ยามเช้าของวันที่ 6 สิงหาคม ปี 1945 ขณะที่บางคนหลับใหล หรือบางคนกำลังลุกจากเตียง ช่วงที่ทุกคนต่างทำกิจวัตรประจำวันเมืองเล็ก ๆ ของญี่ปุ่นที่ชื่อว่าฮิโรชิมะเวลาแปดนาฬิกาถูกถล่มราบเป็นหน้ากลองพร้อมเสียงกึกก้องที่ได้ยินกันทั่วด้วยระเบิดปรมาณูที่ถูกหย่อนลงมาจากเครื่องบิน โบอิง B-29 รู้ตัวอีกนิวเคลียร์ที่ถูกปล่อยก็ทำให้ฮิโรชิมะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป ด้วยเรื่องราวที่แสนสะเทือนใจ ในวันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปย้อนรอยถึงเหตุการณ์หลังจากระเบิดนิวเคลียร์ถูกทิ้งลงในเมืองฮิโรชิมะที่ทำให้ผู้คนที่อยู่บริเวณศูนย์กลางของระเบิดเสียชีวิตทันที เพราะแรงกระแทกระดับมหาศาล รวมถึงความร้อนที่ทำให้เหล็กละลาย บางคนก็จากไปในกองเพลิงที่ลุกลามจนไม่อาจดับได้ง่าย ๆ ว่าหลังจากวันที่ 6 แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับผู้คนที่ได้รับผลกระทบบ้าง ? ช่วงเวลาเกิดระเบิดครั้งใหญ่ เด็กนักเรียนในโรงเรียนห่างจากศูนย์กลางของระเบิดพอประมาณกำลังฟังคุณครูพรรณนาถึงความดีงามของสงคราม เกียรติยศและความรุ่งเรือง เกิดแสงวาบครั้งใหญ่ที่ทุกคนแม้กระทั่งเด็ก ๆ ก็รู้ว่าคือระเบิด ทุกคนต่างหลบลงใต้โต๊ะเอานิ้วอุดหูรอให้ทุกอย่างจบลง เมื่อเสียงอื้ออึงจางหายทุกคนต่างสำรวจตัวเองพบว่าบนร่างกายเกรอะกรังไปด้วยเลือดและฝุ่น กระจกห้องเรียนแตกกระจาย มีคนโดนกระจกบาด ปลิวไปกระแทกกับโต๊ะหนังสือ เสื้อติดไฟ บางคนติดอยู่ในซากตึก แถมไม่นานนักฝนก็เทลงมาพร้อมกับความรู้สึกชวนหดหู่ เพราะหยดน้ำทั้งหมดเป็นสีดำคล้ายกับน้ำมันที่ล้างไม่ออก ฝนเหล่านี้ขนฝุ่นกัมมันตภาพรังสีเป็นพิษลงสู่พื้นดิน ทำให้เพลิงไหม้กระจายทั่วเป็นวงกว้าง เหล่าผู้รอดที่อยู่ในเหตุการณ์การทิ้งนิวเคลียร์ฮิโรชิมะหลายคนรับผลกระทบทั้งภายในและภายนอก ร่างกายของพวกเขาบาดเจ็บ หลายคนถ่ายท้องเป็นเลือดเพราะผลเฉียบพลันจากการได้รับสารกัมมันตภาพรังสี บางคนรอดจากเหตุระเบิดแต่เจ็บหนักและเสียชีวิตไม่กี่วันต่อมาก็มีให้เห็นไม่น้อย จุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่น่าเศร้าถูกประกาศออกมาอย่างเป็นทางการวันที่ 7 สิงหาคม 1945 กับเสียงตามสายที่ประกาศให้ประชาชนทุกคนทราบถึงโศกนาฏกรรมว่า “จังหวัดฮิโรชิมะเสียหายจากการโจมตีของเครื่องบินที่ขนมาพร้อมระเบิดแบบใหม่ที่เรายังไม่ทราบชนิด” มีหลายคนที่บ้านอยู่ฮิโรชิมะแต่ต้องออกมาทำงานนอกเมือง เช้าวันที่ 7 หลังจากการประกาศข่าวในวิทยุ
ทุกคนตอนนี้ต่างรู้กันดีว่าโลกของเรากำลังร้อนขึ้นทุกวัน แต่ใครจะคิดว่าสภาพอากาศย่ำแย่ ฝุ่น มลภาวะ และความร้อนที่พร้อมแผดเผาทุกอย่างจะส่งผลต่อความรู้สึกและความเศร้าของมนุษย์โดยที่เราทุกคนไม่ทันรู้ตัว แถมพอจะเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา สภาพอากาศก็ทำให้เราเศร้าจนแทบยืนไม่ไหวเสียแล้ว เมื่อสิ่งรอบตัวอาจทำให้เราป่วยใจ UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Climate