‘ความเหงา’ เป็นความรู้สึกปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกคน ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะเหงาตอนที่ต้องอยู่คนเดียว บ้างเหงาตอนที่สายฝนโหมกระหน่ำยามค่ำคืน แต่ผู้ชายบางคนกลับรู้สึกเหงาขึ้นมาดื้อ ๆ ในที่ทำงาน แม้ตลอด 8 ชั่วโมงที่วุ่นวายดูจะไม่มีเวลาว่างให้ความเหงาเข้าแทรกได้ แต่ผลสำรวจของเว็บไซต์ CV-Library เผยว่ามีพนักงานกว่าครึ่งกำลังรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว และเปล่าเปลี่ยวในที่ทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นไอ้ความเหงาที่แสนธรรมดานี้ดันส่งผลเสียต่อการทำงานของพวกเขาอย่างไม่น่าเชื่อ CV-Library หนึ่งในเว็บไซต์จัดหางานของอังกฤษได้สำรวจพนักงาน 2,000 คน เรื่องความรู้สึกเหงาในที่ทำงาน แม้พนักงานที่มีอายุระหว่าง 35-44 ปี จะเป็นช่วงวัยที่เหงามากที่สุด แต่ก็มีพนักงานกว่าครึ่งในบริษัทที่กำลังเผชิญปัญหาเช่นเดียวกันนี้ ปัจจัยที่ทำให้พนักงานรู้สึกเหงา เป็นเพราะพวกเขาต้องนั่งทำงานท่ามกลางหนุ่มสาวหน้าใหม่ไฟแรง เลยอดคิดไม่ได้ว่าตนแตกต่างจากเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ จึงเลือกจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับตัวเองมากกว่าเข้าไปทักทายหรือพูดคุย นานเข้าชีวิตที่ไร้บทสนทนากับเพื่อนร่วมงานจึงก่อตัวเป็นความเหงาโดยที่พวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยง หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังรู้สึก ‘เหงา’ ในที่ทำงาน ไม่ว่าจะด้วยความต่างของช่วงวัย ลักษณะนิสัยส่วนตัว หรือบรรยากาศในออฟฟิศ นี่คือ 5 วิธีที่จะช่วยกำจัดความเหงาและทำให้คุณกลับมามีความสุขกับการทำงานอีกครั้ง! เริ่มบทสนทนากับเพื่อนร่วมงาน ออฟฟิศของคุณมีบรรยากาศเงียบเหงาหรือตัวคุณเองที่เงียบกันแน่? ถ้าไม่อยากรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายในที่ทำงาน หนุ่ม ๆ อาจต้องพยายามสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ให้มากขึ้น เริ่มจากคำทักทายสั้น ๆ “อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนเป็นไงบ้าง” หรือประโยคบอกลาง่าย ๆ
การพูดต่อหน้าที่สาธารณะ การนำเสนองานหรือขายงานไม่ว่ากับลูกค้า คนภายนอกองค์กร หรือคนภายในองค์กรถือเป็นหัวใจสำคัญที่อีกฝั่งจะซื้อไอเดียหรือโปรเจกต์ที่เรานำเสนอ แม้เนื้อหาเราจะมีคุณภาพมากแค่ไหน แต่ถ้าขั้นตอนการนำเสนอเราทำได้ไม่ดีพอ เนื้อหาดี ๆ ที่ทุ่มเทมาตลอดอาจพังทลายได้ง่าย ๆ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าการนำเสนอนั้นคือหัวใจสำคัญ เตรียมตัวมาอย่างหนัก แต่พออีกไม่กี่นาทีจะออกไปพรีเซนต์งานทีไรก็เหมือนสติจะแตก! มือสั่น ปากสั่น