ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยการสื่อสาร ไม่ว่าจะการทำงาน ความสัมพันธ์ หรือเรื่องยิบย่อยอะไรก็ตาม เมื่อใดก็ตามที่เราพูดถึงการสื่อสาร เราก็มักเชื่อมโยงมันเข้ากับการพูดหรือการส่งเสียงเสมอ ใครจะรู้ว่า “ความเงียบ”ก็เป็นการสื่อสารที่ทรงพลังได้เช่นกัน และนี่คือ 6 วิธีที่เหล่าผู้นำและผู้มีอิทธิพลเลือกใช้ เพื่อแปรเปลี่ยนความเงียบใบ้ให้การเป็นการสื่อสารสุดทรงพลังได้ เงียบเพื่อสร้างความเชื่อใจ ถ้าเราคือคนหนึ่งที่ต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงขั้นที่ทรงประสิทธิภาพ อย่างหนึ่งที่เราจะขาดไม่ได้คือการสร้าง “ความเชื่อใจ” กับคนตรงหน้า และความเชื่อใจนั้นจะเกิดไม่ได้เลยถ้าเราไม่รู้จักเงียบลงบ้าง ดังนั้นความเงียบจึงเป็นอีกหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อใจในบทสนทนา การเงียบเพื่อฟัง จะทำให้เราเรียนรู้ตัวตนอีกฝ่ายมากขึ้น และเมื่อใดที่เขาสัมผัสได้ว่าเรากำลังรับฟังเขา เมื่อนั้นเขาก็จะรับฟังเราเช่นกัน เงียบเพื่อเน้นประเด็นให้ชัด คำพูดคือการสื่อสารที่ทรงพลัง แต่ถ้าพูดมากไป อาจทำให้ผู้ฟังไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าเราสนใจประเด็นไหนที่สุด หรือประเด็นไหนที่เราให้ความสำคัญที่สุดกันแน่ ? ดังนั้นในที่ประชุม การใช้ความเงียบในบางประเด็นที่เรารู้ไม่จริง หรือไม่ได้มีความเห็นเป็นพิเศษ เราอาจแค่นิ่งเงียบไว้ รอจังหวะที่เรารวบรวมประเด็นได้ดีแล้ว หรือถึงหัวข้อที่เราสนใจเป็นพิเศษแล้วแสดงความเห็นออกมา ประเด็นที่เราพูดจะได้รับความสนใจมากกว่าการพูดไม่หยุดตลอดการประชุมแน่นอน เงียบเพื่อเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการต่อรอง ระหว่างการต่อรองอะไรบางอย่าง ความเงียบอาจทำให้เรากลายเป็นผู้คุมเกมที่เหนือกว่า จินตนาการถึงการต่อรองอะไรสักอย่างที่ดุเดือด เมื่อคู่สนทนาของเราเงียบลง เรามักจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นวะ!? เขาคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ? เราเองก็ใช้ไม้นี้ได้เช่นกัน หรือเมื่อมีคนถามคำถามเพื่อหยั่งเชิงอะไรเราบางอย่าง แทนที่เราจะตอบรับหรือปฏิเสธไปในทันที ลองนิ่งเงียบดูสักพัก ให้เขาเกิดความลังเลสงสัย หลายครั้งที่คู่สนทนาเราจะทนไม่ได้ ต้องสร้างบทสนทนาขึ้นมาเติมเต็ม และเมื่อนั้นเราจะเป็นต่อทันที เพราะเราจะได้ข้อมูลจากฝั่งนั้นมาเพื่อพิจารณามากขึ้น เงียบเพื่อเพิ่มพลังให้คนอื่น ผู้นำที่ดีต้องรู้จักเงียบเพื่อรับฟังความคิดเห็นคนในปกครอง
