อาชีพตัวตลกคืองานสร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับผู้ฟัง เด็ก ๆ ส่วนใหญ่หลงรักตัวตลกเพราะพวกเขาใจดี บางคนชื่นชอบการดูโชว์ตลกเพราะอยากเจอเรื่องสนุกที่ช่วยทำให้หัวเราะได้แม้วันที่แย่ที่สุด หรือแค่ต้องการหัวเราะเยาะใครสักคนโดยไม่โดนโกรธ รอยยิ้มสีแดงจากลิปสติกที่ซ่อนริมฝีปากกับใบหน้าที่แท้จริงไว้ กิริยาร่าเริง สดใส ละลายความหม่นหมองชั่วขณะชวนให้ผู้คนอยากทำความรู้จัก ทำให้ไม่เห็นจุดประสงค์แท้จริงที่บางครั้งอาจสวนทางกับการแสดงออกภายนอก เช่นเดียวกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใช้หนทางการเป็นตัวตลกทำให้คนตายใจ ไม่ทันระวังตัวว่าภัยร้ายภายใต้เสียงหัวเราะกำลังพรากชีวิตไปตลอดกาล ภูมิหลังน่าเศร้าของฆาตกรตัวตลก เรื่องราวสะพรึงกลัวภายใต้ภาพลักษณ์ขบขันเป็นกันเองเริ่มต้นขึ้นราวช่วงปี 1970 มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ John Wayne Gacy ทำอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอยู่ในเมืองชิคาโก เขาเป็นที่รู้จักของคนในชุมชนด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นมิตร ชื่นชอบการช่วยเหลือสังคม เมื่อมีเวลาว่างจากการทำงาน พ่อพระอย่าง John Gacy ก็ไม่รอช้าใช้เวลาให้คุ้มค่าด้วยการแต่งตัวเป็นตัวตลกสร้างเสียงหัวเราะให้กับเด็ก ๆ ตามโรงพยาบาล ร่วมเดินขบวนพาเหรด ทำให้เขาถูกเรียกว่า “ตัวตลก Pogo” ทั้งหมดที่กล่าวมาคือภาพจำของคนทั่วไปเกี่ยวกับ John Gacy สุภาพบุรุษใจบุญผู้ไม่มีพิษมีภัย แต่เบื้องหลังชีวิตที่เขาไม่ได้นำเสนอกลับเต็มไปด้วยความดำมืด John เติบโตมาในครอบครัวขนาดกลาง เป็นลูกชายคนที่สองจากทั้งหมดสามคน โดยมีพ่อผู้เคยรับหน้าที่ทหารช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งต่อมาหลังปลดประจำการได้เปิดร้านซ่อมรถยนต์เลี้ยงชีพ พ่อของ John มักใช้ความรุนแรงกับเขา กิจกรรมยามว่างคือการฟาดลูกชายด้วยเข็มขัดหนังเต็มแรง หรือฟาดเขาด้วยด้ามไม้กวาดที่ศีรษะจนหมดสติ เพราะเขามองว่าเด็กผู้ชายที่แท้จริงจะต้องมาดแมนสมชายชาตรี แต่ลูกชายคนที่สองอย่าง John กลับผอมแห้งบอบบางและมีท่าทางตุ้งติ้งคลายเด็กผู้หญิง
โรงแรม The Standard, London ที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เมื่อเดือนกันยายน กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในช่วงลอนดอนแฟชั่นวีกที่ผ่านมา ไม่เพียงเพราะเป็นโรงแรม The Standard แห่งแรกที่เปิดตัวนอกสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่โรงแรมแห่งนี้ยังมอบประสบการณ์พิเศษไม่เหมือนใคร ที่มีแต่ผู้ที่เคยมาเยือนเท่านั้นที่จะเข้าใจได้อย่างแท้จริง ซึ่งทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นด้วยแนวคิดของ The Standard ที่มุ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยยกระดับแต่ละย่านที่โรงแรมตั้งอยู่ หนึ่งส่วนสำคัญคือการเน้นย้ำความสำคัญของการทำงานร่วมกับศิลปินและนักสร้างสรรค์ทั่วโลก โดยศิลปินคนล่าสุดที่ได้รับเลือกโดยทีม