ที่สำคัญใจสั่นรัวเร็วยิ่งกว่าได้เดตกับสาวฮอต ในเมื่ออุตส่าห์เตรียมตัวมาอย่างดี จะมาพังเพราะเรื่องแค่นี้คงไม่ได้ จะทำยังไงดี? UNLOCKMEN มี “6 กลยุทธ์แกล้งทำเป็นมั่นใจ”ในวันที่ใจไม่ไหว แต่งานต้องดี มาฝากกัน จากนี้ไปไม่ว่าคุณจะหวาดหวั่นในสมรภูมิการพรีเซนต์สุดเดือดแค่ไหน FAKE IT UNTILL YOU MAKE IT ตามวิธีต่อไปนี้ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้อย่างราบรื่นแน่นอน สบตาผู้ฟัง ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ ต่อให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแค่ไหน หนึ่งหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ทุกคนในที่ประชุมรู้สึกว่าเราไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย คือการสบตากับผู้ฟัง เพราะดวงตาคือประสาทสัมผัสอันทรงพลังที่สุด เมื่อใดก็ตามที่เราพรีเซนต์ไป พร้อม ๆ กับที่มองเข้าไปในดวงตาของผู้ฟังแต่ละคน จะทำให้ทุกคนเชื่อว่าเราเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังนำเสนอ มั่นใจในตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาจะไม่อาจละสายตาไปจากเราได้เลย ยืนได้ยืน ยืนไม่ได้ ต้องนั่งอย่างราชา หนทางแกล้งทำเป็นมั่นใจคือการจัดระเบียบร่างกายของเรา เพราะเมื่อเวลาเราไม่มั่นใจ ร่างกายของเรามักจะฟ้องได้ชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการงอตัว ห่อไหล่
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตนกำลังใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจขาลงที่ขัดกับค่าครองชีพที่ทะยานสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นทุ่มเทกับการทำงาน และหวังว่าสักวันสิ่งที่ทำมาอย่างเหน็ดเหนื่อยจะสร้างความก้าวหน้าและมั่นคงให้กับชีวิตได้ เมื่อระบบทุนนิยมบีบบังคับจนเราไม่สามารถบริหารเวลาได้อย่างเหมาะสม แนวคิดเรื่อง Work-Life Balance ก็ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาในสังคมและมีอิทธิพลกับชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น Work-Life Balance เป็นแนวคิดที่ไม่ได้มุ่งเน้นให้ทำงานหนักอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่ได้อยากให้พักผ่อนสบายเกินจนหลงลืมหน้าที่การงาน หากตอกย้ำวิถีการดำเนินชีวิตแบบทางสายกลางที่ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป ซึ่งมันผนวกเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี แทบไม่อยากเชื่อว่าแบ่งเวลาทำงานและใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างสมดุล จะเพิ่มประสิทธิภาพของคนและประสิทธิผลของงานได้จริง แต่บริษัทไมโครซอฟต์ (Microsoft) ในญี่ปุ่นพิสูจน์แล้วว่า การทำงาน 4 วัน และหยุด 3 วัน นั้นมีศักยภาพมากกว่าการทำงาน 5 