“แค่คิดว่าอยากแก้ จะรื้อแล้วให้ผมเสกขึ้นมามันทำไม่ได้หรอกนะ” “ช้าที่พี่แล้วมาบีบเวลาผมตอนท้ายให้งานมันเสร็จ มันไม่ได้นะพี่” “ก็พี่บรีฟไว้อย่างนี้ ทำไปจนเสร็จแล้วโละ บอกไม่ใช่ที่อยากได้ได้ไง” เราเชื่อว่าใครที่ต้องทำงานกับคนหลายคน หรือทำงานที่ควบคุมให้จบในตัวไม่ได้ คงต้องเคยพูดประโยคด้านบนกันสักหนสองหนหรือมากกว่านั้น เผลอ ๆ ระหว่างพูดคงมีเงื้อหมัด พูดสบถระบายอารมณ์กันบ้าง การทำงานที่เฟืองทุกชิ้นของระบบไม่ได้ทำงานเต็มร้อยพร้อมกัน หรือต่อให้ทำงานได้เต็มที่สุดฝีตีนแต่ผลสุดท้ายก็ยังพังไม่เป็นท่าเพราะลูกค้าปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า “เห็นภาพงานไม่ตรงกัน” ส่วนมากมักเกิดจากจุดอ่อนของกระบวนการทำงานแบบดั้งเดิมที่แต่ละงานทุกคนจะส่งต่องานกันแบบไม้ผลัดซึ่งคนในวงการ IT นิยามการทำงานแบบนี้ว่า Waterfall Waterfall คือระบบการทำงานแบบส่งต่อไม้ผลัด ลองคิดภาพตามว่าถ้าเราลงวิ่งผลัดในสนามที่ทีมเรามีสมาชิกวิ่งอยู่ 4 คน คนแรกออกวิ่งส่งต่อให้คนที่สอง คนแรกก็จะไม่รู้เรื่องของคนอื่นนอกจากคนที่สองที่ตัวเองต้องส่งไม้ให้ หรือถ้ามีปัญหาระหว่างทาง กว่าจะไปถึงคนที่ 4 ที่เป็นไม้สุดท้าย ทุกอย่างก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วเพราะมันมาถึงจุดที่หวนกลับไปแก้ไม่ได้อีก สุดท้ายจึงต้องลงเอยด้วยการกลับไปนับหนึ่งอีกครั้ง ถ้านั่นเป็นวิถีการทำงานที่ผู้ชายอย่างเราทำอยู่ UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับแนวทางการทำงานแบบใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่าง “Agile” เทคนิกการทำงานที่ทำให้เราไหวตัวทันต่อทุกปัญหาและแก้ไขได้เสมอซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่บริษัทใหญ่ยักษ์แบบ Google หรือ Facebook ใช้งานจริง AGILE คืออะไร คำว่า “Agile” มีต้นกำเนิดจากสายพัฒนาซอฟต์แวร์ ตั้งแต่ปี 2001 โดยเกิดขึ้นจากจุดประสงค์ที่กลุ่มคน
ผู้ชายอย่างเราคุยกับใครก็อยากคุยกันแบบตรงไปตรงมา หนักแน่นมั่นคง ไม่ต้องมานั่งใส่หน้ากากปั้นแต่งคำตอบใส่กันให้เสียเวลาอันมีค่าในชีวิต แต่บทสนทนาบางรูปแบบก็ถูกวางบทบาทมาเพื่อพูดแต่เรื่องดี ๆ เท่านั้น ลองจินตนาการถึงการสัมภาษณ์งานกับองค์กรที่เราอยากทำงานด้วยใจจะขาดดูสิ เราจะเลือกตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาทุกคำถาม หรือว่าเราก็ต้องเลือกตอบบ้าง เลี่ยงตอบบ้าง เพื่อสร้างโปร์ไฟล์ให้ดูดีกันแน่ ? บางทีคนก็ไม่ได้อยากโกหกนักหรอก แต่บางสถานการณ์เราก็จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการพูดความจริงบางอย่าง เพื่อรักษาสถานะเอาไว้ ปัญหาก็คือถ้าวันหนึ่งเราต้องเป็นฝ่ายถาม