เพิ่งจะ TGIF ไปไม่นาน เผลอแป๊ปเดียววันจันทร์มาเยือนอีกแล้ว แค่คิดว่าพรุ่งนี้ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าก็รู้สึกท้อ ไหนจะต้องเผชิญกับการจราจรห่วยแตก งานน่าเบื่อ หัวหน้างานงี่เง่าอีก วันจันทร์เลยกลายเป็นวันที่ทุกคนพร้อมใจกันเกลียด แต่นอกจากเหตุผลเหล่านี้แล้วยังมีเหตุผลอีกหลายข้อที่ทำให้วันจันทร์เป็นวันที่ทุกคนไม่อยากให้มันมาถึง ใครที่เกลียดวันแห่งสีเหลืองวันนี้เหมือนกัน มาหาคำตอบไปพร้อมกัน และ UNLOCKMEN พอจะมีวิธีแก้คร่าว ๆ ให้ หลับสนิททั้งคืน แต่ตื่นมายังงัวเงีย หลังจากปาร์ตี้มาอย่างสุดเหวี่ยงในคืนศุกร์-เสาร์ วันอาทิตย์คือวันพักผ่อนของเหล่าคนทำงาน อยู่บ้านไม่ออกไปไหนและตั้งใจจะเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อจะได้ตื่นไปทำงานอย่างสดชื่น หลังจากที่คุณหลับสนิท 8 ชั่วโมงรวดโดยไม่มีการสะดุ้งตื่นกลางคันเลย แต่คุณกลับตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เชื่อว่าหลายคนคงเคยเป็น ถ้าคุณหลับสนิทดีแปลว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การนอนของคุณแล้วล่ะ น่าจะอยู่ที่ ‘แรงบันดาลใจ’ ต่างหาก เปรียบเทียบกับการออกทริปต่างจังหวัดกับเพื่อน ๆ เพื่อให้เห็นภาพชัด ๆ ในตอนนั้นคุณเที่ยวมาทั้งวัน แถมตอนกลางคืนยังปาร์ตี้กันจนเละเทะอีกต่างหาก แต่คุณกลับตื่นขึ้นมาอย่างแจ่มใส พร้อมจะลุยวันใหม่ นั่นเป็นเพราะคุณตื่นเต้นและรู้ดีว่าเมื่อตื่นขึ้นมาจะพบความสนุก แต่วันจันทร์ที่เป็นวันทำงานวันแรกและคุณรู้ว่าสิ่งที่น่าเบื่อกำลังรอคุณอยู่จึงทำให้คุณรู้สึกอยากนอนอยู่บนเตียงต่อไปมากกว่า ปัญหาของเรื่องนี้อาจจะอยู่ที่ว่าคุณไม่ได้รักงานของคุณมากพอหรือเปล่า? วิธีแก้: ลองหาส่วนที่คุณชอบที่สุดของงานของคุณดู บอกตัวเองว่าวันจันทร์เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้คุณได้กลับไปทำในสิ่งที่รักนั้น คุณน่าจะรู้สึกดีกับวันจันทร์มากขึ้นแน่ ๆ อย่าเพิ่งมา ยังไม่พร้อม! เหตุผลข้อนี้ตรงข้ามกับข้อแรก ด้านบนเป็นคนที่เตรียมตัวพร้อมสำหรับวันจันทร์แต่ก็ยังรู้สึกเบื่อ แต่ในข้อนี้สำหรับคนที่ยังเตรียมตัวไม่พร้อม คุณอาจจะมีงานค้างต้องทำในช่วงสุดสัปดาห์แต่คุณดันปาร์ตี้เพลินจนลืมหรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่จนคุณลืมทำงาน แน่นอนว่าคุณจะต้องโดนเจ้านายระเบิดใส่จึงเกิดกลัวและไม่อยากให้วันจันทร์มาถึง วิธีแก้: เหตุผลข้อนี้แก้ไม่ยากเลย
นาฬิกาก็ทำหน้าที่ของมันตามเดิม แต่ทำไมเข็มนาฬิกาแต่ละวันกลับเดินไม่ตรงกับใจพวกเราเอาเสียเลย 8 ชั่วโมงของการทำงานจันทร์ถึงศุกร์ที่เราทุ่มเทให้มัน ชาว UNLOCKMEN คงต้องเคยเจอช่วงว่าง ๆ เพราะความ Productive ของตัวเองที่ทำงานเร็วจนไม่เหลืออะไรให้ทำ หรืองานที่เคยโดน Assign มาช่วงนี้มันหดหายไปจนทำให้รู้สึกเบื่อกับการนับถอยหลังให้ถึงเวลาเลิกงานใช่ไหม ? เพื่อให้เวลามันกลับไปไวตามใจเหมือนเดิม ลองมาหากิจกรรมยามว่างที่มีค่ามากกว่าการหายใจทิ้งหรือขยับดู Netflix ไปเรื่อย ๆ แบบที่ทำประจำดีกว่า เราอยากแนะนำ 5 วิธีนี้ให้ไปทำกันดู