ถ้าปี 2017 เป็น ‘ปีชง’ ของ Uber ที่เจอมรสุมข่าวฉาวจน ทราวิส คาลานิก ผู้ร่วมก่อตั้งยอมออกจากตำแหน่งซีอีโอ ผู้รับไม้ต่อในปี 2018 ก็คือ Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ยักษ์รายนี้ถูกเพ่งเล็งและโจมตีต่อเนื่องว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของข่าวปลอม (Fake News) ระบาดในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และยิ่งตกเป็นเป้าโจมตีหนักหน่วงในกรณีข้อมูลของผู้ใช้รั่วไหลโดยบริษัท Cambridge Analytica มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ได้ขึ้นให้การเป็นพยานเพื่อชี้แจงข้อพิพาทต่างๆ ของ Facebook ต่อหน้าสภาคองเกรสในสหรัฐอเมริกา และรัฐสภายุโรปไล่เลี่ยกันเดือนเมษายน-พฤษภาคม “เราไม่ได้มีมุมมองที่กว้างพอในเรื่องการแสดงความรับผิดชอบ และนั่นคือความผิดพลาดครั้งใหญ่” “ผมก่อตั้งเฟซบุ๊กขึ้นมา บริหารมัน และผมก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น” Mark Zuckerberg F8 2018 Keynote Photo: Anthony Quintano / Creative Common แม้ว่ามาร์กจะพยายามกอบกู้สถานการณ์ด้วยการขอโทษสาธารณชนทั่วโลก ปรับ News Feed หนุนเรื่องคนกับคอมมูนิตี้เต็มที่ แต่คนแวดวงธุรกิจและสื่อต่างวิพากษ์เป็นเสียงเดียวกันว่า Facebook สูญเสียความน่าเชื่อถือไปมาก ผู้ใช้งานบางส่วนรู้สึกถูก ‘ทำลายความไว้วางใจ’ (trust)
ต่อให้บริษัทสร้างระบบอีเมลทั้งหลายจะพยายามสร้างเงื่อนไขการตั้งพาสเวิร์ดให้มันยาก ทั้งอักขระ ตัวเลข และตัวอักษรให้ผสมกันเพื่อป้องกันคนภายนอกแฮ็กได้ แต่ถ้ารู้ความจริงว่าสิ่งที่ตั้งใจช่วยรักษาแทบตาย บรรดาพนักงานที่ใช้ดันมีพฤติกรรมไม่แคร์ หรือแจกคนอื่นให้เข้าอีเมลตัวเองกันได้สะดวกคงต้องถอดใจเพราะไม่รู้จะแก้ยังไง Confidential หรือการรักษาความลับของอีเมลสำคัญแค่ไหน คนที่ยังไม่เจอกับตัวอาจจะยังไม่รู้ แต่ตามบริษัทใหญ่เขารู้ดี เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีมือดีเข้ามาแฮ็กข้อมูล อาจหมายถึงความเสียหายทางธุรกิจจำนวนมหาศาล ส่วนใหญ่บริษัทที่โชคดี หวยออกเข้าอย่างจังมักจะเป็นบริษัทที่มีไซซ์ขนาดเล็กหรือขนาดกลางเท่านั้น โดยรายงานระบุจำนวนบริษัทที่ถูกโจมตีทางไซเบอร์มีมากถึง 4,000 ครั้งต่อวันแถมมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นด้วย! และปลายทางของบริษัทที่โดนแฮ็กส่วนใหญ่จะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือนหลังจากนั้น จากรายงานของ Switchfast บริษัทให้คำปรึกษาและให้บริการการจัดการด้านไอทีใน Chicago เผยข้อมูลการสำรวจที่จัดทำกับผู้บริหารบริษัทขนาดเล็กจำนวนกว่า 600 บริษัทเกี่ยวกับพฤติกรรมการรักษาความปลอดภัยด้านไอที พบว่าส่วนมากพนักงานทุกระดับคือต้นตอเรียกแขกอย่างแฮ็กเกอร์มาด้วยเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ บริษัทขนาดเล็กหรือกลางมักไม่มีมาตรการรับมือความปลอดภัยด้านไอที 35% ของพนักงานและ 51 % ของหัวหน้ามักคิดว่าบริษัทของตัวเองไม่ใช่เป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์ 44% ของพนักงานและ 66% ของหัวหน้าเชื่อมต่ออีเมลกับ Wi-Fi สาธารณะ หรือสถานที่ภายนอกองค์กรอย่างร้านกาแฟหรือล็อบบี้โรงแรม ความเสี่ยงเรื่องงานมีมากไม่พอ แต่เรื่องที่น่าตกใจเป็นเงาตามตัวคือ บรรดาผู้นำทั้งหลายมักใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ออฟฟิศเข้าโซเชียลมากกว่าพนักงาน โดยคิดสัดส่วนได้เป็น 3 ใน 5 ของทั้งหมด (ผู้นำและผู้จัดการ 62%