วัน และหยุด 2 วันเสียอีก! บริษัทไมโครซอฟต์ในประเทศญี่ปุ่นจัดแคมเปญ “Work Life Choice Challenge 2019 Summer” เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาโดยเพิ่มวันหยุดให้กับพนักงาน 2,300 คน จากที่เคยหยุดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เปลี่ยนมาเป็นหยุดทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ของเดือนแทน แถมยังให้พนักงานทำงานเต็มเวลาและจ่ายค่าจ้างเท่าเดิมตามปกติ นอกจากจะกำหนดระยะเวลาการประชุมสูงสุดไว้ที่ 30 นาที ยังตัดการประชุมใหญ่ ๆ ให้สั้นลง และเลือกประชุมด้วยข้อความอิเล็กทรอนิกส์แทนตัวบุคคล
ถ้าความฝันคือ “สูตรสำเร็จ” ที่คนในยุคนี้ต้องการ ถ้า “ธุรกิจของตัวเอง” คือทางออกของอิสระการใช้ชีวิต เคยสงสัยไหมว่าทำไมถึงยังมีคนคิดต่างจากเราและมีความสุขกับการเป็นลูกจ้าง ไม่ต้องลุกมาเป็นเจ้าของธุรกิจอะไรไปจนเกษียณ ทำไมเวลาเราดูรายการญี่ปุ่น เรามักเห็นพนักงานมีอายุหรือคนหนุ่มสาวที่ทุ่มเทและตั้งใจทำงาน ทั้งที่เขาเป็นเพียงพนักงานตัวเล็ก ๆ แต่กลับมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่และมีความสุขจนทำให้เรารู้สึกอิจฉา คำตอบนี้เราได้มันมาหลังจากมีโอกาสได้พูดคุยกับ ดร. กฤตินี พงษ์ธนเลิศ อาจารย์สอนการตลาดที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ที่หลายคนรู้จักเธอในชื่อ “เกตุวดี Marumura” นี่ถือเป็นหนึ่งในคำถามที่ผุดขึ้นมาระหว่างพูดคุยกันช่วงสัมภาษณ์ยาว (ใครอยากดูฉบับเต็มรอติดตามได้) แต่เชื่อว่าประเด็นนี้ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจ คิดว่าชาว UNLOCKMEN น่าจะอยากรู้เหมือนกัน เราเลยสรุปและนำมาแบ่งปันแล้วด้านล่าง แรงงานต่างชาติน้อยกว่า ดร. กฤตินี เริ่มประเด็นแรกด้วยเรื่องแรงงาน ชี้ปัจจัยความต่างเบื้องต้นว่า “สังคมญี่ปุ่นเขาไม่ได้มีแรงงานจากประเทศข้างเคียงมากเท่ากับไทย” นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนที่ทำงานตลอดสายพาน ตั้งแต่งานในโรงงานจนถึงงานนั่งโต๊ะ ส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่นทั้งหมด ดังนั้น เรื่องนี้คงต้องบอกว่าปัจจัยทางสังคมส่งเสริมให้คนญี่ปุ่นเขาเป็นลูกจ้างด้วย ขณะที่ไทยอาจจะมีคนที่เข้ามาทำหน้าที่นี้ทดแทนได้ เพราะมีแรงงานจากประเทศข้างเคียงทั้งพม่า ลาว ฯลฯ ที่เข้ามาทำงานในไทยมากกว่า องค์กรทำงานเป็นทีมและร่วมแรงร่วมใจกัน ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึงทุกข์กับการเป็นลูกจ้าง แต่ญี่ปุ่นกลับไม่ใช่อย่างนั้น? เหตุผลที่เราอยากอยู่เหนือคนอื่น อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ อยากเติบโตไว ส่วนหนึ่งจะมองว่าเป็นเรื่องขั้นบันไดการเติบโตที่จำเป็นจะต้องไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็ได้