Brand Creative ของ The Standard ก็คือศิลปินหนุ่มเลือดใหม่ชาวไทย บาล์ม-ธนัช ตั้งสุวรรณ เจ้าของผลงาน Found ที่ได้ประดับอยู่ที่ผนังบาร์ Double Standard ในขณะนี้ หลังจากปาร์ตี้เปิดตัวครั้งใหญ่ที่ได้มาร์ก รอนสัน ดีเจชื่อดังมาช่วยสร้างสีสัน ต่อด้วยปาร์ตี้ของ Love Magazine ร่วมกับทาง Youtube ที่จัดไม่กี่วันหลังจากนั้น ทำให้ The Standard กลายเป็นที่พูดถึงในหมู่คนดังแถวหน้าระดับโลกและดึงดูดให้ศิลปินและคนในวงการสร้างสรรค์เดินเข้ามาที่ The Standard, London กันอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็น ลิลลี่ อัลเลน พาโลมา เฟธ สลิก
ครั้งหนึ่งเคยมีนักวิ่งระยะไกลผู้หนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ผมไม่รู้ว่าขีดจำกัดนั้นตรงอยู่ไหน แต่ผมก็อยากลองไปให้ถึงจุดนั้นดู” เวลานั้นหลายคนต่างมองว่านั่นประโยคและเรื่องราวเพ้อฝัน มนุษย์หนึ่งคนจะตามหาขีดจำกัดของตัวเองไปเพื่ออะไร? หรือทำไปแล้วจะได้อะไรกลับมา? แต่ชายผู้เป็นเจ้าของประโยคดังกล่าวที่ชื่อ เอเลียด คิปโชเก (Eliud Kipchoge) กลับไม่คิดแบบนั้น เขามองว่ามันคือเป้าหมายสำคัญในการเอาชนะตัวเอง ก่อนจะพิสูจน์ให้คนทั้งโลกได้เห็นด้วยการทำลายกำแพงที่เคย “ขีดเส้น” ความสามารถของนักวิ่งระยะไกลทุกคนบนโลกไว้ว่ามนุษย์นั้นไม่สามารถทำลาย “ขีดจำกัด” หรือกำแพงเวลา 2 ชั่วโมงของการวิ่งฟูลมาราธอนลงได้ ทันทีที่ร่างกายของเอเลียด คิปโชเกทะยานผ่านเส้นชัยในอีเวนต์ INEOS 1:59 Challenge ด้วยเวลา 1 ชั่วโมง 59 นาที 40 วินาที ประวัติศาสตร์ของโลกและขีดจำกัดของมนุษย์ก็ถูกมองต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ในเวลาเดียวกัน ตัวเขาก็ได้มอบอีกหนึ่งคำพูดสำคัญเพื่อตอกย้ำความคิดที่มีอีกครั้งว่า “มนุษย์เรานั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด” ท่ามกลางความสำเร็จท่ีเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลายคนทราบกันดีว่าเอเลียด คิปโชเก คือคนที่วิ่งเข้าเส้นชัย แต่เบื้องหลังความสำเร็จต่าง ๆ ในชีวิตของเขากว่าจะมาถึงวันนี้ ใครจะรู้ว่านักวิ่งวัย 34 ปีชาวเคนย่าผู้นี้ต้องผ่านการฝึกฝนทางร่างกายและผ่านการขัดเกลาในด้านจิตใจมาอย่างไรบ้าง วันนี้ UNLOCKMEN และคอลัมน์ MotivAthlete จะพาทุกคนมาหาคำตอบไปพร้อมกัน ร่างกายเหนือมนุษย์ ที่มาจากการฝึกซ้อมและเฝ้าจดบันทึก หลายคนทราบกันดีว่าปัจจัยพื้นฐานของการเล่นกีฬาแต่ละประเภทมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างก็คือ “ร่างกายและพละกำลัง”
ถ้าเอ่ยถึง ‘มุราคามิ’ ผู้ชายที่ชอบอ่านหนังสือก็จะนึกถึง ฮารุกิ มุราคามิ นักเขียนชื่อดังที่สร้างสรรค์วรรณกรรมที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองจนถูกเรียกว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการเล่าเรื่อง แต่บางคนก็จะนึกถึง ‘ทากาชิ มุราคามิ’ ศิลปินชาวญี่ปุ่นที่เคยเข้ามามีอิทธิพลกับเหล่าวัยรุ่นไทยด้วยการวาดดอกไม้ยิ้มที่คนเรียกกันว่า ‘ดอกมุราคามิ’ ดอกไม้ลายเส้นง่าย