รับรองว่ากว่าจะรู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็เตรียมลับขอบฟ้าแล้ว แถมเป็นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าด้วย ปลุกพลังจากความชอบมาคิดโปรเจ็กต์ใหม่ โปรเจ็กต์เดิมเสร็จแล้ว โปรเจ็กต์ใหม่เกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นจงใช้เวลาว่าง ๆ นี้ไล่กวดความคิดความชื่นชอบอีกด้านของคุณเสีย ถ้าชอบวาดรูปก็ลองจับปากกาขึ้นวาดดู หรือถ้าชอบมาร์เก็ตติ้งก็ตามข่าวที่มีอยู่เต็มโลกออนไลน์ในด้านนั้นเสีย ไม่แน่ว่าระหว่างการไล่ล่าความฝันมันอาจปลุกพลังมาสร้างไอเดียไว้ต่อยอดเป็นโปรเจ็กต์ใหม่ในออฟฟิศที่ทำให้ KPI ปลายปีล้นช่องออกมาได้ก็ได้ ที่สำคัญยังเป็นการคิดไอเดียใหม่ ๆ ที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้อีกด้วย เปิด Podcast หรือฟังไฟล์ Audio ทั้งหลาย ถ้าวันนี้มีงาน Routine ง่าย ๆ มา แต่ไม่ต้องใช้สมาธิมากนักทำให้รู้สึกอยากฆ่าเวลา การฟังเสียงโดยไม่ต้องสนใจมองนาฬิกาข้างฝาหรือด้านล่างจอคอมฯ จะช่วยสร้างความบันเทิงให้เราลืมความเบื่อได้ เดี๋ยวนี้มี
ชีวิตที่ดีต้องมีแต่ความสุข คำพูดที่ถูกปลูกฝังมาจากหนังสือและแรงบันดาลใจจากกูรูหลากหลายอย่างหนัก ดูเผิน ๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ในชีวิตจริงคงเป็นไปได้ยากที่จะมีความสุขได้ตลอดเวลาขนาดนั้น วันนึงเราเกิดสงสัยในความจริงเรื่องนี้ว่า ยิ่งโดนปลูกฝังให้มีความสุขตลอดเวลา มันยิ่งรู้สึกเหนื่อยในการพยายามประคองรักษาระดับความสุขของตัวเอง เกิดเป็นปมเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า คนอื่นเค้ามีความสุขกัน แล้วทำไมเราถึงต้องเศร้า ต้องอารมณ์ไม่ดี ทั้งที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวนอกเหนือการควบคุมนั้น พร้อมที่จะทำให้เราเสียใจได้ตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่การจราจร เพลงเศร้า ลูกค้าด่า เจ้านายคลั่ง ของหาย และอื่น ๆ อีกมากมาย “You should take the approach that you’re wrong, Your goal is to be less wrong”- Elon Musk สิ่งที่เราสนใจคือการได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ Elon Musk ที่มีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาเหนือกว่าคนอื่น ส่วนนึงมาจากความสามารถรับมือกับความผิดพลาด ตัวเค้าผ่านความผิดพลาดมาชนิดนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยความชอบทดลองลงมือทำอะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา Musk มองว่าเป้าหมายของเค้าไม่ใช่การไม่ผิดพลาด แต่เป็นการเอาชนะความเสียใจจากความผิดพลาดนั้น และพยายามผิดพลาดให้น้อยลง จนกระทั่งไม่ผิดพลาดเลย การใช้ข้อดีจากความเสียใจในข้อผิดพลาดของ