แต่อยากล้วงความจริงจากอีกฝ่ายได้แบบไม่มีหมกเม็ดล่ะ เราควรต้องถามคำถามแบบไหนออกไปกันแน่ ? มีงานวิจัยจำนวนมากที่พูดถึงการถามตอบ โดยมุ่งประเด็นไปที่วิธีถามคำถามว่ามันมีอิทธิพลต่อคนตอบในรูปแบบไหน โดยเฉพาะเมื่อผู้ตอบอยู่ในสภาวะที่จำเป็นต้องปกปิดอะไรบางอย่าง เช่น ในการเจรจาทางธุรกิจ การสัมภาษณ์งาน การขายของ งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้นำกลุ่มตัวอย่างมา โดยกำหนดให้บุคคลเหล่านั้นทำหน้าที่เป็นพนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสองให้กับลูกค้า (ซึ่งลูกค้าก็เป็นทีมนักวิจัยที่ปลอมตัวมานั่นแหละ) ก่อนจะทำการซื้อขาย ก็จะมีคนมาบรีฟข้อมูลให้ทีมขายก่อนว่าสินค้าชิ้นนั้นเป็นอย่างไร โดยข้อมูลอย่างหนึ่งคือเจ้าเครื่องใช้ไฟฟ้านี้มันเคยพังมาแล้ว ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ไม่ว่าคนซื้อของมือสองที่ไหนก็ต้องอยากรู้อยู่แล้ว แต่ผลปรากฏว่าคนขายทุกคนไม่ได้บอกข้อเท็จจริงว่าเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสองนี้เคยพังมาก่อน ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะถ้าบอกไปก็มีแนวโน้มว่าพวกเขาอาจจะขายของชิ้นนั้นไม่ออกเลยก็ได้ อย่างไรก็ตามผู้ขายหลายคนก็ยอมบอกความจริงออกมาว่า เฮ้ย สินค้านี้มันเคยพังนะครับคุณ ซึ่งความแตกต่างระหว่างคนที่เผยความลับกับคนไม่เผยความลับก็คือ “วิธีการถาม” นั่นเอง ถ้าถามถูกวิธี ก็จะได้คำตอบที่เราต้องการได้ไม่ยาก “สินค้าชิ้นนี้มีปัญหาอะไรบ้าง?” คือคำถามที่ล้วงคำตอบมาได้มากที่สุด โดยผู้ขาย 89% ยอมบอกว่าสินค้าชิ้นนี้เคยพังมาก่อนจริง ๆ แถมเล่าประวัติการพังให้ฟังด้วย ในขณะที่คำถามที่ดูซอฟต์ลงมาหน่อยอย่าง “สินค้าชิ้นนี้มันไม่มีปัญหาอะไรหรอกเนอะ ใช่ไหม ?” จะมีผู้ขาย
โลกของการทำงานที่พวกเราต้องเจอคนร้อยพ่อพันแม่ คงต้องมีสักครั้งที่เราเจอกับ “บุคคลมลพิษ” อุดมเรื่องแย่ ทั้งความเห็นแก่ตัว โม้เก่ง หลงตัวเอง ใช้ทุกวิถีทางเหยียบหัวคนอื่นให้ตัวเองดูดี โกงแค่ไหนก็ชิลได้เหลือเชื่อ เรื่องผิดจรรยาบรรณมันก็ทำได้สบาย แต่ตลกร้ายคือเจ้านายชอบโปรโมตคนพวกนี้เสียเหลือเกิน เพื่อคลายความสงสัยว่าทำไมเจ้านายดันไร้วิจารณญาณมองไม่เห็นด้านลบเหล่านี้ วันนี้เราจึงล้วงคำตอบจากการวิจัยมาบอก รับรองเลยว่าคุณจะเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นอย่างแน่นอน ที่สำคัญยังได้วิธีเอาชนะ จนเจ้านายมองเห็นค่าของตัวเราด้วย ไขความลับคนลบ ๆ ทำไมเจิดจ้าในสายตาเจ้านาย ผลวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน Personality and Individual Differences ที่ Klaus J Templer วิจัย ชี้ให้เห็นว่าทักษะด้านการเมืองมีอิทธิพลกับการเติบโตในหน้าที่การงาน