“ถ้าคุณอธิบายมันให้เข้าใจง่ายไม่ได้ แสดงว่าคุณยังเข้าใจมันไม่ดีพอ” นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกอย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยพูดประโยคนี้ไว้และ UNLOCKMEN ก็ขออนุญาตเห็นด้วย เพราะในโลกที่การสื่อสารคือเรื่องสำคัญไม่แพ้กับความเก่ง ความฉลาด ถ้าเราเก่งสุด ๆ หรือเข้าขั้นอัจฉริยะในทางใดทางหนึ่ง แต่ไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจสิ่งที่เรากำลังทำหรือสิ่งที่เราอยากถ่ายทอดได้ ความเก่งของเรานั้นก็อาจต้องเก็บไว้เชยชมเพียงลำพังหรือเฉพาะในกลุ่มคนที่สนใจ แต่ถ้าก้าวเข้าสู่โลกของการทำงาน และองค์กรของเราไม่ได้พึ่งพาแค่ความเก่งกาจของเราคนเดียว การอธิบายเรื่องยาก ๆ หรือเรื่องที่เราทำให้คนอื่นในองค์กรเข้าใจก็เป็นอีกสกิลสำคัญที่เราควรมีติดตัวไว้ เพราะแค่เก่งเพื่อบุกเดี่ยวอย่างเดียวมันอาจไม่พออีกต่อไป แต่มันต้องสามารถพูดเรื่องยาก ๆ ที่เราทำให้คนอื่นในทีมเข้าใจไปพร้อม ๆ กับเราด้วย พูดรายละเอียดเหมือนเราไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน บ่อยครั้งที่เราเชี่ยวชาญงานด้านที่เราทำแบบสุดลิ่มทิ่มประตู เมื่อถึงคราวได้รับเชิญให้ไปบรีฟ หรือพูดในที่ประชุมที่มีคนมาจากหลาย ๆ ฝ่าย เราจะเผลอพูดอะไรแบบรวบรัดเพราะเคยชินกับการพูดแบบนี้กับคนในทีมที่ทำงานด้วยกัน เช่น ถ้าเราเป็นทีมดิจิทัล มาร์เก็ตติงขององค์กร เราอาจเผลอพูดเรื่องที่ทีมมาร์เก็ตติงรู้อยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าในห้องประชุม อาจมีฝ่ายบัญชี ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายครีเอทีฟ ฝ่ายบริหาร ฯลฯ อยู่ด้วย ซึ่งพวกเขาอาจไม่เข้าใจขั้นตอนที่เรารวบรัดไป ดังนั้นทุกครั้งที่เราพูดอะไร อย่าคิดว่าทุกคนจะต้องรู้ทุกอย่างเหมือนที่เราและทีมเรารู้ ต่อให้มีแค่หนึ่งคนในห้องที่ไม่รู้ เราก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ อาจไม่จำเป็นต้องละเอียดยิบ แต่ไม่ควรข้ามขั้น ลองจินตนาการว่าถ้าเราไม่ใช่เราคนนี้ แต่เป็นเราที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องนี้มาก่อน จะฟังตัวเองเข้าใจไหม ? ถ้าไม่ก็ลองหาวิธีพูดให้ตัวเองคนที่ไม่เชี่ยวชาญเข้าใจให้ได้ ใช้คำง่าย
ทำงานด้วยกันทีไร ก็มีแต่คนบ่นเรื่องการสื่อสาร พูดน้อยจัง ไม่ออกความเห็นหน่อยหรอ มีไอเดียอีกมั้ย คำถามเหล่านี้ชวนให้เราอึกอักทุกครั้งที่ได้ยิน ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงให้น่าฟังเลยเลือกการไม่ตอบเลยซะดีกว่า จนเรากลายเป็น “คนพูดน้อย” ไปโดยปริยาย อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นบุคลิกส่วนตัวนี่นา จะเปลี่ยนกันง่าย ๆ ได้ไง แต่จริง ๆ มันส่งผลทั้งการทำงานและความสัมพันธ์ เราอาจจะมองข้ามเรื่องความสัมพันธ์ในที่ทำงานได้ ถ้าเราเป็นคนไม่เข้าสังคม แต่เราจะไม่สนใจเรื่อง Performance ของงานไม่ได้ ถ้ารู้สึกว่าไอ้อาการ “พูดน้อย” ของเรามันกำลังทำให้เราเข้ากับที่ทำงานได้ยาก UNLOCKMEN ขอแนะนำทางออกให้หนุ่มพูดไม่ค่อยเก่ง ได้ Improve ตัวเองให้เจ๋งแบบผิดหูผิดตา พูดน้อยแล้วผิดตรงไหน ? คนพูดน้อยเนี่ย เขามักจะพูดแต่อะไรที่จำเป็น อาจจะออกมาในรูปแบบ ถามคำตอบคำ เอ่อ ๆ อืม ๆ ตามความเห็นของคนอื่นไป ถ้ายังไม่แน่ใจในความคิดของตัวเอง ทำแบบนั้นบ่อย ๆ เข้า เขาจะรู้สึกว่า “เมื่อเราไม่ได้พูดเป็นต่อยหอยเหมือนคนอื่น มันผิดตรงไหนกันนะ ?” ถ้ามองในแง่การเข้าสังคม มันไม่ผิดหรอก เพราะแต่ละคนย่อมมีบุคลิกที่แตกต่างกันไป แต่ในแง่ของการทำงานร่วมกับผู้อื่น มันเหมือนกับ “ขาดการสื่อสาร” คนอื่นจะไม่รู้ถึงความต้องการ
แม้การสื่อสารพูดคุยจะเป็นพฤติกรรมธรรมชาติในการเข้าสังคมหนึ่งของมนุษย์ แต่แค่พูดได้ ไม่ได้แปลว่าพูดดี ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่มนุษย์บางคนคุยกับคนอื่นในวงสนทนาก็พอคุยได้ แต่พอคุยไปสักพักคนก็ค่อย ๆ ทยอยออกจากวงไปทีละคนสองคนจนเกิดสภาวะวง (สนทนา) แตกในที่สุด นั่นเป็นเพราะพฤติกรรมไม่พึงประสงค์บางอย่างที่บางทีเราเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เราคิดว่าแค่ชวนคุยหรือนิ่งฟังก็น่าจะเพียงพอต่อการยืดอายุบทสนทนาแล้ว แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่ และ 5 ข้อผิดพลาดเหล่านี้เองที่เป็นชนวนความเบื่อหน่ายจนไม่มีใครอยากคุยกับเราในที่สุด “ใช่ครับ เรื่องนี้นี่เหมือนผมเลย แต่ของผมเป็นแบบนี้ครับ …” ฟังเผิน ๆ นี่เหมือนจะเป็นประโยคที่เราคิดว่าเป็นการหาจุดเหมือนระหว่างเรากับคู่สนทนาด้วยการบอกว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานี่ช่างตรงกับเรื่องราวของเราเป๊ะ ๆ เราพูดเพราะเราหวังว่าจะได้ใจเขาที่เราทั้งคู่มีอะไรเหมือน ๆ กัน นอกจากเราจะบอกว่าเรามีเรื่องที่เหมือนกับสิ่งที่เขาพูดมาแล้ว เรายังเล่าเรื่องของเราต่อแบบยืดยาวด้วย ถามว่ามันผิดพลาดขนาดนั้นไหม ? ถ้าแค่ครั้งเดียวและระหว่างการเล่าเรื่องของตัวเอง เราเว้นระยะให้เขาได้คุยเรื่องของเขาเป็นระยะก็คงไม่น่าเกลียดอะไร แต่ถ้าไม่ว่าใครจะเล่าอะไร เราก็โพล่งออกไปว่า “เหมือนกันเลยครับ” แล้วสมทบด้วยการสาธยายเรื่องของตัวเองไปเสียทุกครั้ง มันคือข้อผิดพลาดที่ทำให้ไม่มีใครอยากคุยกับเรา เพราะมันทำให้เราดูไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่น ดูสนใจแต่เรื่องที่เหมือนกับเรื่องของตัวเอง เพื่อรอจังหวะพล่ามเรื่องของตัวเองให้คนอื่นจำใจฟังเท่านั้น ดังนั้นระมัดระวังให้ดี “แต่ผมว่าอีกอันเจ๋งกว่าเยอะเลยครับ” การที่เราอยากแนะนำสิ่งที่ดีกว่าให้คู่สนทนาไม่ใช่เรื่องผิด แต่ระวังการใช้คำพูดและจังหวะเวลาให้ดี