แพสชั่น ความหลงใหล หรือความชื่นชอบต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างถึงแก่น กลายเป็นเหมือนสูตรสำเร็จของผู้คนยุคสมัยนี้ไปแล้ว ผู้ชายอย่างเรา ๆ ก็หนีไม่พ้น ไม่ว่าจะได้งานที่ไหน ใคร ๆ ก็พากันพูดถึง “แพสชั่นในการทำงาน” กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น “หาแพสชั่นในงานนี้ให้เจอสิ” , “ทำงานแบบมีแพสชั่นหน่อย”, “ถ้าไม่มีแพสชั่น ทำงานแค่ไหน ก็ไปไม่ถึงจุดพีคหรอกเว้ย!” และอีกสารพัดบทท่องจำที่เมื่อไหร่ใส่คำว่า “แพสชั่น” เข้ามาในบทสนทนา คำพูดนั้นจะกลายเป็นคำพูดปลุกใจโคตรศักดิ์สิทธิ์ที่่ล่อลวงผู้ชายอย่างเราให้ไฟลุก รีบตามหาแพสชั่นของชีวิตกันแบบสุดหล้าฟ้าเขียว แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า UNLOCKMEN อยากบอกว่า “แพสชั่นไม่ใช่ยาวิเศษของชีวิตและการทำงาน” และมันอาจมีผลเสียมากกว่าที่คิด ถ้าเราเอาชีวิตไปผูกติดกับคำ ๆ เดียวอย่าง “การหาแพสชั่นให้เจอ” การท่องคำว่าแพสชั่นซ้ำ ๆ เหมือนล้างสมองตัวเองอาจต้องถูกพักเอาไว้ก่อน เพราะงานวิจัยที่มีชื่อว่า Implicit Theories of Interest: Finding Your Passion or Developing It? ที่เขียนขึ้นโดยนักจิตวิทยาจาก Yale-NUS College แห่ง National University
ผู้ชายอย่างเรามักคิดว่าคนที่รู้สึกผูกพันกับองค์กรคือคนเก่ง คนกระตือรือร้น หรือคนที่ทำงานได้ดีมากๆ แต่กลายเป็นเรื่องช็อกระดับโลกเมื่องานสำรวจชิ้นหนึ่งออกมาบอกว่าคนที่ทำงานเก่งหรือทำงานแบบมีประสิทธิภาพกว่า 42% ไม่มีความรู้สึกสัมพันธ์หรือเป็นส่วนหนึ่งกับองค์กรเอาเสียเลย! (โดยเขาก็นิยามความสัมพันธ์กับองค์กรไว้ว่ารู้สึกพอใจกับองค์กร รู้สึกมีแรงบันดาลใจจะทำงาน) ในขณะที่คนที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพน้อยกว่าจะรู้สึกมีความสุขกว่า มีแรงบันดาลใจกว่า (เพราะทำงานได้เรื่อย ๆ ไม่กดดัน) เฮ้ย มันเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ? คนที่เก่ง ๆ ทำงานประสิทธิภาพสูง ๆ ก็ควรจะเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและมีความสุขกับงานสิ แต่ทำไมการเป็นคนทำงานเก่งจึงกลายเป็นความโศกเศร้าเจ็บปวดไปได้ ? ยิ่งทำงานเก่งยิ่งได้ทำงานที่แย่ที่สุด!? อย่าเพิ่งปฏิเสธข้อมูลนี้ แต่ลองสวมจิตวิญญาณบอสผู้กุมบังเหียนบริษัทข้ามชาติ ที่มีงานแต่ละชิ้นเป็นเดิมพันความเสียหายระดับหลายสิบล้าน แล้วบริษัทเราดันมีงานใหญ่ งานด่วนเข้ามาตอน 4 โมงเย็นวันศุกร์ แล้วต้องเสนอลูกค้าตอน 9 โมงเช้าวันจันทร์ งานนี้จะพลาดไม่ได้ เพราะการพลาดแค่ก้าวเดียวหมายถึงการเสียความน่าเชื่อถือครั้งใหญ่ ในฐานะบอส เราจะทำงานใหญ่ให้เสร็จด้วยตัวคนเดียวก็คงเป็นไปไม่ได้ และเมื่อเราต้องมองหาพนักงานในองค์กรสักคนที่จะเข้ามาช่วยรับมือโปรเจ็กต์ใหญ่ในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ เราจะให้คนที่เพอร์ฟอร์แมนซ์การทำงานกลาง ๆ ช่วยเรา หรือจะให้คนที่เราเห็นว่าเพอร์ฟอร์แมนซ์ดีเกิน 90% มาช่วยเรา ? คงพอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมว่าบางครั้งการเป็นคนทำงานดี ทำงานเก่ง หรือทำงานเข้าตาบอสก็เจ็บปวดไม่เบา เพราะทุกครั้งที่มีงานด่วน งานเร่ง งานที่ต้องการการเสียสละมาก ๆ คนเก่งจะต้องรับหน้าที่นั้น จึงเป็นเหตุผลว่าคนทำงานดีต้องรับน้ำหนักความกดดันในงานแต่ละชิ้นมากกว่า