ขึ้นชื่อว่า “งาน” มันจึงอาจไม่ได้หอมหวานสวยงามเหมือนการเป็นเจ้าชายในเทพนิยายเสมอไป แต่หลายครั้งงานก็ไม่ได้เลวจนเป็นปีศาจร้ายทำลายชีวิตของเราขนาดนั้น แต่ “ทัศนคติ” เรื่องการทำงานต่างหาก ถ้าเราเผลอพลาดนิดเดียวโดยไม่หมั่นสำรวจมัน ทัศนคติเลวร้ายเหล่านั้นจะทำให้เราเกลียดงานเข้าไส้ และเอาแต่เฝ้าถามตัวเองว่าเราก็ทำงานหนักปางตาย ทำไมอะไร ๆ ไม่ดีขึ้นสักที? UNLOCKMEN ชวนสำรวจทัศนคติเลวร้ายที่อาจเป็นภัยต่องานและความสุขของคุณ มาดูกันว่าที่งานหนัก เงินก็น้อย มันผิดที่งาน ผิดที่เรา หรือผิดที่ทัศนคติของเรากันแน่? จะได้แก้ได้อย่างตรงจุด คนนั้นหรอ ไม่เห็นจะเก่งเลย งานของเขาผมก็ทำได้สบายมาก ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกว่าในที่ทำงานของเรามีคนที่ทำงานมากกว่าเรา ทำงานน้อยกว่าเรา หรือบางตำแหน่งสูงกว่าเราแต่ทำไมดูสบายกว่าจังเลยนะ แต่มันจะแปลกถ้าคุณเอาแต่คิดว่าตำแหน่งสูง ๆ หรือตำแหน่งอื่น ๆ ทำงานสบายและคุณเอาแต่ดูถูกและคิดว่าตัวเองเก่งอยู่ไกล ๆ โดยไม่คิดจะพิสูจน์ตัวเองเลย ทัศนคติแบบนี้จะประกอบคุณขึ้นให้กลายเป็นคนที่คิดว่าตัวเองเก่ง คิดว่าตัวเองทำได้ดีกว่าทุกคน แต่ปัญหาก็คือมันเป็นแค่ความคิดและจินตนาการของคุณเท่านั้น ท้ายที่สุดจะลงเอยด้วยการที่คุณเอาแต่โทษคนอื่นว่าไม่เห็นจะทำอะไรแต่ได้ดี ในขณะที่คุณเก่งขนาดนี้แต่ไม่ไปไหน เรากำลังจะบอกว่า ยิ่งรู้สึกว่าตำแหน่งที่สูงกว่าหรือตำแหน่งอื่น ๆ ทำงานได้ไม่ดีหรือเก่งเท่าคุณ คุณยิ่งต้องพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นว่างานที่ดีและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร โดยอาจทั้งทำให้เห็นหรือเสนอความเห็น อย่างน้อยการที่คุณพยายามพิสูจน์ตัวเองวันหนึ่งคุณอาจได้ไปอยู่ในตำแหน่งเหล่านั้นแทนคนพวกนั้นจริง ๆ ก็ได้ แต่ถ้าคุณเอาแต่คิดอยู่ในหัว คุณจะทำได้แค่อิจฉาพวกเขา โกรธตัวเอง และไม่มีความสุขในการทำงานอีกเลย ทำงานไปวัน ๆ แต่หวังความก้าวหน้า
Benjamin Franklin คือหนึ่งในบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา แม้เราจะพอคุ้นหน้าคุ้นตากับใบหน้าขาวดำที่ปรากฏอยู่บนธนบัตร 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนยังไม่รู้ว่าเขาคือผู้ชายที่ถูกขนานนามว่า “ประสบความสำเร็จแทบทุกเรื่องในชีวิต” เขาเป็นทั้งช่างพิมพ์ นักเขียน นักปรัชญา นักการเมือง นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ และนักการทูต มีพรสวรรค์ในการเขียนหนังสือ แต่งเพลง เล่นไวโอลิน ทั้งยังมีทักษะการเล่นกีตาร์ในระดับสูง Benjamin Franklin คือผู้ให้กำเนิดหอสมุดแห่งแรกของสหรัฐอเมริกา ก่อตั้ง The University of Pennsylvania และเป็นหนึ่งในคนสำคัญแห่งยุคเรืองปัญญาที่คิดค้นสายล่อฟ้า