เพราะถ้าไม่ว่าใครก็ตามในวงสนทนาพูดอะไรออกมาแล้วเราต้องเกทับด้วยการบอกว่าเรื่องนี้เจ๋งกว่า ที่นี่คูลกว่า อันนั้นดีกว่าตลอดแบบทันท่วงทีและไม่มีศิลปะ มันทำให้เราดูเป็นผู้ชายขี้บลัฟ ขี้อวด และไม่มีมารยาทในวงสนทนามากกว่าจะดูเป็นผู้ชายที่หวังดีกับเพื่อน ถ้าอยากแนะนำอะไรใคร เช่น ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบหนังเรื่องนี้มาก โคตรสนุกเลย แทนที่จะพูดโต้ง
พอเปิดประเด็นเรื่องการหางานทำ หลายคนคงโดนกรอกหูมาตั้งแต่เด็กว่า “ไม่เลือกงานไม่ยากจน” จนรู้สึกว่าอาชีพคือสิ่งที่ควรรีบไขว่คว้าไว้ทันทีที่โอกาสมาถึง ไม่งั้นเราก็จะกลายเป็นคนเลือกงานแถมพาลยากจนไปซะ เรียนจบแล้วต้องรีบมีงานทำ ออกจากงานแล้วต้องรีบหางานใหม่ เพราะมุมมองที่มีต่อคนว่างงานนั้นไม่ได้เป็นไปในแง่บวกสักเท่าไหร่นัก เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อบ้าง ขี้เกียจตัวเป็นขนบ้าง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้ตัดสินใจวิ่งหางานทำให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากใช้ “อาชีพว่างงาน” กันนานนัก มันอาจทำให้เราลืมไปว่า “คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก” เช่นกัน UNLOCKMEN จะพามาแกะรอยเหตุผลของคนที่รู้สึก “คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก” จนเลือกจะออกจากงานทั้งที่เพิ่งสัญญาไปแบบหมึกยังไม่ทันแห้ง ว่าพวกเขามีเหตุผลอะไรที่เลือกจะหยุดทั้งที่เพิ่งเริ่ม หรืออาจจะยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ บรรยากาศที่ไม่ใช่ ก้าวขาเข้ามาก็เจอออฟฟิศจริงวันแรก สภาพแวดล้อมที่ไม่น่าหย่อนตูดลงเก้าอี้แล้ว ห้องน้ำเก่าซอมซ่อ บรรยากาศชวนหดหู่ อย่าง ออฟฟิศที่อยู่ชั้นใต้ดิน ลานจอดรถ หรือออฟฟิศที่แสงอาทิตย์เข้าไม่ถึง นอกจากบรรยากาศแล้ว เครื่องใช้ในสำนักงานที่ไม่ได้มีพร้อม ซัพพอร์ตการทำงานได้ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่มันเป็นสิ่งที่ควรมีติดออฟฟิศอยู่แล้ว ใครที่เคยทำงานในออฟฟิศแบบนั้นจะเข้าใจถึงความหดหู่ที่พูดถึง แม้จะดูเหมือนคนเรื่องมาก เรื่องเยอะ แต่อย่าลืมว่า เราต้องอยู่ในออฟฟิศนี้ถึงสัปดาห์ละห้าวัน (และบางที่ทำงานหกวันก็มี) ซึ่งถือว่ากินเวลาชีวิตไปเยอะมาก ๆ ที่เราต้องใช้ชีวิตที่นี่ เพราะฉะนั้นบรรยากาศออฟฟิศก็มีผลกับการเลือกงานเช่นกัน หากถามว่าทำไมถึงไม่ตัดสินใจตั้งแต่ตอนมาสัมภาษณ์ เพราะตอนนั้นบางคนอาจไม่ได้เดินเข้าไปในส่วนที่เป็นแผนกของตัวเองจริง ๆ ใครที่ไหวตัวทันตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์ก็ดีไป แต่ใครที่มาเห็นทีหลัง ก็ต้องหน้าชา ถ้าแค่มานั่งก็ไม่มีความสุขควรถีบตัวเองออกมาให้ไวที่สุดเหมือนกัน เพื่อนร่วมงานที่ไม่เข้าขา