ๆ สีสันสดสน ที่กระทั่งวันนี้หลาย ๆ คนก็ยังไม่เข้าใจว่าดอกไม้ที่ว่านั้นมันได้รับความนิยมและมีราคาแพงจากอะไร แต่ในวันนี้เราจะไม่ได้มาพูดถึงดอกไม้ของมุราคามิ แต่จะย้อนไปก่อนที่เขาจะโด่งดังจากผลงานอื้อฉาวที่เหล่านักวิจารณ์บางคนต้องเบือนหน้าหนี เพราะผลงานของเขาแม้จะเป็นรูปของตัวการ์ตูนหน้าตาน่ารักแต่มันกลับซ่อนเรื่องราวทางเพศเอาไว้ ความบ้าคลั่งทางจินตนาการที่กลั่นออกมาเป็นผลงานศิลปะทำให้เขาถูกเรียกว่าเป็น ‘ราชาโอตาคุ’ ผลงานสุดอื้อฉาวที่ทำให้โลกรู้จักชื่อของ TAKASHI MURAKAMI หากต้องนิยามถึงอาชีพของทากาชิ มุราคามิ ก็จะพบว่าเขาเป็นชายที่ทำอะไรที่หลายอย่าง เขาเป็นทั้งจิตรกรที่มีผลงานสไตล์ pop art เป็นนักปั้น ภัณฑารักษ์ อาจารย์มหาวิทยาลัย และนักวิจารณ์ โดยใช้แรงบันดาลใจหลักๆ จากความชอบของตัวเองคือมังงะรวมถึงแอนิเมะมาสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง เมื่อรู้ดีว่าตัวเองชอบอะไร สิ่งต่อมาที่จะทำให้ผลงานของเขาประสบความสำเร็จคือการจับความชอบมาผสมผสานกับอะไรก็ตามที่โดดเด่นและเป็นตัวของตัวเอง ผลงานของเขาจะต้องบอกเล่าตัวตนและไม่ซ้ำใคร เมื่อคิดได้ดังนั้นมุราคามิจึงนำวัฒนธรรมป๊อปมารวมกับลายเส้นการวาดแบบญี่ปุ่นโบราณ เป็นการผสมผสานที่ศิลปินในช่วงเวลานั้นไม่นิยมจับความใหญ่และเก่ามารวมกันเพราะมองว่าการรวมกันแบบนี้มันดูพิลึกพิลั่นเกินไป แต่มุราคามิกลับมองว่าน่าสนใจ นอกจาก pop culture กับลายเส้นแบบญี่ปุ่นโบราณแล้ว มุราคามิยังนำเฮนไต (Hentai) สื่อลามกที่แพร่หลายอยู่ในโลกใต้ดินของประเทศญี่ปุ่นที่ยังเป็นวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่ม และถูกมองว่าเป็นผลงานสำหรับ ‘คนตลาดล่าง’ มาร่วมกับผลงานประติมากรรมจากวัสดุไฟเบอร์ของตัวเองจนได้รูปปั้นตัวการ์ตูนผู้หญิงที่ชื่อว่า Hiropon
หนุ่ม ๆ ที่เป็นแฟนเพลงของวงเนอร์วาน่า (Nirvana) และฟรอนต์แมนผู้ล่วงลับอย่างเคิร์ต โคเบน (Kurt Cobain) คงจะจำการแสดงสด Nirvana MTV Unplugged กันได้ดี โดยในเวลาต่อมาการแสดงครั้งนี้ถูกยกให้เป็นหนึ่งในสุดยอดการแสดงแห่งยุค 90’ และจากกลิ่นอายดนตรีเฉพาะตัว ทำให้ผู้รักเสียงเพลงทั่วโลกยังเปิดชมการแสดงครั้งนี้มาตลอด แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า นักร้องผู้ล่วงลับอย่างเคิร์ตนอกจากจะเป็นยอดฝีมือด้านการแต่งเพลงแล้ว สไตล์การแต่งตัวของเขายังมีอิทธิพลต่อแฟนเพลงทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือเสื้อคาดิแกนสีมะกอกที่เจ้าตัวสวมใส่ขึ้นแสดงสดใน Nirvana MTV Unplugged ซึ่งกำลังจะถูกนำมาประมูลอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เสื้อคาดิแกนของเคิร์ตถูกนำออกประมูลครั้งแรกในปี 2015 ด้วยราคา 137,500 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 4,180,000 บาทโดยเศรษฐีผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม ราคาของมันเพิ่มขึ้นสองเท่าจากราคาประมูลที่คาดกันไว้ว่าจะจบที่ราคา 