่จะทำงานอย่างผาสุกสวัสดี งานกองมหึมาที่ว่ายากดูเป็นเรื่องขี้หมาไปเลยถ้าเทียบกับคนและวัฒนธรรมองค์กร ไหนจะเอาเปรียบ ไหนจะความเละเทะของระบบบริหาร หรือแม้แต่ความจู้จี้จุกจิกน่ารำคาญของหัวหน้า ทั้งหมดนี้ทำให้เรามีทัศนคติเชิงลบกับองค์กร และเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหามากมายที่บ่มเพาะให้คุณกลายเป็นพนักงานในคราบตัวร้ายทำลายองค์กร แล้วพฤติกรรมไหนควรทิ้งไป ทัศนคติใดควรลบกันแน่? “งานนี้ให้คนอื่นทำเถอะครับ ผมคงไม่เหมาะ” การเลี่ยงจากหน้าที่และความรับผิดชอบ อันเนื่องมาจากความคิดว่าตนไม่สามารถทำงานบางอย่างได้ นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไร อย่าลืมว่าเราต้องฝึกฝนและทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย แม้งานที่เคยทำจะมีข้อผิดพลาดหรือถูกตำหนิอยู่บ่อยครั้ง แทนที่จะก่นด่าองค์กรแล้วผละความรับผิดชอบออกไปให้คนอื่น จะดีกว่าไหมถ้าคุณเปิดใจยอมรับและนำข้อผิดพลาดในอดีตมาปรับปรุงงานปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าทุกสังคมการทำงานจะยอมรับคำว่า “ไม่อยากก็ทำก็ไม่ต้องทำ” เสมอไป การเลี่ยงงานยาก ๆ และนั่งเป็นพระราชาอยู่ในคอมฟอร์ตโซนต่อไป คงไม่ทำให้ทั้งคุณและองค์กรของคุณเติบโตขึ้นได้ “ถ้าไม่นับงาน ผมก็ชอบทำทุกอย่างในออฟฟิศ” อีกหนึ่งนิสัยที่แก้ไม่เคยหายคือความขี้เกียจทำงาน และความขยันขันแข็งกับอะไรที่ไม่ใช่งาน แม้อยู่ในชั่วโมงงานแต่เวลาส่วนใหญ่จะหมดไปกับการฟังเพลง เล่นเกม ตอบแช็ต หรือแม้แต่แสร้งพิมพ์ดีดมัน ๆ พร้อมสีหน้ามุ่งมั่นปนเครียดเพื่อให้หลายคนคิดว่าคุณกำลังทำงานอย่างหนัก คุณมักจะนั่งเหม่อลอยในห้องประชุม มาสายจนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ หรือแม้แต่บ่นเป็นหมีกินผึ้งกับเรื่องหยุมหยิม หากทั้งหมดที่กล่าวมานี้บ่งบอกถึงความเป็นคุณ หนุ่ม ๆ อาจต้องพิจารณาตัวเอง แล้วรีบแก้ไขมันซะ! ก่อนที่จะสายและบ่อนทำลายองค์กรมากไปกว่านี้ “โคตรไม่ชอบขี้หน้าไอ้แว่นนี่เลยว่ะ” แม้การติฉินนินทาจะไม่ใช่เรื่องที่หลายคนสันทัด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันยังมีให้เห็น จริงอยู่ที่การพูดคุยจะทำให้งานราบรื่นและนำมาซึ่งการทำงานร่วมกันอย่างสันติ
พฤติกรรมการใช้ชีวิต ความเคยชิน และเหตุผลต่าง ๆ นานาที่ทำให้ผู้ชายหลายคนหลงรักการนอนดึก มีความสุขที่ได้ทำงานเงียบ ๆ ตอนกลางคืน และรู้สึกดีทุกครั้งเมื่อได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันท่ามกลางบรรยากาศที่แสงอาทิตย์ถูกกลบด้วยความมืดของราตรีกาล ทั้งหมดนั้นทำให้เรากลายเป็นคนนอนดึกตื่นเช้า ไม่ก็นอนเช้าตื่นค่ำไปโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่พ่วงมากับพฤติกรรมเลียนแบบค้างคาวคือนาฬิกาชีวิตเดินผิดแผกไปจากเดิม เราเชื่อว่าไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่จะนอน 8-10 ชั่วโมงต่อวัน แม้จะรู้ว่าการเข้านอนตรงเวลาดีต่อร่างกาย แต่ให้ตายยังไงก็ไม่ทำ เพราะมันยากที่จะทำได้จริง ว่าไหมล่ะครับ? วันนี้ UNLOCKMEN เลยเอาวิธีรีเซตนาฬิกาชีวิตเวอร์ชันเบสิกมาฝากหนุ่ม