เรามักจะเชื่อว่า ความสุข เป็นเหมือนจุดหมายในชีวิตของพวกเรา ทุกอย่างที่เราตั้งเป้าไว้คือสิ่งที่เราเชื่อว่าจะมีความสุขเมื่อได้มันมา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของที่เป็นรูปธรรม หรือเรื่องของความรู้สึกที่เป็นนามธรรม อย่างความปลอดภัยในชีวิต ความรักที่ได้รับจากคนรอบข้าง ความสงบสุขที่ใฝ่หามาตลอดชีวิตที่แสนวุ่นวาย ยิ่งในยุคที่เราใช้ชีวิตรวดเร็วไปเสียทุกเรื่อง แม้แต่การหาความสุขใส่ตัวก็ยังต้องรวดเร็วทันใจ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ UNLOCKMEN ขอแนะนำวิธีหาความสุขง่าย ๆ จากสิ่งรอบตัว หวังว่ายิ่งทำง่ายเราจะยิ่งหาความสุขให้กับตัวเองกันได้มากขึ้น พักสายตาด้วยสีเขียว เหนื่อยล้ามาจากไหนก็ตาม ลองมองหาพื้นที่สีเขียวอย่างสวนสาธารณะ ลงไปเดินเล่นสูดหายใจลึก ๆ สักห้านาที หากมีต้นไม้ต้นเล็ก ๆ เป็นมุมสีเขียวไว้ที่บ้านหรือโต๊ะทำงานก็จะง่ายขึ้นมาก ๆ แถมยังช่วยผ่อนคลายเราได้ทุกครั้งที่ต้องการอีกด้วย เหตุผลที่เรามองสีเขียวแล้วมันรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเพราะมันเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากตึก เมือง ห้องสี่เหลี่ยมที่เราเจออยู่ทุกวัน ได้เจออะไรที่มันเป็นธรรมชาติจริง ๆ ตามสัญชาตญาณของมนุษย์เรามักจะรู้สึกว่าอะไรสีเขียว ๆ ที่มาจากธรรมชาติมักจะเป็นมิตรกับเราเสมอ เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ที่มนุษย์เราเลือกที่จะตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว บริหารสมองด้วยอะไรง่าย ๆ สละเวลาสักวันละห้านาทีหรืออาจจะน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ ด้วยเกม Puzzle เกมลับสมองง่าย ๆ สักเกมสองเกม มันไม่ได้ทำเพื่อความสมาร์ตปราดเปรื่องอะไรหรอก แต่มันคือการบริหารสมอง ลดความเบลอจากเรื่องประสาทแดก หรือการมองจอคอมพิวเตอร์มาทั้งวัน ถ้าไม่สะดวกที่จะหาเกมมาเล่น ลองเป็นอะไรที่ปลุกความครีเอตในตัวเรา อย่างการมองหามุมสวย ๆ แล้วเก็บภาพประทับใจตอนนั้นไว้ วาดรูปอะไรก็ได้ที่เราอยากจะวาดบนกระดาษ
โลกใบนี้หมุนไปไม่หยุดนิ่ง ไม่ต่างจากผู้ชาย Work Hard Play Hard อย่างเราที่ต้องเดินหน้าทำงานให้ก้าวกระโดดต่อไปไม่รู้จบ พอ ๆ กับที่ต้องเข้าสังคมเพื่อปาร์ตี้ เพื่อพักผ่อน เพื่อสนุกสุดเหวี่ยง แต่ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือการปาร์ตี้สิ่งหนึ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้คือการรู้จักคนใหม่ ๆ ในชีวิตอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่การรู้จักคนมากเข้า เราเองก็คงเคยประสบปัญหายิ่งเจอคนเยอะก็ยิ่งจำคนไม่ได้ ในทางกลับกันเวลาเราแนะนำตัวกับใครไป อีกฝ่ายก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเราเป็นใคร