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมันถูกเก็บไว้เป็นอย่างดีในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิและค่าความเป็นกรด-ด่าง ทำให้ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นคราบเปื้อน รวมถึงรอยไหม้จากบุหรี่ที่เกิดขึ้นระหว่างแสดง 4 ปีผ่านไปเจ้าของเสื้อคนปัจจุบันผู้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า การซื้อในครั้งนั้นคือการลงทุนและเตรียมนำมันมาประมูลอีกครั้งในงาน ICONS & IDOLS Rock ‘n’ Roll Auction ซึ่งจะจัดขึ้นที่มหานครนิวยอร์กในวันที่ 25-26 ตุลาคมนี้ ความพิเศษคือจดหมายจาก Jackie Farry ผู้เป็นเจ้าของเสื้อคนแรกหลังจากเคิร์ตเสียชีวิต
ความไม่เท่าเทียมและความโกรธแค้นถือเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทุกที่บนโลกใบนี้ ความเหลื่อมล้ำทำให้เกิดช่องว่างทางสังคม จนบางครั้งคนที่อยู่ในชนชั้นฐานพีระมิดทั้งหลายก็ไม่สามารถเก็บงำความอัดอั้นตันใจกับชีวิตแย่ ๆ ของตัวเองได้ ลงมือทำสิ่งแย่ ๆ และใช้ข้ออ้างว่า “เกลียดทุนนิยม เกลียดคนรวย และเกลียดความจนของตัวเอง” UNLOCKMEN จะพาย้อนเวลาไปยังช่วงปี 90 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ของประเทศเกาหลี จากเมืองเล็ก ๆ ที่โลกไม่ให้ความสนใจสู่การพัฒนาสังคมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นประเทศที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก แต่การก้าวกระโดดทางวัฒนธรรมที่สวยงามอาจสร้างผลกระทบที่ไม่คาดคิดตามมา เช่น ความเหลื่อมล้ำ ความจน และคดีลักพาตัวที่นำมาสู่การฆาตกรรมสะเทือนขวัญ เรื่องราวสะเทือนขวัญที่คนเกาหลีจดจำและกลายเป็นประวัติศาสตร์สะเทือนขวัญเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1993 ใจกลางกรุงโซลเมืองหลวงของประเทศเกาหลี คิม กีฮวัน (Kim Kihwan) วัย 26 ปี อดีตนักโทษพ้นคุกผู้ไม่พอใจกับสังคมที่เป็นอยู่ เขาเป็นคนชนชั้นล่างที่ตกงาน เขาไม่พอใจคนรวยที่เกลื่อนเต็มเมืองแต่ชีวิตของตัวเองกลับตกต่ำจนถึงขีดสุด ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ของเขาทำให้กีฮวันตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยและสาบานว่าจะทำทุกอย่างเพื่อทำลายคนรวย กีฮวันรวบรวมพรรคพวกที่คิดเหมือนกับเขาตั้งกลุ่มขึ้นมาชื่อว่า Mescan เพื่อแก้แค้นชนชั้นอภิสิทธิ์ที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม (มุมมองดังกล่าวเป็นเพียงความคิดของกลุ่ม Mescan เท่านั้น) ประกอบด้วยสมาชิก 8 คน แต่ภายหลังชื่อของ Mescan ถูกคนเกาหลีเรียกว่า Chijon Family แทนที่ชื่อกลุ่มเดิมที่พวกเขาตั้งขึ้น หลังจากรวบรวมคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันให้เป็นกลุ่มก้อน