ถ้าเราบอกคุณว่า “อีกไม่กี่ปีข้างหน้าพวกเราอาจต้องเป็นทาส AI” คุณจะเชื่อมันไหม จะรู้สึกยังไง โกรธที่เราพูดแบบนี้ ท้อแท้ใจ หรือบ่นงึมงำในลำคอว่า UNLOCKMEN เชียร์ AI เก่งเหลือเกิน แต่ไม่ว่าคุณจะคิดแบบไหนก็ตามความก้าวหน้าที่กำลังจะได้เห็นต่อจากนี้มันคงไม่มีวันถอยหลังอย่างแน่นอน ทีนี้มันก็อยู่ที่ว่าพวกเราจะยอมแพ้ให้กับสิ่งที่เห็นไหม หรือฮึดลุกขึ้นมองหาลู่ทางอื่น และพยายามหาทางหวดคืนเพื่อก้าวเหนือมันให้ได้ Why AI might takes all? “จะเก่งแค่ไหนกันเชียว มันก็เป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น?” อย่าเพิ่งพูดประโยคนี้ถ้าคุณไม่รู้ว่าวันนี้บรรดาสมองกลทั้งหลายทำอะไรได้บ้าง เรื่องแรก AI ไม่ได้เป็นแค่โค้ดลาย ๆ ในจอคอมพิวเตอร์ที่คอยดูดข้อมูลเราไปประมวลผลหรือแข่งขันเรื่องคำนวณเท่านั้น หลังตัดสายสะดือจากจอปุ๊ป มันจะกลายเป็นรูปแบบไหนก็ได้ชนิดที่เราคาดไม่ถึงทันที เรื่องที่สองเมื่อ AI โดดออกมาจากจอมันไม่ใช่หุ่นกระป๋องต๊อกต๋อยรูปทรงสี่เหลี่ยมอีกต่อไป และเรื่องที่สามอย่าประเมินต่ำว่า AI จะไม่มีวันเลื่อยขาเก้าอี้ของเราได้ เพราะเราไม่ได้ทำงานในอุตสาหกรรมประเภทโรงงาน แล้ววันนี้อาชีพที่ AI จะเข้าไป take over ได้เพิ่มเติมจากอาชีพที่เราเคยรู้คืออะไรกันบ้างมาเช็กดู HELLO INFLUENCER, HELLO STRANGER เชื่อว่าผู้ชายทุกคนต้องมีคนดังในใจที่เราคอยตาม follow กัน แต่แน่ใจได้จริงเหรอว่าคนในหน้าจอที่เราเห็นคือมนุษย์ตัวจริง ไม่ใช่กราฟฟิกสวมวิญญาณจากสิ่งแปลกปลอมอื่น เมื่อล่าสุดผลงานของ Hakuhodo Tokyo
เราเชื่อว่าโดยพื้นฐานของมนุษย์ ในวันเริ่มแรก ทุกคนน่าจะมีศักยภาพเท่ากัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันไปก็คือประสบการณ์ ความรู้ ต่างคนต่างมีลักษณะนิสัยขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว คนที่รู้เยอะ จินตนาการเยอะ ก็อาจจะได้เปรียบคนที่ไม่ค่อยได้เสพความรู้รอบตัวมากนัก บางคนได้ท่องโลกบ่อย เข้าถึงความรู้ได้มากกว่า ก็ได้เปรียบไป แต่ในยุคของโลก INTERNET ทำให้ข้อจำกัดตรงนั้นถูกทำลายไป ทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้เท่ากัน อยู่ที่แต่ละคนจะใช้มันเสพความรู้เรื่องอะไร แต่เคล็ดลับที่ BILL GATES และ ELON MUSK บอกไว้เสมอ ก็คือแหล่งความรู้ของพวกเค้านั้นมาจาก ‘การอ่าน’ แต่การอ่านเองก็มีทั้งอ่านแล้วได้ประโยชน์ กับอ่านแล้วได้บันเทิง เวลาเราเห็นสถิติที่บอกว่า คนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด อาจจะคิดว่าไม่จริง เราก็อ่านอยู่ตลอดเวลา อ่านทั้งวัน อ่านทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องดราม่าและข่าวบันเทิง ความต่างจากการอ่านที่ GATES และ MUSK บอกก็คือ เราจะได้ประโยชน์จากมัน ต่อเมื่อมันเป็นบทความหรือหนังสือที่มีประโยชน์ มีสาระ ช่วยพัฒนาความรู้และจินตนาการทางใดทางหนึ่ง BILL GATES บอกว่า “การอ่านเนื้อหาที่มีประโยชน์ สอนให้เราได้ความรู้ที่เราไม่รู้ มุมมองที่เราคิดไม่ถึง เหมือนเป็นการให้อาหารสมองตลาดเวลา จะบอกว่าการอ่านทำให้ผมประสบความสำเร็จ ก็ไม่ผิดเลย”
ฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้คงไม่มีใครเหมาะกับวลี ‘From Zero to Hero’ มากไปกว่า Gabriel Jesus กองหน้าดาวโรจน์ของทีมชาติบราซิลอีกแล้ว เพราะถ้าย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อน ฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลเป็นเจ้าภาพ Gabriel Jesus ในวัย 17 ปี ขณะนั้นเขาเป็นเพียงนักเตะฝึกหัดของสโมสร Palmeiras แน่นอนว่ารายได้ย่อมไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ดังนั้นเขาจึงรับจ็อบพิเศษด้วยการเป็นช่างทาสีตามกำแพงหรือพื้นถนนต้อนรับฟุตบอลโลกที่กำลังจะมาถึง แต่เพชรยังไงก็คือเพชร หลังจากจบศึกฟุตบอลโลก 2014 Gabriel Jesus ก็เริ่มโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมจนได้รับโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ Palmeiras และเขาก็ไม่ทำให้โค้ชและเพื่อนร่วมทีมผิดหวัง กระหน่ำประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนเป็นที่หมายปองจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป และก็เป็นทีมเรือใบสีฟ้า Manchester City ที่คว้าตัวเขาไปครองได้สำเร็จด้วยค่าตัว 27 ล้านปอนด์ ซึ่งนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น Gabriel Jesus ไม่หยุดการพัฒนาตัวเองไว้เท่านี้ เขาพิสูจน์ตัวเองว่าฝีเท้าเป็นของจริง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม และสุดท้ายก็สามารถพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ Premier League ได้สำเร็จ เมื่อฟอร์มดีขนาดนี้ การมีชื่อติดทีมชาติบราซิลมาลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 จึงไม่ใช่เรื่องแปลก จากวันที่เขานั่งทาสีอยู่ข้างสนามฟุตบอล ถึงวันที่เขาเป็นซูเปอร์สตาร์พาทีมบ้านเกิดลุยฟุตบอลโลกใช้เวลาเพียง 4
ภาษากายนั้นเป็นสื่อในการสื่อสารอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนสามารถแสดงความหมายต่าง ๆ ออกมาได้แม้ไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ ก็ตาม มันมีทั้งประโยชน์มากมาย แต่ก็เป็นโทษได้หากเราไม่ระมัดระวัง ยิ่งถ้าเป็นภาษากายที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกในแง่ลบแล้ว ยิ่งต้องสำรวจตัวเองกันหน่อยว่าเราเองทำบ่อยมั้ย มันกลายเป็นความเคยชินหรือเปล่า ? และที่แย่ที่สุดก็คือ มันอาจทำให้เราสูญเสียโอกาสดี ๆ ที่นาน ๆ จะมาทีก็ได้ จากผลการสำรวจของ TalentSmart ที่ทดสอบกับคนกว่าล้านคนพบว่า ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มคนที่มีตำแหน่งงานในระดับสูง มักจะมีตัวเลข EQ ที่ค่อนข้างพุ่ง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้รู้ดีว่าพลังของภาษากายนั้นมีมากแค่ไหน และมักจะสำรวจตัวเองในเรื่องนี้เสมอ เพราะฉะนั้น เพื่อความไม่ตายน้ำตื้นของผู้ชายที่กระหายความสำเร็จอย่างเรา มาดูกันดีกว่า ว่าภาษากายแบบไหนที่อาจพาเราดำดิ่งได้แบบไม่รู้ตัว จะได้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ก่อนสายเกินไป ใช้มือมากเกิน อย่าคิดลึกครับหนุ่ม