สุภาพบุรุษทั้งหลาย เราต่างรู้ว่าการที่เรามีอายุมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นผู้มากขึ้นตามตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเสมอไป เป็นความจริงที่ว่าผู้ชายวัย 30 กว่า หรือ 40 กว่าบางท่านยังคงไม่ค่อยมีวุฒิภาวะเท่าที่ควร อันนี้ไม่ได้ว่าหรือตำหนิกัน แต่ผู้เขียนเองก็ยอมรับว่าตัวเองยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอในบางเรื่อง ก็เลยคิดว่าอยากจะนำแนวคิดที่จะช่วยให้ผู้ชายอย่างเราพัฒนาตัวเองไปด้วยกัน การโตเป็นผู้ใหญ่ในที่นี่ไม่ใช่การเป็นรุ่นใหญ่หรือมีอำนาจ แต่เป็นการซื่อสัตย์กับตัวเอง พัฒนาคาแรกเตอร์ และใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะและศีลธรรม มาดูด้วยกันว่าพวกเรามีสัญญาณแห่งความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วกี่ข้อ ขาดเหลือตรงไหนได้พัฒนาไปพร้อม ๆ กัน ทุกคนเชื่อมั่นว่าคุณจะทำตามสัญญา สิ่งหนึ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากการเป็นผู้ใหญ่ก็คือ ความน่าเชื่อถือนั้นเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ล้ำค่า คุณคงไม่อยากจะมานั่งกุ้มใจเวลาที่มีใครมาลับหลัง โดยเฉพาะบรรดา hater ทั้งหลาย ลองจินตนาการดูว่าเวลาที่เราไม่อยู่ในวงสนทนา ผู้คนในกลุ่มนั้นจะพูดถึงเราว่าอย่างไร คุณอยากเป็นคนที่เชื่อมั่นในคำพูดไม่ได้ ? คุณอยากเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ ? หรือคุณอยากเป็นคนที่ทุกคนต่างไว้เนื้อเชื่อใจ ? คนที่ทำอย่างที่ให้คำมั่นไว้ ? ใช่ เราควรพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ทุกคนเชื่อใจอย่างไร้ข้อกังขา แต่งตัวเหมาะสม การลงทุนจ่ายเพื่อซื้อเสื้อผ้ารองเท้ามาแต่งตัวให้ดีไม่ได้เป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว หรือการทำตัวเองให้น่าสนใจเสมอไป แต่การแต่งตัวให้ดูดีและเหมาะสมไม่ได้ช่วยส่งเสริมบุคลิกเท่านั้น แต่มันยังเปลี่ยนความรู้สึกของเราได้อีกด้วย หากเราหมั่นใส่ใจและสนใจในการรักษาลุคของเราในทุกรายละเอียด ก็จะทำให้เรามีระเบียบวินัยมากขึ้น คล้าย ๆ กับการเซ็ตเอาไว้ว่าต้องออกกำลังกายเป็นประจำแล้วทำตามจนคุ้นชิน หากห่างหายก็จะรู้สึกขาดหายไปด้วย Tom Ford เคยบอกไว้ว่า
‘ใครอยากเป็นเศรษฐี ฉันนะซิ ฉันนะซิ’ นี่คือมุขที่คนอายุ 30+ คุ้นหูเป็นอย่างดีจากเวทีตลกคาเฟ่ แต่วันนี้กลายเป็นมุขไม้ตายก้นถุงของผู้ชายอารมณ์ดี ดีกรีนายแบบ Domon Mini พระเอกภาพยนต์ ดารานักแสดง และบทบาทล่าสุดที่ไม่ต้องขายคาแรคเตอร์ แต่เป็นการขายตัวตนของคนเฮฮาอารมณ์ดี ผู้ชายคนนี้คือ พี่ตูน บริบั๊ก พี่ตั๊ก บริบูรณ์ นั่นเอง มักจะมีคำพูดว่า เบื้องหลังนักแสดง Comedian ส่วนใหญ่ จะต้องเป็นคนจริงจัง ซีเรียส เครียดกับงาน ไม่เล่นมุขพร่ำเพรื่อ ซึ่งดูจากลุคของคุณตั๊กแล้ว เราจินตนาการว่าจะต้องเป็นคนแบบนั้นแน่นอน แต่ภาพในหัวทั้งหมดต้องสลายไปจากประโยคแรกที่ทักทายกัน “ไม่นะ ตัวจริงพี่ก็เป็นแบบนี้แหละ” พี่ตั๊กพูดแทรกขึ้นมา ใช่ครับ สำหรับตั๊ก บริบูรณ์ หน้าจอเราเห็นเค้าเป็นยังไง หลังจอ เค้าก็เป็นคนแบบนั้นล่ะครับ หรือแม้แต่พี่เนี้ยบ คุณเอลซี่ภรรยา และน้อง Believe หลังจอครอบครัวเค้าก็เฮฮาแบบที่เราเห็นเป๊ะเลย สำหรับผู้ชายคนนี้ ไม่ต้องแสดงคาแรคเตอร์อะไร เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ เป็นวิวัฒนาการจากการเข้าวงการในฐานะนายแบบ Domon Mini ดาราพระเอกสุดหล่อ ซึ่งนั่นคือการแสดง มาสู่บทบาทที่เป็นตัวเองมากกว่าในฐานะ Comedian ที่พวกเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อเราตั้งใจทำงานแล้วรู้สึกว่าการฟังเพลงผ่านทางแพล็ตฟอร์ม streaming music หรือ podcast ต่าง ๆ มันช่างรู้สึกทำให้เสียสมาธิ งานไม่ค่อยเดิน เพราะดันเพลินไปกับเนื้อหาของเพลง แต่จะให้ไม่ฟังอะไรเลยก็รู้สึกเหงาหูอีก แบบนี้ต้องหาทางออกให้กับชายที่เป็นผู้ฟังที่ดีกันหน่อย จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับผลกระทบของเสียงที่มนุษย์ได้ยิน และอิทธิพลของมันที่มีต่อการทำงาน การเรียน หรือการทำกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องการสมาธิพบว่าความเงียบน่าจะดีที่สุด แต่ในขณะเดียวกันหากเราเลือกเสียงที่เหมาะสมกับการจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก็ส่งผลให้เรามีประสิทธิภาพในการในการทำงานมากขึ้นได้เหมือนกัน UNLOCKMEN ขอแนะนำซาวด์ที่เหมาะสมกับการโฟกัสของคุณ และเสียงที่ควรหลีกเลี่ยงหากต้องการรักษาสมาธิ สุนทรพจน์ทำหมดสมาธิ จากการวิจัยของ Cambridge Sound Management พบว่า speech หรือการกล่าวสุนทรพจน์ ทั้งที่มีซาวด์ดนตรีประกอบหรือไม่มี สามารถรบกวนสมาธิในการทำงานได้ถึง 48% เพราะว่าความหมาย และความทรงพลังของถ้อยคำที่ร้อยเรียงเป็นประโยคหล่านั้นจะดึงให้คุณหันเหไปใส่ใจจนได้ ทางที่ดีควรฟังแต่เพลงบรรเลงจะดีกว่า งานบางอย่างฟังเพลงไปด้วยแล้วโคตรเพลิน ถ้าหนึ่งใน job description ของคุณคือการคีย์ข้อมูลลงใน spreadsheet แบบนี้ดนตรีจะสร้างความเพลิดเพลินให้กับคุณได้โดยไม่เสียงาน โดยการศึกษาของ University of Birmingham ในอังกฤษ พบว่า เสียงเพลงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่มีลักษณะทำซ้ำเป็นแพตเทิร์นได้ดี ยิ่งถ้าเป็นเพลงที่มีโครงสร้างเป็น loop