ถ้าเอ่ยถึง ‘ความมั่นคงของชาติ’ เชื่อว่าผู้ชายหลายคนคงลำดับภาพทหารผู้กล้าขึ้นมาในหัวเป็นอันดับแรก ๆ แต่เมื่อสถานการณ์ของโลกเปลี่ยนแปลงไป สงครามระหว่างประเทศในปัจจุบันไม่ได้อยู่ในรูปแบบการสู้รบในสมรภูมิเสมอไป หรืออาจไม่ดุเดือดเลือดพล่านเป็นวงกว้างเหมือนบางยุคสมัย วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะพาหนุ่ม ๆ ทุกคนมาสอดแนมฐานทัพทหารที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก สำรวจสถานที่ลึกลับที่คนธรรมดาอย่างเราไม่อาจเล็ดลอดเข้าไป เริ่มตั้งแต่ฐานทัพบนยอดเขาแสนอันตราย จนถึงฐานทัพใต้น้ำที่ไม่อาจมองเห็นได้จากมุมสูง Eareckson Air Station เมื่อปี 1970 ฐานทัพแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อตรวจจับเรดาร์ขีปนาวุธ เป็นฐานทัพทหารที่ตั้งอยู่ 1,200 ไมล์ทางตะวันตกของ Anchorage ใน Alaska และห่างจากรัสเซียเพียง 200 ไมล์เท่านั้น ในปัจจุบัน Eareckson Air Station ยังถูกใช้งานเพื่อตรวจสอบน่านฟ้าของประเทศเกาหลีเหนือ และเป็นสถานีเติมเชื้อเพลิงฉุกเฉินแหล่งสำคัญของมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือ Kwajalein Atoll จากเกาะปะการังที่ใหญ่ที่สุดของโลก กลายมาเป็นอีกหนึ่งฐานทัพของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง Kwajalein Atoll เป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชล ประเทศเกาะขนาดเล็กในมหาสมุทรแปซิฟิก ในอดีตที่นี่เป็นฐานทัพสำคัญสำหรับทดสอบระบบเรดาร์ สร้างขีปนาวุธ และพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารอื่น ๆ อีกมากมาย ปัจจุบันพื้นที่ 11 เกาะจากทั้งหมด 97 เกาะ
เราอาจเคยได้ยินเรื่องราวของพ่อค้ายาชื่อก้องโลกอย่างเอสโคบาร์มาเป็นร้อยครั้ง หรือได้ยินว่าโคลอมเบียเป็นเมืองสุดโหดที่ผลิตยาเสพติดมากจนติดท็อป 10 เป็นสิบ ๆ หน แต่หากถามถึงชีวิตของชาวไร่ที่เป็นคนผลิตวัตถุดิบหลักที่ใช้ในสารเสพติดอย่างใบโคคาหรือกัญชากลับไม่ค่อยถูกพูดถึงนัก อาจเป็นเพราะเหตุผลหลาย ๆ อย่าง เช่น พวกเขาไม่เท่ พวกเขาไม่น่าสนใจพอจนต้องมารับรู้ถ้าเทียบกับชีวิตโลดโผนของพ่อค้ายา UNLOCKMEN นำเรื่องราวที่ถูกลืมมาเล่าให้ทุกคนได้สัมผัสถึงชีวิตชุมชนชาวไร่ในประเทศโคลอมเบียผ่านภาพถ่ายของตากล้องที่ลงไปอยู่ในชุมชน เพื่อสัมผัสถึงอีกแง่มุมว่ากลุ่มคนปลูกพืชสำหรับทำสารเสพติดมีความคิดอย่างไร พวกเขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำอยู่หรือไม่ และพวกเขาเป็นผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงจริง ๆ หรือเปล่า เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Mads Nisson ช่างภาพชาวเดนมาร์กวัย 38 ปี ที่โด่งดังจากรางวัล World Press Photo of the Year ในปี 2015 และมีประวัติโชกโชนเกี่ยวกับภาพถ่ายสะท้อนสังคม ก่อนเขาจะเข้ามาถ่ายภาพชีวิตเกษตรกรผู้ผลิตใบยาสำหรับสารเสพติดในประเทศโคลอมเบีย Mads เคยได้รับการว่าจ้างจาก Nobel Peace Center ให้ถ่ายภาพประธานาธิบดีโคลอมเบีย Juan Manuel Santos ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2016 เพราะเขาสามารถยุติสงครามนองเลือดของกลุ่มพ่อค้ายาติดอาวุธในโคลอมเบียที่ยืดเยื้อมานานกว่า 52 ปี หลังจาก Mads ถ่ายภาพของผู้นำโคลอมเบียแล้วจึงเกิดความคิดว่าเขาต้องการเห็นมุมมองทั้งสองด้านของประเทศนี้ ไม่ใช่เพียงแค่มุมจากผู้นำมองลงสู่ประชาชนเท่านั้นแต่ต้องการเห็นความคิดและชีวิตของคนชายขอบด้วยเช่นกัน