จุดเริ่มต้นความรู้ครั้งใหญ่ของสาขาวิชาฟิสิกส์โลก แล้วที่สำคัญที่สุด Benjamin Franklin คือผู้นำการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้แยกตัวออกจากอาณานิคม และก่อตั้งชาติสหรัฐอเมริกาขึ้นมาจนทุกวันนี้ ด้วยรางวัลความสำเร็จที่การันตีและชื่อเสียงจากหลากหลายแขนงวิชา ทำให้เราสงสัยว่า ทั้งที่มีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงเฉกเช่นมนุษย์คนอื่น แต่ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงประสบความสำเร็จได้แทบทุกเรื่องในชีวิต? 9 กุญแจไขความสำเร็จของ BENJAMIN FRANKLIN ทำให้มันง่าย ในหนังสืออัตชีวประวัติของ Benjamin Franklin เผยว่าเขาแบ่งตารางกิจวัตรประจำวันอย่างเรียบง่าย โดยมีเพียง 6 เรื่องเท่านั้นที่ต้องทำในแต่ละวัน ไม่จำเป็นต้องมีกิจกรรมมากมาย
ถ้าคุณมองหาหนังสือพัฒนาตัวเองสักเล่ม “Eat That Frog!” ของ Brian Tracy หน้าปกกบตัวโตสีเขียวไดคัตแปะบนพื้นหลังสีส้มจะเป็นหนึ่งเล่มที่มีคนแนะนำคุณซ้ำ ๆ พอ ๆ กับเวลาเริ่มเล่นหุ้นแล้วมีคนแนะนำว่า “นายต้องไปอ่าน Rich Dad Poor Dad นะ เล่มนี้มันดีจริง ๆ” น่าสนใจว่าหลังจากเราได้ยินคำว่า “กินกบ” เป็นครั้งแรกแล้ว และคิดว่ามันค่อนข้างแปลกพอสมควร เราก็มีโอกาสได้ยินการสำนวนต้มยำทำแกงเกี่ยวกับ “กบ” ต่อไปอีกหลายรูปแบบครั้งไม่ว่าจะเป็นการ “จูบกบ” หรือการ “ต้มกบ” ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ตามแต่ เจ้าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประเภทนี้ก็มักจะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการพัฒนาตัวเองเสมอ เพื่อสรุปให้จบเรื่องกบ ๆ ภายใน 10 นาทีแล้วเอาไปใช้ได้เลย UNLOCKMEN จึงตั้งใจว่าจะเล่าถึงแก่นของหลักการทฤษฎีให้เพื่อน ๆ ทำความเข้าใจกันแบบง่าย ๆ ใครที่ทำได้ในไม่กี่บรรทัดก็เป็นเรื่องดี แต่ใครที่อยากไปหาอ่านฉบับเต็มต่อให้ละเอียดเพื่อลงลึกเราก็ไม่ว่ากัน ใครที่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วเชิญไปพับกบ เอ้ย! พบกับ กบทั้ง 3 ตัวต่อไปนี้เลย กินกบตัวนั้นซะ! เริ่มต้นกันที่กบตัวแรกกันก่อนคือการ “กินกบ” ใครที่คิดว่าจะไปสั่งกบปิ้ง ย่าง ทอดมากินให้ลาภปากแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้หัวหน้าก็ชมเรา
ในยุคที่ผู้ชายเราไม่ได้มีหน้าที่แค่ล่าสัตว์เหมือนยุคหิน แต่ต้องทำ Multi-Tasking หลายอย่างพร้อม ๆ กัน เปลี่ยนจากการใช้แค่แรงกายไปให้น้ำหนักกับแรงสมองมากกว่า ภาวะความกดดัน การตัดสินใจมากมายที่รออยู่ รวมทั้งการลงมือสะสางทุกอย่างให้จบลงในแต่ละวันมักทำให้พวกเราหมดไฟไปดื้อ ๆ เหมือนกัน “อยากมีเวลาคิดให้มากกว่านี้” ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณได้แต่คิดกับตัวเองมาหลายหนแต่ไม่มีโอกาสทำกับเขาสักที