ใครที่คิดภาพไม่ออกว่าทักษะพวกนี้มันหน้าตาเป็นอย่างไรก็ให้คิดถึงนักการเมืองสักคนเวลาทำงาน เขาจะมีคลังคำพูดจูงใจดี ๆ ขนมาใช้ มีความเป็นนักไกล่เกลี่ย ประนีประนอม และเก่งเรื่องแสดงความจริงใจในใบหน้าให้อีกฝ่ายเห็น ฟังดูทักษะการเมืองมันก็มีแต่ทักษะดี ๆ ใช่ไหมล่ะ? แต่เรื่องแปลกคือมันมักอยู่ในคนที่ไม่ดีซะงั้น ซึ่งเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้พูดปรักปรำแบบส่ง ๆ แต่ใช้วิธีสุ่มสำรวจจากกลุ่มพนักงานจำนวน 110 คนให้ประเมินสกิลด้านการเมืองกันสักหน่อยว่าตัวเองมีมากน้อยแค่ไหน จากนั้นค่อยนำคนเหล่านี้ไปทำแบบสำรวจเช็กบุคลิกภาพจากหนังสือ H-factor of personality หนังสือที่ว่าด้วยหกมิติพื้นฐานของบุคลิกภาพมนุษย์ ใครที่ได้คะแนนสูงจัดว่าเป็นคนซื่อสัตย์อ่อนน้อม ส่วนคนไหนคะแนนปิ๋วค่อนไปทางต่ำก็แน่นอนว่าเป็นไปในทางตรงข้าม จากนั้นเอามาเทียบกันแล้วเอาไปสอบถามความเห็นจากหัวหน้าอีกที
ผู้ชายวัยทำงานอย่างเรา ๆ คงจะเข้าใจดีถึงการใช้ชีวิตในโหมดบ้าพลังตั้งใจทุ่มเททำงานอย่างหนักหน่วง เพื่อเป้าหมายปลายทางในการไขว่คว้าหาความสำเร็จมาครอบครอง เรียกได้ว่าบ่อยครั้งที่ลุยงานหามรุ่งหามค่ำกันแบบลืมเหนื่อย แต่ถึงแม้ใจจะไหวเกินร้อย สุดท้ายร่างกายที่ไม่ใช่เครื่องจักรยังไงก็ต้องมีวันหมดพลังเหนื่อยล้าอ่อนแรงกันบ้าง และถึงแม้หลายคนจะคิดว่า เหนื่อยกายแค่นี้มันจิ๊บจ๊อย เพราะมั่นใจว่าดูแลร่างกายตัวเองอย่างดี พักเดี๋ยวเดียวก็หาย แต่ถึงแม้จะฟิตแค่ไหนเมื่อต้องเจอกับการใช้ชีวิตรวมถึงการทำงานแบบใส่เต็มเหนี่ยวอย่างต่อเนื่องคงหนีไม่พ้นจากภาวะเหนื่อยล้าสะสม ครั้นจะหนีไปนอนพักร่างชาร์จพลังยาว ๆ มนุษย์งานเดือดอย่่างพวกเราก็คงไม่มีเวลามากขนาดนั้นวันนี้ UNLOCKMEN จึงขออาสามาแนะนำวิธีปลุกพลังให้ฟื้นคืนจากความเหนื่อยล้าแบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับเป็นหนทาง Boost Up Energy ในยามเร่งด่วน ให้ชีวิตกลับมาสดชื่นแจ่มใสพร้อมลุยเต็มที่ในทุก ๆ วัน PEPPERMINT ใครจะไปคิดว่าใบมิ้นต์หรือสะระแหน่ใบเล็ก ๆ จะช่วยพลิกฟื้นคืนพลังให้กับเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Sport and Exercise Psychology โดยศาสตราจารย์ Bryan Raudenbush ผู้อำนวยการฝ่ายงานวิจัยแห่ง Wheeling Jesuit University ได้ค้นพบข้อสรุปที่ว่ากลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์นั้นช่วยให้นักกีฬาแกร่งขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยการทดสอบสมรรถภาพนักกีฬาจำนวน 40 คน ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง ทั้งที่มี และไม่มีกลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ โดยขณะที่นักกีฬาอยู่ในห้องเปปเปอร์มิ้นต์นั้นจะสามารถวิ่งได้เร็วกว่า วิดพื้นได้จำนวนครั้งมากกว่า