ถ้าต้องการสานสัมพันธ์เรื่องธุรกิจหรือถักทอมิตรภาพให้ยาวนานต่อไป ถ้ามีคนจำเราไม่ได้มาก ๆ เข้าก็คงไม่ดีแน่ นี่จึงเป็นสุดยอดเคล็ดวิธีที่จะช่วยให้เราแนะนำตัวครั้งเดียวให้โลกจำไปตลอดกาลที่ เอาไปใช้ได้ทุกสถานการณ์แน่นอน อย่าพูดแค่ชื่อหรืออาชีพ แต่นิยามมันให้ไกลกว่านั้น การแนะนำตัวมักเริ่มต้นอย่างเก้ ๆ กัง ๆ หรือต่อให้ภายนอกดูมืออาชีพแค่ไหน แต่ภายในใจผู้ชายอย่างเราก็อดเจื่อน ๆ ไม่ได้ เป็นเหตุให้เรามักเริ่มต้นแนะนำตัวเองแบบมาตรฐานอย่างการแนะนำชื่อ แนะนำอาชีพ หรือตำแหน่งทางธุรกิจที่คิดว่าเป็นประโยชน์ เมื่อคนส่วนใหญ่ทำในรูปแบบเหมือน ๆ กันไปหมดจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแนะนำตัวกี่ครั้งเขาก็ลืมเราอย่างง่ายดาย ดังนั้นจากปกติพูดว่า “ผมชื่อโอม เป็นนักเขียนนะครับ” ลองนิยามความเชื่อหรือเป้าหมายในอาชีพ หรือแรงบันดาลใจในการทำอาชีพนี้เพิ่มลงไป แต่ให้เป็นประโยคที่กระชับดู “ผมโอมครับ ผมเชื่อเรื่องการสื่อสารประเด็นใหม่ ๆ เพื่อให้คนปลดล็อกศักยภาพตัวเอง ผมถึงเลือกอาชีพนักเขียนอย่างทุกวันนี้ครับ” รับรองว่าอีกฝ่ายจะประทับใจเพราะเราได้ใส่ทัศนคติลงไป และความไม่เหมือนใครนี้จะทำให้เขาจำเราได้ในระดับหนึ่ง พูดเรื่องความรู้สึกบ้าง
หลายครั้งที่ขัดใจกับการกระทำของใครสักคน แล้วอยากจะเข้าไปบอกตรง ๆ ว่า “นายทำงี้ไม่ได้ว่ะ” แต่ด้วยสถานะ ความปากไว หรือความอ่อนไหวของคนฟังที่เราไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าใคร Sensitive กับเรื่องราวหรือคำพูดแบบไหน จนทำให้ต้องเก็บคอมเมนต์ไว้ในใจ แต่ถ้าไม่พูดเลยก็คงไม่ได้ เพราะในเมื่อจุดประสงค์ของเราจริง ๆ คือการติเพื่อก่อ ไม่ใช่เพื่อความสะใจส่วนตัว ยิ่งในการทำงาน การคอมเมนต์กันถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไป UNLOCKMEN อยากชวนใครที่อึดอัดอยากจะติเตียนใคร แต่กลัวจะมองหน้ากันไม่ติด ด้วยเทคนิคเจ๋ง ๆ ที่เราแนะนำ ตำหนิให้ถูกคน ก่อนอื่นเลยต้องหาให้ถูกตัวซะก่อน ปัญหานี้มักเกิดในกลุ่มคนทำงานนี่แหละ บางครั้งมองในภาพรวมเราก็เดาไม่ออกว่าใครที่เป็นต้นเหตุของเรื่องกันแน่ จะไปติเขาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าก็ไม่ได้ เพราะถ้าหากอีกฝ่าย Strike Back กลับมาว่า “ไม่ใช่กู” “กูไม่ได้ทำ” เรานี่แหละที่จะหน้าแตกแบบเต็ม ๆ ทางออกของเรื่องนี้ง่ายมาก ๆ ถ้าไม่ทุ่มเทความสนใจตั้งแต่แรก จนรู้หมดว่า Process นี้ใครทำ ก็ต้องมีสปายคอยสอดส่องว่า ใครรับผิดชอบจุดไหน จะได้จับมือมาดมกันได้ถูกคน ดูสถานะ บางครั้งดูแค่เจ้านายกับลูกน้องมันยังไม่พอ ง่าย ๆ เลย เราจะไม่ตำหนิหัวหน้าทีมเหมือนกับเด็กฝึกงานหรือน้องใหม่