ลองหาวันตัดขาด วางมือจากทุกอย่าง จัดเวลาเพื่อ “คิด” เพียงอย่างเดียวสักครั้งดู เพราะนี่เป็นเทคนิคที่เจ้าพ่อ Microsoft อย่าง Bill Gates ใช้อยู่สม่ำเสมอช่วงที่เขาทำงานเป็น CEO ของ Microsoft และเรียกวิธีการนี้ว่า “Think Week” Think Weeks คือเทคนิคที่ Gates คิดค้นและลงมือทำในปี 1980 เพื่อสร้างประสิทธิภาพด้านการตัดสินใจ ต่อกรกับความกดดันที่พุ่งเข้าใส่แทบทุกวันจากความรู้สึกหมดพลัง หมดไฟ และหมดใจ ด้วยการลี้เข้าถ้ำไปอยู่ลำพัง 1 อาทิตย์ เดินทางไปยังกระท่อมลับส่วนตัวในแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ หรือที่เรียกว่า Cascadia และลงมืออ่านเอกสารต่าง ๆ ที่ได้มาจากพนักงาน Microsoft ในภาวะที่ตัดขาดจากทุกคน เมื่อสิ้นสุดการปลีกวิเวกเข้าถ้ำไปใช้เวลากับการใช้ความคิดช่วง Think Weeks แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือการเปิดตัวของ
การใช้ชีวิตที่ว่ายากดูเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปเลย ถ้าเทียบกับอุปสรรคที่เรียกว่า ‘การทำงาน’ เพราะนอกจากต้องต่อกรกับเจ้านายจู้จี้ขี้บ่นที่พร้อมก่นด่าทุกครั้งหากทำพลาดเพียงเล็กน้อย สิ่งที่หินไม่แพ้กันคือการผจญกับเพื่อนร่วมงานตรรกะป่วยที่ทำเอาผู้ชายอย่างเราประสาทจะแดก แม้งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Behavioral Sciences & the Law เผยว่าร้อยละสามของผู้นำธุรกิจนั้นมีสุขภาพจิตที่ผิดปกติ และประชากรทั่วไปมีแนวโน้มป่วยจิตเพียง 1% เท่านั้น แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราจะหลุดพ้นจากคนจำพวกนี้ได้โดยง่าย คนที่มีระบบการคิดแปลก ๆ และใจกล้าบ้าบิ่นไม่ได้ปรากฏแค่ในภาพยนตร์ระทึกขวัญเท่านั้น บางครั้งโลกก็เหวี่ยงพวกเขามาให้เราเดินสวน กระทบไหล่ หรือแย่ที่สุดคือมาเป็นเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศ แถมภาวะจิตป่วนก็มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอีกด้วย ทำให้หนุ่ม ๆ ต้องระแวดระวังเป็นพิเศษ เพราะเพื่อนชายในออฟฟิศอาจไม่ได้คิดดีกับคุณเสมอไป แล้วเพื่อนร่วมงานแบบไหนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคจิตและเราควรตีตัวออกห่างมากที่สุดกันล่ะ? “จะไปกลัวอะไรวะ ไม่มีใครรู้หรอก” ถ้าคุณมีเพื่อนร่วมงานที่แสวงหาความตื่นเต้น ใช้ชีวิตโลดโผน และรักที่จะเสี่ยงอันตราย เพราะไม่เคยกังวลเรื่องความปลอดภัยของตนและผู้อื่น นี่เป็นอีกสัญญาณที่บอกว่าเพื่อนร่วมงานของคุณคนนี้อาจไม่ปกติ เขามักจะโน้มน้าวเพื่อนในออฟฟิศให้เข้าร่วมกิจกรรมแสนอันตราย หาเรื่องแกล้งคนโน้นคนนี้อยู่เรื่อย แอบทำงานนอกในเวลางาน หรือแม้แต่หนีการประชุมที่หัวหน้าไม่ได้เข้า แม้จะไม่ใช่คนโรคจิตทุกคนที่จะทำพฤติกรรมเช่นนี้ แต่พวกเขาค่อนข้างมีความสามารถที่จะพาคนอื่นไปผจญหรือเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องอันตรายในหัวพวกเขา “อ๋อ! เรื่องนี้ผมดูข่าวมาเมื่อเช้าเลยครับ จริง ๆ ไม่น่าจะใช่แบบนั้นนะ ” อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเพื่อนร่วมงานจิตป่วนคือเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ รอบรู้ทุกเรื่องราว และดึงดูดผู้คนอย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยพฤติกรรมเก่งกล้าบ้าบิ่นเกินบรรยาย บวกกับความพยายามที่จะตั้งตนเป็นศูนย์กลางจักรวาลในออฟฟิศ ทำให้คนอื่นมองเขาว่าโดดเด่นกว่าใคร ๆ
นอกจากการทำงานไปวัน ๆ สิ่งหนึ่งที่เวิร์กกิ้งแมนอย่างเราตั้งเป้าหมายเอาไว้เบื้องหน้าคงหนีไม่พ้น ‘ความสำเร็จ’ แม้มันจะเป็นเพียงคำนามนามธรรมที่ไม่มีรูป รส กลิ่น และเสียงที่แน่นอน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือฟันเฟืองทรงประสิทธิภาพที่คอยขับเคลื่อนผู้ชายเราให้ตั้งใจใช้ชีวิตและมุ่งมั่นกับงานที่ทำ เพื่อหวังว่าสักวันเราอาจประสบความสำเร็จอย่างใครเขา เป้าหมายที่เรียกว่า “ความสำเร็จ” ไม่ได้มีไว้แค่พุ่งชน หากยังคอยเตือนใจในวันที่หนุ่ม ๆ ท้อแท้ หมดหวัง และคิดจะเลิกล้มสิ่งที่ตรากตรำทำมาเกือบตลอดชีวิต วันนี้ UNLOCKMEN ขอเป็นอีกแรงที่ช่วยพิสูจน์อัตราความสำเร็จของพวกคุณทุกคน ด้วย 5 สัญญาณที่บอกว่าคุณเริ่มก้าวขึ้นบันไดความสำเร็จไปแล้ว (แม้คุณอาจไม่เคยรู้ตัวมาก่อน) เข้าใจนิยามความสำเร็จ หากพูดถึงความสำเร็จหลายคนมักจะถูกพรางตาด้วยการมีบ้านหลังใหญ่โต รถยนต์หรูจอดขนาบข้าง และมีกลุ่มเพื่อนผู้ทรงอิทธิพล แต่แท้ที่จริงแล้วฐานะและวัตถุนิยมหาได้เป็นคำจำกัดความของความสำเร็จแต่อย่างใด เนื่องด้วยแต่ละคนนั้นมีเป้าหมายและจุดสูงสุดในชีวิตที่ต่างกัน นิยามความสำเร็จจึงเป็นเรื่องปัจเจกที่ไม่เข้าใครออกใคร มีงานวิจัยจาก Strayer University เผยว่า 90% ของคนอเมริกันเชื่อว่าความสุขเป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจทรัพย์หรือศักดิ์ศรี มี 67% คิดว่าความสำเร็จคือความสัมพันธ์อันดีต่อเพื่อนและครอบครัว ในขณะที่ 60% นิยามความรักในอาชีพที่เลี้ยงปากท้องว่าเป็นความสำเร็จ และมีเพียง 20% เท่านั้นที่เห็นว่าความมั่งคั่งทางการเงินเป็นตัวชี้วัดและกำหนดความสำเร็จ หากคุณเข้าใจความหมายของความสำเร็จในแบบฉบับของตัวคุณเองได้ นั่นแปลว่าคุณประสบความสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง มองโลกในแง่ดีและเต็มไปด้วยความหวัง ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเลวร้ายเป็นอีกส่วนของชีวิต โลกอาจจะเหวี่ยงคนไม่ดีหรือเรื่องแย่ ๆ มากระทบไหล่เราอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหน หากหนุ่ม