เพิ่งจะ TGIF ไปไม่นาน เผลอแป๊ปเดียววันจันทร์มาเยือนอีกแล้ว แค่คิดว่าพรุ่งนี้ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าก็รู้สึกท้อ ไหนจะต้องเผชิญกับการจราจรห่วยแตก งานน่าเบื่อ หัวหน้างานงี่เง่าอีก วันจันทร์เลยกลายเป็นวันที่ทุกคนพร้อมใจกันเกลียด แต่นอกจากเหตุผลเหล่านี้แล้วยังมีเหตุผลอีกหลายข้อที่ทำให้วันจันทร์เป็นวันที่ทุกคนไม่อยากให้มันมาถึง ใครที่เกลียดวันแห่งสีเหลืองวันนี้เหมือนกัน มาหาคำตอบไปพร้อมกัน และ UNLOCKMEN พอจะมีวิธีแก้คร่าว ๆ ให้ หลับสนิททั้งคืน แต่ตื่นมายังงัวเงีย หลังจากปาร์ตี้มาอย่างสุดเหวี่ยงในคืนศุกร์-เสาร์ วันอาทิตย์คือวันพักผ่อนของเหล่าคนทำงาน อยู่บ้านไม่ออกไปไหนและตั้งใจจะเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อจะได้ตื่นไปทำงานอย่างสดชื่น หลังจากที่คุณหลับสนิท 8 ชั่วโมงรวดโดยไม่มีการสะดุ้งตื่นกลางคันเลย แต่คุณกลับตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เชื่อว่าหลายคนคงเคยเป็น ถ้าคุณหลับสนิทดีแปลว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การนอนของคุณแล้วล่ะ น่าจะอยู่ที่ ‘แรงบันดาลใจ’ ต่างหาก เปรียบเทียบกับการออกทริปต่างจังหวัดกับเพื่อน ๆ เพื่อให้เห็นภาพชัด ๆ ในตอนนั้นคุณเที่ยวมาทั้งวัน แถมตอนกลางคืนยังปาร์ตี้กันจนเละเทะอีกต่างหาก แต่คุณกลับตื่นขึ้นมาอย่างแจ่มใส พร้อมจะลุยวันใหม่ นั่นเป็นเพราะคุณตื่นเต้นและรู้ดีว่าเมื่อตื่นขึ้นมาจะพบความสนุก แต่วันจันทร์ที่เป็นวันทำงานวันแรกและคุณรู้ว่าสิ่งที่น่าเบื่อกำลังรอคุณอยู่จึงทำให้คุณรู้สึกอยากนอนอยู่บนเตียงต่อไปมากกว่า ปัญหาของเรื่องนี้อาจจะอยู่ที่ว่าคุณไม่ได้รักงานของคุณมากพอหรือเปล่า? วิธีแก้: ลองหาส่วนที่คุณชอบที่สุดของงานของคุณดู บอกตัวเองว่าวันจันทร์เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้คุณได้กลับไปทำในสิ่งที่รักนั้น คุณน่าจะรู้สึกดีกับวันจันทร์มากขึ้นแน่ ๆ อย่าเพิ่งมา ยังไม่พร้อม! เหตุผลข้อนี้ตรงข้ามกับข้อแรก ด้านบนเป็นคนที่เตรียมตัวพร้อมสำหรับวันจันทร์แต่ก็ยังรู้สึกเบื่อ แต่ในข้อนี้สำหรับคนที่ยังเตรียมตัวไม่พร้อม คุณอาจจะมีงานค้างต้องทำในช่วงสุดสัปดาห์แต่คุณดันปาร์ตี้เพลินจนลืมหรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่จนคุณลืมทำงาน แน่นอนว่าคุณจะต้องโดนเจ้านายระเบิดใส่จึงเกิดกลัวและไม่อยากให้วันจันทร์มาถึง วิธีแก้: เหตุผลข้อนี้แก้ไม่ยากเลย