ๆ การใช้มือมากเกินในที่นี้คือการขยับมือไม้มากเกินเวลาสนทนา ราวกับว่าคุณกำลังจะใช้กำลังภายในอะไรอย่างนั้น ซึ่งมันดูเหมือนกับว่าคุณปรุงแต่งสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารมากเกินไป พยายามควบคุมมือไม้ให้ดี ใช้เท่าที่จำเป็น อาจจะผายมือออกมาช้า ๆ โชว์ฝ่ามือให้ทุกคนเห็นเวลาที่พูดอะไรออกไป แบบนี้จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าคุณไม่ได้เสแสร้ง ดูรุ่นใหญ่ และมั่นใจ กอดอกตลอด การกอดอกเป็นภาษากายกึ่งอัตโนมัติเวลาที่คุณสร้างกำแพงทางความคิดขวางไอเดียของคนที่สนทนาด้วย แม้ว่าจะยิ้มอยู่ หรือกอดอกหลวม ๆ ก็อาจทำให้คนข้างหน้ารู้สึกอึดอัดได้ไม่มากก็น้อย พยายามอย่ากอดอกแบบเหมือนทากาวไว้
สิ่งที่ผู้ชายส่วนใหญ่คาดหวังกับชีวิตการงานคือการเจองานที่ชอบ เอ็นจอยกับงานที่ใช่ และได้รับการยอมรับในสังคมการทำงาน ทว่าการทำงานเก่งเพียงอย่างเดียวอาจไม่ไช่คำตอบของการถูกยอมรับก็ได้ มีบางคนเหมือนกันที่ทุ่มเทกับการทำงานอย่างหนักทุกวัน แต่ก็ยังถูกเพื่อนร่วมงานเบือนหน้าหนี แถมโดนผู้บริหารเพ่งเล็ง แบบนี้มันเป็นเพราะอะไร ? ถ้าเราทำงานอยู่ในบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ ที่ต้องร่วมงานกับผู้อื่น มันย่อมมีกฏกติการ่วมกัน มีความเป็นสังคม และมันเป็นสิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นวิญญาณไร้ความหมาย ไร้คนเคารพได้หากชอบแตกแถว หรือวางตัวไม่เหมาะสม พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเราก็จะรู้สึกขาดความสุขในการทำงาน แม้ว่าลักษณะงานและรายได้จะดีก็ตาม ชีวิตที่ออฟฟิศก็จะหมดสนุก ถ้าปล่อยไว้แบบนี้รับรองว่าเซ็งแย่ ไม่ก็ท้อแท้จนแค่ทำงานไปวัน ๆ ความมันส์ก็จะค่อย ๆ ลดลงไปจนเหลือศูนย์ แต่เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่นอน UNLOCKMEN มีวิธีเหมาะ ๆ ที่จะช่วยให้คุณได้รับการยอมรับรอบด้านในที่ทำงานมาฝากกัน อย่าไปจริงจังมากเกิน ผู้ชายอย่างเรามักจะหมกมุ่นกับเรื่องงาน ราวกับว่างานตรงหน้าคือคู่เดท จนบางครั้งก็เหนื่อยมากเกินไป ถ้ารู้สึกรักงานขนาดนั้นก็อยากให้ลองเปรียบเทียบเรื่องงานกับเรื่องความรักไปเลย คุณต้องแสดงความชัดเจน นายจ้างของคุณก็ต้องเห็นความทุ่มเทของคุณเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าโหมหนักมากเกินถึงค่ำมืดดึกดื่นไม่เว้นวันหยุด แบบนี้อาจเป็นความรักที่ไม่ค่อยรักตัวเองเท่าไหร่ บนโลกที่โหดร้ายแบบนี้โชคคงไม่ได้เข้าข้างเราเสมอไป ถ้าเราทุ่มเทกับอะไรมากเกินไปแบบไม่เตรียมใจ เกิดพลาดพลั้งขึ้นมาด้วยความซวย ก็ไม่รู้จะช่วยใจของตัวเองอย่างไรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นลดความจริงจังเรื่องงานลงมาบ้าง ย้ำว่าลด “ความจริงจัง” ไม่ใช่ลด “ความตั้งใจ” บางคนอาจจะคิดว่าการทุ่มเทแบบไม่ลืมหูลืมตาจะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เขาตกงาน แบบนี้เป็นการสร้างความกดดันให้กับตัวเอง และถมความเหนื่อยเข้าไปอีก ทางที่ดีควรทำงานให้เต็มที่แบบไม่เกินตัว และหาแผนสำรองให้กับชีวิตบ้าง