Despair หรือ ความสิ้นหวังจากสภาพภูมิอากาศ ว่ามันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และต้องแก้ปัญหาที่ตรงไหนหากรู้สึกเศร้าเพราะผลจากอากาศที่แปรปรวน กรณีตัวอย่างที่ชัดเจนของ Climate Despair เริ่มต้นขึ้นในฤดูร้อนปี 2015 ที่ถือว่าร้อนจนถูกบันทึกเป็นสถิติ หญิงวัยกลางคนรายหนึ่งนาม Ruttan Walker เป็นนักกิจกรรมสิ่งแวดล้อมอาศัยอยู่ในรัฐ Ontario เธอพบความผิดปกติทางจิตใจตัวเองที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนในช่วงฤดูร้อน ผลของอากาศร้อนระอุทำให้เธอเริ่มซึมเศร้าและเต็มไปด้วยความเครียด มันยากที่จะรู้สึกมีความสุขทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าโลกกำลังร้อนขึ้นและใกล้พังลงทุกวัน เวลาเธอมองหน้าลูกชายของตัวเองก็มีความรู้สึกผิดอยู่เต็มใจว่าตัวเองทำให้ลูกต้องมาพบกับจุดจบของโลก ซึ่ง Ruttan พยายามหาทางแก้โดยการไปพบแพทย์และรับการรักษาแต่ก็ไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร “ฉันรู้ตัวดีว่าจะไม่มีวันทำร้ายตัวเอง แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรเมื่อความกลัวกัดกินจิตใจอยู่ตลอดเวลา” สำหรับบางคนเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้จะคิดว่าอาการ Climate Despair ที่เกิดขึ้นกับ Ruttan จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะหล่อนอาจเป็นคนรักธรรมชาติและหลงใหลกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนทั่วไป แต่แท้จริงแล้วความเศร้าจากสภาพอากาศสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่กรณีของ Ruttan Walker อาจเรียกได้ว่าอยู่ในขึ้นรุนแรงและเป็นตัวอย่างที่ดีที่ทำให้ผู้คนทั่วไปรู้จักคำว่า Climate Despair มากขึ้น David Wallace-Wells นักข่าวและนักเขียนชาวอเมริกันเคยบอกเล่าเรื่องราวทำนองนี้ใน The Uninhabitable Earth หนังสือขายดีของเขาว่า ทุกคนเข้าใจถึงปัญหาและลึก ๆ แล้วต่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงความวิตกกังวลเกี่ยวกับวันสิ้นโลกได้
ในยุคโลกาภิวัตน์ที่การเชื่อมต่อและข้อมูลข่าวสารผูกโยงกันทั่วโลกอย่างไร้พรมแดน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือแม้แต่เทคโนโลยีก็เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วแทบทุกมิติ ในขณะที่มนุษยชาติกำลังก้าวหน้าและชาญฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ สภาพสังคมและวิถีชีวิตในตอนนี้ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความคิด ความอ่าน และความฝันของเยาวชนรั้วของชาติผันแปรไปจากเดิม เชื่อว่าในวัยเด็กความคิดที่อยากเป็นหมอ ทหาร ตำรวจ หรือแม้แต่นักบินอวกาศคงแวบเข้ามาในหัวผู้ชายเราอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันที่โตขึ้น ได้รู้จักโลกกว้างขึ้น และค้นพบอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยผ่านตาในวัยเยาว์ ก็ทำให้ความฝันในอาชีพและเป้าหมายในชีวิตของใครหลายคนเริ่มทิ้งห่างจากความคิดตอนเด็ก ๆ ที่เคยวาดไว้ เด็กไม่ได้อยากท่องอวกาศเหมือนดั่งวีรบุรุษ บริษัทผลิตของเล่น LEGO ได้สำรวจเด็ก 3,000 คน ที่มีอายุระหว่าง 5 ถึง 12 ปี ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผลปรากฏว่าเด็ก ๆ อยากเป็นยูทูบเบอร์มากกว่านักบินอวกาศถึง 3 เท่า ขณะที่มีเด็กเพียง 11% เท่านั้นที่อยากเดินทางไปยังพื้นที่ไร้แรงโน้มถ่วงในฐานะนักบินอวกาศ เด็กชาวอเมริกันและอังกฤษใฝ่ฝันอยากเป็นวล็อกเกอร์และยูทูบเบอร์ ครู นักกีฬาอาชีพ และนักดนตรีตามลำดับ ส่วนที่อยากเป็นนักบินอวกาศมีเพียง 10% เท่านั้น แต่ความฝันที่ได้ล่องลอยในอวกาศอันไกลโพ้นยังไม่เลือนราง อย่างไรก็ตามเด็ก ๆ ทั่วโลกล้วนมีความคิดความอ่านและให้ผลการสำรวจต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องด้วยภูมิลำเนา
แม้การลงเหยียบดวงจันทร์ของมนุษย์จะผ่านไปกว่า 50 ปีแล้ว แต่ผลพลอยได้และมรดกตกทอดจากการพัฒนาเทคโนโลยีและวัสดุในสมัยนั้น ก็ยังคงสามารถพบเห็นได้อยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคนในปัจจุบัน จากภารกิจการตั้งเป้าหมายไปสู่ดวงจันทร์ที่ดูจะเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ยุค 60 โดยประธานาธิบดี John F. Kennedy กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดค้นเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้มนุษย์จำนวนมาก ซึ่งนับเป็นผลพลอยได้ที่หลายคนมองข้ามความใกล้ชิดระหว่างประชาชนคนธรรมดากับภารกิจนอกโลกของนักบินอวกาศ มาดูบางส่วนที่เป็นผลพลอยได้จากการพัฒนาเทคโนโลยีเหยียบดวงจันทร์เหล่านั้นมีอะไรบ้าง คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เคยเป็นสิ่งที่มีขนาดใหญ่เท่ากับห้องๆ หนึ่ง แต่ทุกวันนี้เรากลับมีสมาร์ทโฟนใช้งานกัน ซึ่งก็มีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ที่ส่งมนุษย์ออกเดินทางไปดวงจันทร์หลายเท่าเลยทีเดียว NASA ได้เซ็นสัญญากับ MIT ในปีค.ศ. 1961 เพื่อให้ออกแบบและสร้างคอมพิวเตอร์ขึ้นมา เพื่อควบคุมยาน รวมทั้งนำทางไปและกลับจากดวงจันทร์ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งไม่มีแม้แต่สเปคที่พวกเขาต้องการ เนื่องจากเทคโนโลยีที่มีอยู่ในสมัยนั้น มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับภารกิจอพอลโล 11 และมีขนาดเล็กมากพอจะยัดเข้าไปในยานได้ คอมพิวเตอร์ AGC หรือ Apollo Guidance Computer ที่ใช้งานเป็นหลักบนยานอพอลโลนั้น ถูกแยกออกเป็นสองเครื่องด้วยกัน เครื่องหนึ่งติดตั้งไว้ในยานบังคับการ (Command Module) ส่วนอีกเครื่องอยู่ในยานลงดวงจันทร์ (Lunar Module) โดยมีขนาด RAM 2KB และ ROM เพียง 36KB เท่านั้น ซึ่งมือถือหลายๆ เครื่องบนโลกนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าถึงล้านเท่าในปัจจุบัน