ๆ ค้างคาวทุกคน เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ทำได้จริงและส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของเราแน่นอน! NIGHT OWL มนุษย์ผู้โปรดปรานพระจันทร์มากกว่าพระอาทิตย์ แต่เดิม ‘NIGHT OWL’ มีความหมายว่า ‘นกฮูก’ จนเมื่อ William Shakespeare นำคำนี้ไปเปรียบเปรยในบทกวี The Rape of Lucrece ตั้งแต่นั้น NIGHT OWL ก็กลายเป็นคำจำกัดความของผู้ที่ชื่นชอบใช้ชีวิตกลางคืนไปโดยปริยาย NIGHT OWL คือคนที่ไม่สามารถนอนหลับได้เป็นระยะเวลานาน หลับยากกว่าคนอื่น ๆ และมีแนวโน้มที่จะนอนดึก บ้างก็นอนในตอนเช้า พวกเขาชอบทำงาน
องค์กรจะรุ่งหรือร่วงอยู่ที่คนในองค์กร เพราะงานใหญ่ไม่เคยสร้างเสร็จด้วยคนเพียงคนเดียว ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะอัจฉริยะแค่ไหนก็ตาม องค์กรสายเทคฯ ระดับโลกอย่าง Google จึงให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม แต่ใช่ว่าทุกทีมจะทำได้เท่ากัน ดังนั้น การประเมินเพื่อหาทีมที่ดี โดดเด่น นำมาใช้เป็นกรณีตัวอย่างไว้เพื่อพัฒนาทีมอื่น ๆ ให้ขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พวกเขาใส่ใจเสมอมา คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าที่ Google ไปได้ไกลเพราะคนในองค์กรเก่ง แต่ความจริงแล้วการรวมตัวของคนเก่งก็มีจุดอ่อนหลายอย่าง โดยเฉพาะกับการทำงานเป็นทีม หรือการคุมทีม คนเก่งหลายคนไม่ใช่หัวหน้าที่คุมทีมได้ดี และยิ่งเก่งมากบางคนอาจจะตกม้าตายเรื่องคุมทีมพลาดเพราะ Micromanage ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของความตั้งใจดีอยากให้งานออกมาสมบูรณ์แบบเพอร์เฟกชั่นนิสต์ หรือความไม่เชื่อใจในทีมจนพยายามไปเจาะและจี้ทุกรายละเอียดก็ตาม สุดท้ายความหวังดีแบบนี้ทำให้การทำงานตึงเครียด ดับความคิดสร้างสรรค์ แถมทีมยังมีแนวโน้มจะดื้อเงียบไม่ยอมทำตามคำสั่งอีกด้วย คำถามวัดความเป็นผู้นำของ Google เพื่อวัดศักยภาพความเป็นผู้นำที่ดีซึ่งเป็นพื้นฐานของทีมเวิร์กที่ดี Google จึงออกแบบคำถามสำหรับสอบถามพนักงานเพื่อตรวจสอบ โดย 13 ข้อด้านล่างคือคำถามบางส่วนที่ใช้ประเมินคุณภาพทีมได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ผู้บังคับบัญชาของฉันให้ฟีดแบ็กเพื่อพัฒนาความความสามารถตัวเอง ผู้บังคับบัญชาของฉันไม่ทำตัวเป็น “Micromanage” ผู้บังคับบัญชาของฉันปฏิบัติกับฉันในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ผู้บังคับบัญชาให้คุณค่าต่อความเห็นที่ฉันเสนอเพื่อทีม แม้มันจะแตกต่างจากความคิดของเขา ผู้บังคับบัญชามุ่งโฟกัสที่ผลลัพธ์และลำดับความสำคัญ ผู้บังคับบัญชาแบ่งข้อมูลที่ได้รับจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้รู้เสมอ ผู้บังคับบัญชาได้ตัดสินใจสิ่งที่มีความหมายต่อการพัฒนาเส้นทางอาชีพของฉันเมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา ผู้บังคับบัญชาสื่อสารเป้าหมายที่ชัดเจนให้กับทีมของเรา ผู้บังคับบัญชามีความรู้ทางเทคนิค (เช่น การเขียนโค้ด, การขายในภาคธุรกิตระดับโลก