นาฬิกาก็ทำหน้าที่ของมันตามเดิม แต่ทำไมเข็มนาฬิกาแต่ละวันกลับเดินไม่ตรงกับใจพวกเราเอาเสียเลย 8 ชั่วโมงของการทำงานจันทร์ถึงศุกร์ที่เราทุ่มเทให้มัน ชาว UNLOCKMEN คงต้องเคยเจอช่วงว่าง ๆ เพราะความ Productive ของตัวเองที่ทำงานเร็วจนไม่เหลืออะไรให้ทำ หรืองานที่เคยโดน Assign มาช่วงนี้มันหดหายไปจนทำให้รู้สึกเบื่อกับการนับถอยหลังให้ถึงเวลาเลิกงานใช่ไหม ? เพื่อให้เวลามันกลับไปไวตามใจเหมือนเดิม ลองมาหากิจกรรมยามว่างที่มีค่ามากกว่าการหายใจทิ้งหรือขยับดู Netflix ไปเรื่อย ๆ แบบที่ทำประจำดีกว่า เราอยากแนะนำ 5 วิธีนี้ให้ไปทำกันดู รับรองว่ากว่าจะรู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็เตรียมลับขอบฟ้าแล้ว แถมเป็นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าด้วย ปลุกพลังจากความชอบมาคิดโปรเจ็กต์ใหม่ โปรเจ็กต์เดิมเสร็จแล้ว โปรเจ็กต์ใหม่เกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นจงใช้เวลาว่าง ๆ นี้ไล่กวดความคิดความชื่นชอบอีกด้านของคุณเสีย ถ้าชอบวาดรูปก็ลองจับปากกาขึ้นวาดดู หรือถ้าชอบมาร์เก็ตติ้งก็ตามข่าวที่มีอยู่เต็มโลกออนไลน์ในด้านนั้นเสีย ไม่แน่ว่าระหว่างการไล่ล่าความฝันมันอาจปลุกพลังมาสร้างไอเดียไว้ต่อยอดเป็นโปรเจ็กต์ใหม่ในออฟฟิศที่ทำให้ KPI ปลายปีล้นช่องออกมาได้ก็ได้ ที่สำคัญยังเป็นการคิดไอเดียใหม่ ๆ ที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้อีกด้วย เปิด Podcast หรือฟังไฟล์ Audio ทั้งหลาย ถ้าวันนี้มีงาน Routine ง่าย ๆ มา แต่ไม่ต้องใช้สมาธิมากนักทำให้รู้สึกอยากฆ่าเวลา การฟังเสียงโดยไม่ต้องสนใจมองนาฬิกาข้างฝาหรือด้านล่างจอคอมฯ จะช่วยสร้างความบันเทิงให้เราลืมความเบื่อได้ เดี๋ยวนี้มี
ชีวิตที่ดีต้องมีแต่ความสุข คำพูดที่ถูกปลูกฝังมาจากหนังสือและแรงบันดาลใจจากกูรูหลากหลายอย่างหนัก ดูเผิน ๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ในชีวิตจริงคงเป็นไปได้ยากที่จะมีความสุขได้ตลอดเวลาขนาดนั้น วันนึงเราเกิดสงสัยในความจริงเรื่องนี้ว่า ยิ่งโดนปลูกฝังให้มีความสุขตลอดเวลา มันยิ่งรู้สึกเหนื่อยในการพยายามประคองรักษาระดับความสุขของตัวเอง เกิดเป็นปมเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า คนอื่นเค้ามีความสุขกัน แล้วทำไมเราถึงต้องเศร้า ต้องอารมณ์ไม่ดี ทั้งที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวนอกเหนือการควบคุมนั้น พร้อมที่จะทำให้เราเสียใจได้ตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่การจราจร เพลงเศร้า ลูกค้าด่า เจ้านายคลั่ง ของหาย และอื่น ๆ อีกมากมาย “You should take the approach that you’re wrong, Your goal is to be less wrong”- Elon Musk สิ่งที่เราสนใจคือการได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ Elon Musk