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก นับเป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดทั่วโลก กำลังจะกลับมาเตะกันอีกครั้งในอีกไม่กี่อาทิตย์ที่จะถึงนี้ แต่เบื้องหลังตารางเตะ 380 นัดนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และการแก้ไขตารางเตะเพื่อไม่ให้ชนกับนัดฟุตบอลยุโรปนั้นทำอย่างไร เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับทุกทีมในลีกมากที่สุด วันนี้มาดูเบื้องหลังการจัดตารางของพรีเมียร์ลีก จาก Glenn Thompson เจ้าหน้าที่จาก Atos ที่ช่วยทำให้การจัดตารางนั้นเกิดขึ้นได้ การจัดตารางพรีเมียร์ลีกนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงต้นปี ซึ่งนั่นก็คือก่อนที่พรีเมียร์ลีกฤดูกาลก่อนหน้าจะสิ้นสุดลงเสียอีก โดยนี่จะเป็นช่วงที่ Thompson ได้ปฏิทินการลงแข่งโดยคร่าวๆ มา รวมทั้งช่วงเวลาที่มีพักเบรคไปเตะทีมชาติ การแข่งขันบอลถ้วยต่างๆ ที่จะทำให้เขาและทีมสามารถเริ่มวางช่วงเวลาการแข่งในแต่ละนัดลงไปได้ Thompson แบ่งทั้งฤดูกาลด้วยวิธี “Sequencing” ซึ่งจะแยกย่อยออกเป็น 5 เซ็ตด้วยกัน โดยเซ็ตในครึ่งหลังของฤดูกาล จะเป็นการสลับกันกับครึ่งแรกของฤดูกาลของทีมเหย้า-เยือน และมีกฏเหล็กสำคัญข้อหนึ่งในการจัดตารางการแข่งขันก็คือ ในทุกๆ 5 นัดที่แต่ละทีมลงเตะ จะต้องแบ่งเป็น 3 เกมเหย้ากับ 2 เกมเยือน (หรือสลับกันได้) ที่สำคัญก็คือทีม ๆ นึงจะไม่สามารถเป็นเจ้าบ้านหรือทีมเยือนติดต่อกันเกิน 2 นัดได้ นั่นรวมถึงบอลถ้วยต่างๆ ด้วยเช่นกัน รวมทั้งสองนัดแรกและสุดท้ายของฤดูกาล ทีมๆ นึงจะต้องมีการสลับเหย้า-เยือนกัน เพื่อไม่ให้มีการได้เปรียบเสียเปรียบกับทีมอื่นๆ โดยเฉพาะนัดท้ายๆ ที่หลายทีมต้องการแต้มมากที่สุดนั่นเอง
เหลือเวลาไม่ถึง 1 ปี ก่อนที่มหกรรมกีฬาระดับโลกอย่างโอลิมปิกครั้งที่ 32 จะถูกจัดขึ้น ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ฝ่ายเจ้าภาพเองก็เตรียมความพร้อมเรื่องต่าง ๆ อย่างแข็งขัน ล่าสุดเผยโฉมเหรียญรางวัลพร้อมความเจ๋งโดยมีคอนเซปต์สุดรักษ์โลกด้วยการเลือกใช้ขยะอิเล็กทรอนิกส์มารีไซเคิลเป็นวัสดุหลักในการสร้าง ถ้าพูดถึงกีฬาโอลิมปิก หนุ่ม ๆ หลายคนคงจะเฝ้ารอชมการแข่งขันและลุ้นว่าใครจะเป็นสุดยอดในกีฬาแต่ละชนิด รวมถึงสัญลักษณ์สำคัญที่จะมอบให้ผู้ชนะอย่างเหรียญรางวัลก็ถือเป็นอีกไฮไลต์สำคัญของการแข่งขันแต่ละครั้ง คราวนี้เจ้าภาพอย่างญี่ปุ่นมาในคอนเซ็ปต์รักษ์โลกด้วยการใช้เหรียญรางวัลที่ผลิตที่จากขยะอิเล็กทรอนิกส์ ทันทีที่ทราบว่าได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก คณะกรรมการจัดการแข่งขันของประเทศญี่ปุ่นก็ประกาศเริ่มต้นโปรเจกต์ “Tokyo 2020 Medel Project” ที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2017 จนถึงเดือนมีนาคม ปี 2019 เป้าหมายคือการรวบรวมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กจากทั่วประเทศเพื่อนำมารีไซเคิลสกัดเอาโลหะต่าง ๆ มาทำเป็นเหรียญรางวัลสำหรับ Olympic Tokyo 2020 การรวบรวมครั้งนั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก มีเมืองร่วมบริจาคจำนวน 1,621 จากทั้งหมด 1,741 เมือง โดยร้อยละ 90 เป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ น้ำหนักทั้งหมด 78,985 ตัน คาดว่าเป็นโทรศัพท์ประมาณ 6.21 ล้านเครื่องที่ถูกนำมาผ่านกรรมวิธีรีไซเคิลหล่อมเอาแร่สำคัญ จำนวนโลหะที่ได้มาคือ ทองคำ 32 กิโลกรัม เงิน