ถ้าพูดถึงนักสู้หรือชนชั้นนักรบของสังคมญี่ปุ่นสมัยก่อน คนทั่วไปก็จะนึกถึงซามูไรเป็นอย่างแรก นึกถึงโรนิน หรือแม้กระทั่งชื่อของการปลิดชีพตัวเองอย่างเซ็มปุกุ (ฮาราคีรี) แต่ถ้าถามว่ารู้จัก อนนะ บุเกอิชา (Onna Bugeisha) หรือไม่ ? คำตอบส่วนใหญ่คือ “ไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินมาก่อน” ทั้งที่คนกลุ่มนี้มีบทบาทมากในสงครามญี่ปุ่น น่าเศร้าที่ความแข็งแกร่งของ อนนะ บุเกอิชา ไม่ค่อยถูกพูดถึงมากเท่าไหร่ UNLOCKMEN จึงอยากเล่าเรื่องราวโคตรเท่ของกลุ่มอนนะ บุเกอิชา รวมถึงตำนานความโหดกลางสนามรบของโทโมเอะ โกเซ็น (Tomoe Gozen) สตรีที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นซามูไรหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น “เพราะซามูไรไม่ได้รบเพียงลำพัง แต่ยังมีสตรีที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน” ONNA BUGEISHA เรื่องราวของกลุ่มหญิงสาวที่หันมาจับดาบ อนนะ บุเกอิชา คือกลุ่มสตรีญี่ปุ่นที่ลุกขึ้นมาจับอาวุธวิ่งเข้าสู่สมรภูมิไม่ต่างจากซามูไร พวกเธอแตกต่างจากหญิงญี่ปุ่นทั่วไปที่ต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน หญิงจากตระกูลดีต้องเรียนรำ ชงชาตามประเพณีอันดีงาม ส่วนหญิงชาวบ้านต้องฟังสามี หลักฐานทางประวัติศาสตร์บางชิ้นระบุไว้ว่าในช่วงศตวรรษที่ 16-18 ประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นก๊กเป็นเหล่าและทำต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่เขตแดน ในสงครามก็มีอนนะ บุเกอิชา หรือซามูไรหญิงเข้าร่วมรบเป็นจำนวนมาก จุดเริ่มต้นของ อนนะ บุเกอิชาไม่มีที่มาที่ไปแน่ชัด บ้างก็ว่าเกิดขึ้นในยุคเฮอัง บางคนก็คาดว่าเกิดขึ้นในยุคคามากุระ แต่เหตุผลทำให้หญิงสาวจับอาวุธเกิดขึ้นเมื่อสามีหรือพ่อต้องออกไปทำสงคราม เมื่อชุมชนไร้ชายชาตรีมีแต่ผู้หญิง เด็ก และคนแก่ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันพวกเธอจะต้องดูแลตัวเอง
ไม่มีกระแสใดในวันนี้จะมาแรงกว่าจำนวนคนรีวิว Joker บน Social Media พร้อมสารพัดคำชมชนิด 10/10 แบบไม่ขาดสาย จนคนที่ยังไม่ได้ดูต้องเศร้าใจหลีกหนี Spoil กันหัวซุกหัวซุน แน่นอนว่าพวกเรากำลังเล็งหาวันและรอบเหมาะ ๆ ที่จะเสพ Joker ในบทบาทนำแสดงโดย Joaquin Phoenix ชายผู้ส่งเสริมให้ Joker กลายเป็นผู้ร้ายที่ทุกคนต่างหลงรักได้มากขนาดนี้ แต่เสียงหัวเราะที่ดังที่สุดน่าจะมาจากเจ้าของภาพยนตน์อย่าง Warner Bros. ที่สามารถทำรายได้ถล่มทลาย ขึ้นเป็นอันดับ 1 ใน Box Office ประจำเดือนตุลาคม ที่สามารถทำรายได้ Opening Weekend ในตลาด USA และ Canada ได้มากถึง $93.5 ล้านเหรียญ หรือราว 2,800 ล้านบาท (ภาพยนตร์เข้าฉายวันศุกร์ – อาทิตย์ แต่มีรายได้จากวันพฤหัสคืน Preview ไป $13.3 ล้านเหรียญ) ซึ่งเอาชนะแชมป์เก่าที่เข้าฉายในเดือนเดียวกันอย่าง ‘Venom’ ไปได้ชนิดทิ้งไม่เห็นฝุ่น