รู้หรือไม่ว่า ทุกวันนี้ขณะที่เรากำลังชื่นชมปรากฏการณ์การใช้พลังงานทดแทนในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแผงโซลาร์ พลังงานลม หรือรถยนต์ไฟฟ้าสุดเฉียบแบรนด์ Tesla ที่มีเจ้าของผู้โด่งดังอย่าง ‘Elon Musk’ บนขวานทองของเราเองก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากัน หลายคนอาจไม่รู้ว่าเรามีโรงไฟฟ้าโซลาร์ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ถึง 90 เมกะวัตต์จำนวน 3 โรงบนพื้นที่หลายพันไร่ โรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เตรียมจ่ายไฟเข้าระบบ มี Charging station นับ 100 แห่งที่ติดตั้งไว้สำหรับรถยนต์ EV ที่สำคัญ เรายังเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทยได้ที่ผลิตขึ้นจากฝีมือคนไทยเอง อยู่ระหว่างเตรียมผลิตเพื่อจำหน่ายปีหน้าที่จะถึงนี้ด้วย แล้วมันอยู่ที่ไหนกัน? เพื่อคลายข้อสงสัยเราจึงขอพาทุกคนไปเห็นกับตาผ่านการพูดคุยกับ คุณอมร ทรัพย์ทวีกุล หนึ่งใน co-founder ผู้ปลุกปั้น บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือที่คุ้นหูในชื่อ Energy absolute (EA) บริษัทที่อยู่ใน Top List ด้านพลังงานทางเลือกครบวงจรเบอร์ใหญ่สุดของประเทศไทยขณะนี้ หลักกิโลเมตรที่ศูนย์จากไบโอดีเซล ก่อนจะเป็นผู้สร้างความโดดเด่นด้านพลังงานทางเลือก เวทีที่คุณอมรโลดแล่นคือโลกทางธุรกิจจากสายอาชีพที่ใช้ชื่อไม่คุ้นหูว่า “วาณิชธนากร (Investment Banker)” ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัททั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ เกี่ยวกับการเงินและการลงทุน รวมไปถึงช่วยกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจ จึงมีดีกรีเก็บดีเทลกิจการเก่งไม่แพ้เจ้าของกิจการ ด้วยวิสัยทัศน์ด้านการเงินที่หล่อหลอมมายาวนาน
“เงินคือปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต” คงไม่มีใครปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ แต่การที่คนจำนวนมากคิดแบบนี้ จึงไม่แปลกใจที่หลายองค์กรคิดว่าแค่มีค่าตอบแทนสูง ๆ ไว้ซื้อใจคนมาทำงานด้วยก็คงพอแล้ว แต่ความเป็นจริงก็คือแม้ค่าตอบแทนจะสำคัญ แต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าบรรยากาศภายในองค์กรไม่เอื้อให้คนอยากทำงานด้วยนาน ๆ ดังนั้นในฐานะผู้บริหาร หรือเจ้าขององค์กร เราควรปลดล็อกความเข้าใจเดิม ๆ เพื่อเข้าถึงคนในองค์กรได้มากขึ้น ทำงานได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นและทรงประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย การได้ทำงานแบบไม่ถูกจำกัดกรอบ “งานที่ทำให้เราแฮปปี้ในการทำงานทุก ๆ วันไปได้แบบไม่เบื่อ ไม่ตั้งคำถามว่าทำไมวันจันทร์อีกแล้ววะ? สนุกกับงานได้ทำงานแบบไม่ตีกรอบ” ก้อย – Marketing Executive ไม่ว่าค่าตอบแทนจะสูงแค่ไหน แต่ถ้าเนื้องานไม่ชวนให้เราอยากทำงานก็คงเปล่าประโยชน์ งานที่มีความหมายสำหรับพนักงานจึงต้องเป็นงานที่ไม่ทำให้พวกเขารู้สึกว่ามันน่าเบื่อจนไม่อยากให้ถึงวันจันทร์ ซึ่งคำว่าน่าเบื่อในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องทำงานไป เล่นไป หรือเอาใจคนในองค์กรจนถึงขั้นสปอยล์ แต่หมายถึงการเปิดโอกาสให้เขาได้คิด ได้แสดงความสามารถ ไม่จำกัดกรอบและติ โดยที่เขายังไม่ได้ลงมือทำอะไร ทำให้เขาไม่กล้าคิดอะไรใหม่ ๆ นั่นแหละคือนิยามของคำว่างานที่น่าเบื่อในทัศนคติคนทำงาน ทัศนคติต้องไปในทางเดียวกัน “เคมีของงานกับความเป็นเรา เงินก็สำคัญแต่ถ้าต่าง attitude วันนึงก็ต้องไป” แก้วใจ – Content Creator การมีเป้าหมายตรงกันก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้คนในองค์กรเห็นภาพใหญ่ว่าเรามีเป้าหมาย มีทัศนคติตรงกับองค์กรหรือไม่ งานหรือองค์กรที่มีเป้าหมายชัดเจนจะยิ่งดึงดูดคนทำงานไว้ได้ ดังนั้นอย่าลืมตรวจสอบทัศนคติและเป้าหมายขององค์กรกับคนในทีม เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันอยู่เสมอ สำหรับคนที่ทัศนคติตรงกันก็จะสามารถทำงานร่วมกันไปได้ยาว
“เดินออกจากห้องประชุมหรือวางสายทันที่ที่คุณรู้ตัวว่าอยู่ไปก็ไม่ได้เพิ่มมูลค่าอะไร มันไม่หยาบคายหรอก ถ้าคุณจะเดินออก การที่ผมจะให้คุณนั่งเสียเวลาอยู่ต่างหากที่หยาบคาย” ข้อความอันลือลั่นนี้มาจาก Elon Musk CEO ระดับโลก นับเป็นถ้อยความที่คนไทยอ่านแล้วตะลึงกันเป็นแถว บางคนก็ตะลึงที่ Elon Musk พูดอะไรขวานผ่าซากแบบนั้น ในขณะที่บางคนก็ตะลึงเพราะโคตรเห็นด้วยกับข้อความนี้ เพราะเราต่างก็ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานของเรา นอกจากหมดไปกับการทำงานแล้ว เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนหมดเวลาไปกับการเข้าประชุมใหญ่ ประชุมเล็กสารพัด อาทิตย์ละหลายชั่วโมง บางคนอาจคิดว่ายิ่งประชุมก็ยิ่งดี แต่การประชุมที่ยาวนาน เยิ่นเย้อ แล้วต้องกลับมาประชุมใหม่ซ้ำ ๆ อาจหมายถึงการประชุมที่ไม่มีประสิทธิภาพก็เป็นได้ การประชุมคือการพูดถึงการทำงาน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการทำงาน ใครบางคนพูดถึงการประชุมไว้แบบนั้น ถ้าเราเอาแต่พูดเรื่องวิธีการทำงาน วางแผนฟุ้งฝัน ถกเถียงแบบไร้การรวบรัด ไร้ข้อสรุป ปล่อยให้มันยืดยาวไม่มีที่สิ้นสุดมันจะเป็นแค่ “การพูดถึงการทำงาน” แต่มันไม่ใช่ “การลงมือทำงาน” จริง ๆ ดังนั้นลองมาดูวิธีรวบรัดการประชุมจากเดิมที่กินเวลาไปมากมาย ให้รวบรัด ตัดจบ ครบประเด็นสไตล์มืออาชีพ เพื่อไปปรับใช้ในองค์กรได้อย่างมืออาชีพเช่นกัน ลองยืนประชุมดูบ้าง ห้องประชุมแอร์เย็นเฉียบ กาแฟร้อน ๆ ถ้วยโปรด เก้าอี้ห้องประชุมแสนสบาย ฟังคนอื่นได้ยาว ๆ โดยที่เราไม่ต้องพูดอะไร แถมได้หลุดจากโต๊ะทำงานและงานตรงหน้าชั่วขณะ สิ่งเหล่านี้คือความสบายของการประชุมที่ทำให้ทุกคนสามารถประชุมได้ครั้งละนาน