หลายคนบ่นกันเหลือเกินว่า 24 ชั่วโมงมันไม่พอ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์เคลียร์ Duty ทั้งหลายไม่ค่อยลงเท่าไหร่ หัวฟูตั้งแต่ต้นสัปดาห์ยันวันหยุด ลองมาเปลี่ยนตัวเองให้ใช้เวลากันแบบชาญฉลาดดีกว่า UNLOCKMEN ขอแนะนำเทคนิคบริหารเวลาที่มีแบบเจ๋ง ๆ หายใจเข้าลึก ๆ แล้วมาจัดการตัวเองแบบมีสติ จะได้มีเวลาเหลือ ๆ นอนชิลกันบ้าง เพื่อให้ทุกวันจันทร์ของเราไม่เป็นวันที่แสนน่าเบื่ออย่างที่คนอื่นเขามีกัน แถมยังเป็นวันที่เราอยากให้มาถึง เพื่อที่จะได้ปล่อยพลังของเราให้เต็มที่ และใช้ชีวิตในวันหยุดแบบสุดเหวี่ยงได้แบบไม่มีภาระมาเกาะหลัง ปรับนิสัย รู้ว่านิสัยไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ แต่เคยลงมือหรือยังว่าตัวเองจะเปลี่ยนได้มากน้อยแค่ไหน การทำอะไรซ้ำ ๆ กัน 21 วัน หรือ 30 วัน ถูกยืนยันมาแล้วว่าช่วยให้เปลี่ยนพฤติกรรมของเราได้จริง ๆ ไม่ว่าจะเคยมีนิสัยแบบไหนมาก่อน ดูอย่างเวลาเข้างาน ไม่ว่าเราเคยตื่นสายตอนมหาวิทยาลัยแค่ไหน แต่พอมาทำงาน เราก็ต้องปรับตัวเองไปเรื่อย ๆ แม้ว่าช่วงแรกมันจะรู้สึกยากแค่ไหน แต่ถ้าหากความจำเป็นมันบังคับ เราจะค่อย ๆ หาทางให้ตัวเองทำมันได้ในที่สุดเอง ปรับพลัง แพลนก็ก็อปเพื่อนมาเลยนี่หว่า ทำไมของเรายังไม่ลงตัวซะที จริง ๆ แล้วแพลนที่เรามีมันอาจจะลงตัวแล้วก็ได้ แต่เราอาจจะทำมันด้วยพลังที่ไม่มากพอ ลองเติม Energy เข้าไปให้ตัวเองมากขึ้นมากกว่านี้
นั่งทำงานไปนาน ๆ ก็ออกจะเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ลุกขึ้นไปยืดเส้นยืดสาย บุหรี่ยามบ่ายสักตัว และถ้าได้ฟังเพลงปลุกพลังสักหน่อยคงจะช่วยให้สดชื่นขึ้นไม่น้อย สำหรับใครที่เป็นสายปลุกพลัง เพลงมันส์ ๆ เร้าใจ เราขอแนะนำ WAKE UP YOUR PASSION PLAYLIST : 10 เพลงปลุกไฟให้ลุกพรึบสำหรับปั่นงานให้หมดโต๊ะ แต่สำหรับใครที่สายชิล อยากจะได้เพลงชวน Keep Calm ยามบ่าย ปลุกไฟด้วยความชิล ลองกด PLAY กับเพลย์ลิสต์นี้กันสักหน่อย แล้วปล่อยสมองให้โลดแล่นไปกับเสียงเพลง สำหรับใครที่สะดวกฟังบน Spotify เราจัด Playlist ไว้ให้ฟังกันง่าย ๆ เหมือนเดิม Elliott Smith – Say Yes Iron and Wine – Time after Time Bon Iver – Holocene Fleet Foxes – If You
หลังจากตรากตรำทำงานติดต่อกันมา 5 วัน เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์เวียนมาถึงหลายคนคงไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นนอกจากการนอนอืดบนเตียงหรือถ้าเป็นสายปาร์ตี้ก็ตั้งใจเมาให้เละสมกับที่เก็บกดมาหลายวัน แต่สำหรับบางคนที่แค่ได้นอนตื่นสายสักหน่อยก็เป็นการพักผ่อนที่เพียงพอแล้ว เวลาที่เหลืออยากหาอะไรเป็นประโยชน์ทำ ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองว่างจนเกินไป วันนี้ UNLOCKMEN จึงมีวิธีพัฒนาศักยภาพตัวเองด้านต่าง ๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์มาฝาก เพื่อไม่ให้เสาร์-อาทิตย์ของคุณผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ Snooze คือสิ่งต้องห้าม “แป๊ป ๆ ก็วันจันทร์แล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” นี่คือวลียอดฮิตของเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่เราเห็นกันจนชินตาในโซเชียลมีเดีย