ที่มีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาเหนือกว่าคนอื่น ส่วนนึงมาจากความสามารถรับมือกับความผิดพลาด ตัวเค้าผ่านความผิดพลาดมาชนิดนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยความชอบทดลองลงมือทำอะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา Musk มองว่าเป้าหมายของเค้าไม่ใช่การไม่ผิดพลาด แต่เป็นการเอาชนะความเสียใจจากความผิดพลาดนั้น และพยายามผิดพลาดให้น้อยลง จนกระทั่งไม่ผิดพลาดเลย การใช้ข้อดีจากความเสียใจในข้อผิดพลาดของ
แพสชั่น ความหลงใหล หรือความชื่นชอบต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างถึงแก่น กลายเป็นเหมือนสูตรสำเร็จของผู้คนยุคสมัยนี้ไปแล้ว ผู้ชายอย่างเรา ๆ ก็หนีไม่พ้น ไม่ว่าจะได้งานที่ไหน ใคร ๆ ก็พากันพูดถึง “แพสชั่นในการทำงาน” กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น “หาแพสชั่นในงานนี้ให้เจอสิ” , “ทำงานแบบมีแพสชั่นหน่อย”, “ถ้าไม่มีแพสชั่น ทำงานแค่ไหน ก็ไปไม่ถึงจุดพีคหรอกเว้ย!” และอีกสารพัดบทท่องจำที่เมื่อไหร่ใส่คำว่า “แพสชั่น” เข้ามาในบทสนทนา คำพูดนั้นจะกลายเป็นคำพูดปลุกใจโคตรศักดิ์สิทธิ์ที่่ล่อลวงผู้ชายอย่างเราให้ไฟลุก รีบตามหาแพสชั่นของชีวิตกันแบบสุดหล้าฟ้าเขียว แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า UNLOCKMEN อยากบอกว่า “แพสชั่นไม่ใช่ยาวิเศษของชีวิตและการทำงาน” และมันอาจมีผลเสียมากกว่าที่คิด ถ้าเราเอาชีวิตไปผูกติดกับคำ ๆ เดียวอย่าง “การหาแพสชั่นให้เจอ” การท่องคำว่าแพสชั่นซ้ำ ๆ เหมือนล้างสมองตัวเองอาจต้องถูกพักเอาไว้ก่อน เพราะงานวิจัยที่มีชื่อว่า Implicit Theories of Interest: Finding Your Passion or Developing It? ที่เขียนขึ้นโดยนักจิตวิทยาจาก Yale-NUS College แห่ง National University
ผู้ชายอย่างเรามักคิดว่าคนที่รู้สึกผูกพันกับองค์กรคือคนเก่ง คนกระตือรือร้น หรือคนที่ทำงานได้ดีมากๆ แต่กลายเป็นเรื่องช็อกระดับโลกเมื่องานสำรวจชิ้นหนึ่งออกมาบอกว่าคนที่ทำงานเก่งหรือทำงานแบบมีประสิทธิภาพกว่า 42% ไม่มีความรู้สึกสัมพันธ์หรือเป็นส่วนหนึ่งกับองค์กรเอาเสียเลย! (โดยเขาก็นิยามความสัมพันธ์กับองค์กรไว้ว่ารู้สึกพอใจกับองค์กร รู้สึกมีแรงบันดาลใจจะทำงาน) ในขณะที่คนที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพน้อยกว่าจะรู้สึกมีความสุขกว่า มีแรงบันดาลใจกว่า (เพราะทำงานได้เรื่อย ๆ ไม่กดดัน) เฮ้ย มันเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ? คนที่เก่ง ๆ ทำงานประสิทธิภาพสูง ๆ ก็ควรจะเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและมีความสุขกับงานสิ แต่ทำไมการเป็นคนทำงานเก่งจึงกลายเป็นความโศกเศร้าเจ็บปวดไปได้ ? ยิ่งทำงานเก่งยิ่งได้ทำงานที่แย่ที่สุด!? อย่าเพิ่งปฏิเสธข้อมูลนี้ แต่ลองสวมจิตวิญญาณบอสผู้กุมบังเหียนบริษัทข้ามชาติ ที่มีงานแต่ละชิ้นเป็นเดิมพันความเสียหายระดับหลายสิบล้าน แล้วบริษัทเราดันมีงานใหญ่ งานด่วนเข้ามาตอน 4 โมงเย็นวันศุกร์ แล้วต้องเสนอลูกค้าตอน 9 โมงเช้าวันจันทร์ งานนี้จะพลาดไม่ได้ เพราะการพลาดแค่ก้าวเดียวหมายถึงการเสียความน่าเชื่อถือครั้งใหญ่ ในฐานะบอส เราจะทำงานใหญ่ให้เสร็จด้วยตัวคนเดียวก็คงเป็นไปไม่ได้ และเมื่อเราต้องมองหาพนักงานในองค์กรสักคนที่จะเข้ามาช่วยรับมือโปรเจ็กต์ใหญ่ในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ เราจะให้คนที่เพอร์ฟอร์แมนซ์การทำงานกลาง ๆ ช่วยเรา หรือจะให้คนที่เราเห็นว่าเพอร์ฟอร์แมนซ์ดีเกิน 90% มาช่วยเรา ? คงพอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมว่าบางครั้งการเป็นคนทำงานดี ทำงานเก่ง หรือทำงานเข้าตาบอสก็เจ็บปวดไม่เบา เพราะทุกครั้งที่มีงานด่วน งานเร่ง งานที่ต้องการการเสียสละมาก ๆ คนเก่งจะต้องรับหน้าที่นั้น จึงเป็นเหตุผลว่าคนทำงานดีต้องรับน้ำหนักความกดดันในงานแต่ละชิ้นมากกว่า
ถ้าเราบอกคุณว่า “อีกไม่กี่ปีข้างหน้าพวกเราอาจต้องเป็นทาส AI” คุณจะเชื่อมันไหม จะรู้สึกยังไง โกรธที่เราพูดแบบนี้ ท้อแท้ใจ หรือบ่นงึมงำในลำคอว่า UNLOCKMEN เชียร์ AI เก่งเหลือเกิน แต่ไม่ว่าคุณจะคิดแบบไหนก็ตามความก้าวหน้าที่กำลังจะได้เห็นต่อจากนี้มันคงไม่มีวันถอยหลังอย่างแน่นอน ทีนี้มันก็อยู่ที่ว่าพวกเราจะยอมแพ้ให้กับสิ่งที่เห็นไหม หรือฮึดลุกขึ้นมองหาลู่ทางอื่น และพยายามหาทางหวดคืนเพื่อก้าวเหนือมันให้ได้ Why AI might takes all? “จะเก่งแค่ไหนกันเชียว มันก็เป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น?” อย่าเพิ่งพูดประโยคนี้ถ้าคุณไม่รู้ว่าวันนี้บรรดาสมองกลทั้งหลายทำอะไรได้บ้าง เรื่องแรก AI ไม่ได้เป็นแค่โค้ดลาย ๆ ในจอคอมพิวเตอร์ที่คอยดูดข้อมูลเราไปประมวลผลหรือแข่งขันเรื่องคำนวณเท่านั้น หลังตัดสายสะดือจากจอปุ๊ป มันจะกลายเป็นรูปแบบไหนก็ได้ชนิดที่เราคาดไม่ถึงทันที เรื่องที่สองเมื่อ AI โดดออกมาจากจอมันไม่ใช่หุ่นกระป๋องต๊อกต๋อยรูปทรงสี่เหลี่ยมอีกต่อไป และเรื่องที่สามอย่าประเมินต่ำว่า AI จะไม่มีวันเลื่อยขาเก้าอี้ของเราได้ เพราะเราไม่ได้ทำงานในอุตสาหกรรมประเภทโรงงาน แล้ววันนี้อาชีพที่ AI จะเข้าไป take over ได้เพิ่มเติมจากอาชีพที่เราเคยรู้คืออะไรกันบ้างมาเช็กดู HELLO INFLUENCER, HELLO STRANGER เชื่อว่าผู้ชายทุกคนต้องมีคนดังในใจที่เราคอยตาม follow กัน แต่แน่ใจได้จริงเหรอว่าคนในหน้าจอที่เราเห็นคือมนุษย์ตัวจริง ไม่ใช่กราฟฟิกสวมวิญญาณจากสิ่งแปลกปลอมอื่น เมื่อล่าสุดผลงานของ Hakuhodo Tokyo