แต่ถ้าเราลองเอาประโยคนี้มาวิเคราะห์หาสาเหตุว่าทำไมเวลาวันหยุด 48 ชั่วโมงจึงดูเหมือนน้อยเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะว่าคุณนอนตื่นสายเกินไปหรือเปล่า วันหยุดทั้งทีก็อยากนอนขี้เกียจให้เต็มที่ รู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็ข้ามฟากมาอยู่ทิศตะวันตกแล้ว กว่าจะพาตัวเองลุกออกจากเตียง ทานข้าว อาบน้ำ ฟ้าก็ใกล้มืดหมดไป 1 วันแบบงง ๆ จะดีกว่ามั้ยถ้าในคืนวันศุกร์คุณไม่ต้องนอนดึกมาก และตื่นขึ้นมาในเช้าวันเสาร์ อาจจะตั้งนาฬิกาปลุกให้สายกว่าวันทำงานนิดหน่อยเป็นการให้รางวัลตัวเอง แต่กฎเหล็กเลยคือเมื่อนาฬิกาปลุกดังห้ามกด Snooze เด็ดขาด ให้รีบลุกออกจากเตียงทันที เพียงเท่านี้คุณก็มีเวลาเหลือเฟือที่จะทำอะไรมากมายเพื่อพัฒนาตัวเองแล้ว 2 ชั่วโมงแห่งการสร้างแรงบันดาลใจ เพียงแค่คุณแบ่งเวลา 2 ชั่วโมงจาก 48 ชั่วโมงในวันหยุดมาเป็นเวลาแห่งการสร้างแรงบันดาลใจ เชื่อเถอะว่าผลลัพธ์มันคุ้มค่ายิ่งกว่ากิจกรรมใด ๆ แน่นอน เป็นช่วงเวลาที่คุณจะเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ผ่านเข้ามาทางหน้าต่างชีวิตหลังจากที่คุณอยู่กับสิ่งจำเจมาตลอดสัปดาห์ การสร้างแรงบันดาลใจที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งน่าเบื่อเสมอไป มีกิจกรรมมากมายที่ทั้งสนุกและปลุกไฟในตัวคุณไปพร้อมกัน
สัจธรรมของโลกมนุษย์ใบนี้กล่าวไว้ข้อนึงว่า “รักใคร อย่าให้ยืมเงิน” หรือแม้แต่ฝรั่งก็ยังสอนไว้เหมือนกันว่า “Don’t lend money to friends in the first place” ไม่รู้ว่าอัจฉริยะท่านไหนเป็นคนคิดค้น แต่มันเป็นคำพูดที่มีมานานแสนนาน และมันพิสูจน์ได้ว่าการให้คนสนิทยืมเงินมักจะตามมาด้วยปัญหานั้น เป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคก่อนมาจนถึงยุคปัจจุบัน มันจึงไม่เกี่ยวกับปัจจัยด้านสภาพเศรษฐกิจ ไม่เกี่ยวกับเรื่องของ Generation มันอยู่ที่ DNA ของลูกหนี้ ถ้าสังเกตดูให้ดี จะเห็นว่าปัญหาการทวงเงินนั้นมี Pattern ที่คล้ายกันอยู่ เริ่มจาก “พูดดีเมื่อถึงเวลายืม ทำลืมเมื่อถึงเวลาใช้ เป็นไข้เวลาโดนทวงเงิน” เพราะมูลค่าเงินในหัวของเราต่างกัน เหตุผลที่ลูกหนี้รู้สึกลำบากใจเวลาต้องควักเงินในกระเป๋าคืนให้เจ้าหนี้นั้น เป็นเพราะการยืมเงินคนรู้จัก ต่างจากการยืมเงินจากธนาคาร จากเหล่าเจ้าหนี้เถื่อน หรือการได้เงินจากโรงรับจำนำ นั่นคือการไม่มี ‘Collateral’ หรือไม่มีอะไรต้องเสีย เนื่องจากไม่มีเงื่อนไขในการคืน ไม่ต้องวางหลักประกันในการได้มาซึ่งเงิน ไม่มีผลเสียใด ๆ ตามมา จึงไม่รู้สึกเดือดร้อน ไม่รู้สึกจำเป็นในการคืนเงิน ในขณะที่การยืมจากธนาคารเสี่ยงต่อการเสียเครดิต โดนยึดบ้าน ยืมจากคนปล่อยเงินกู้ ก็มีความกลัวจากอันตราย เมื่อไม่ต้องเสียอะไร ไม่มีความกลัวคอยกดดัน การได้เงินมาจากคนรู้จักนั้น แม้จะเริ่มด้วยความรู้สึกเกรงใจ หรือความรู้สึกมั่นใจว่าจะคืนเงินอย่างแน่นอน แต่อะไรที่ได้มาง่ายมักจะไม่เห็นความสำคัญ