หลายคนกล่าวถึงความเลวทรามของโลกอาชญากรรมว่าเป็นสิ่งที่ต่ำตมไร้เกียรติ แต่บางคนก็มีมุมมองที่แตกต่างกันและคิดว่าอาชญากรรมที่ฉาวโฉ่ก็ซ่อนสิ่งสวยงามที่โรแมนติกเอาไว้ด้วยเช่นกัน รวมถึงโลกสีดำของประเทศญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยมาเฟียที่เรียกว่า ยากูซ่า ในครั้งนี้ UNLOCKMEN จะพูดถึงวงโคจรที่ไม่อาจก้าวออกมาได้ของหญิงสาวในโลกสีดำที่เหล่าผู้ชายไม่เคยเห็นหรือเคยนึกถึงมาก่อน โดยเล่าผ่านมุมมองและภาพถ่ายของ Chloe Jafe ช่างภาพสาวผู้สร้างคอลเลกชันรูปถ่ายชื่อว่า “命預けます” หรือ “I Give You My Life” ตามคำนิยามที่เธอเขียน ผู้หญิงไม่สามารถเป็นยากูซ่าได้ ดังนั้นโลกของมาเฟียญี่ปุ่นจึงเต็มไปด้วยผู้ชายเสียส่วนใหญ่ แม้กระนั้นบทบาทหน้าที่ที่ไม่ชัดเจนของเหล่าสตรีในโลกสีดำกลับเต็มไปด้วยความน่าสนใจ บางครั้งผู้หญิงญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งที่เป็นสาวธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นแฟนของยากูซ่าแต่ทำงานอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า “Grey Area” หรือพื้นที่สีเทา จำพวกบาร์ ร้านเหล้า โรงแรมที่ต้อนรับกลุ่มยากูซ่า ก็จะได้คลุกคลีและพบเจอกับโลกสีดำอยู่บ่อย ๆ และยังมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ก้าวผ่านเขตสีเทาไปยังสีดำอย่างเป็นภรรยาของยากูซ่า และสำหรับบางแก๊ง ผู้หญิงเก่งก็ถือเป็นนายหรือสุดยอดปรมาจารย์ที่ชายผู้มีรอยสักให้การยกย่องถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ถูกเรียกว่ายากูซ่าอย่างเป็นทางการก็ตาม เรื่องราวของพวกเธอหลบซ่อนอยู่ในซอกหลืบ ทำให้ Chloe Jafe ตระหนักว่าหากต้องการรูปถ่ายของพวกผู้หญิงก็จะต้องพบกับหัวหน้าของยากูซ่า เพราะในตามหลักแล้วผู้หญิงจะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เธอเลือกไม่ได้ว่าเธออยากถูกถ่ายภาพไหม และคนที่ตัดสินใจทุกอย่างคือผู้เป็นสามี แต่มันไม่ง่ายนักที่จะเข้าพบกับบอสใหญ่ ความยากนี้ทำให้เธอเกือบถอดใจเตรียมล้มคอลเลกชันภาพที่อยากทำ แต่แล้ววันหนึ่งในงานเทศกาลมีผู้ชายเดินเข้ามาหาและชวนเธอดื่ม ซึ่งชายคนนั้นคือคนที่ทำให้โปรเจกต์ภาพของเธอขยับเข้าสู่ความสำเร็จอีกขั้น เพราะเขาเป็นทายาทที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของตระกูลยากูซ่าที่ทรงอิทธิพล ชายคนดังกล่าวแนะนำให้ Chloe Jafe รู้จักกับภรรยาของเขา การพบกันในครั้งนี้ทำให้ช่างภาพสาวเริ่มเข้าสู่วงสังคมยากูซ่า เธอพบว่าผู้หญิงที่แต่งงานกับคนลำดับสูงของกลุ่มจะมีบอดี้การ์ดหญิงส่วนตัว และเธอก็ยังได้พูดคุยกับบอดี้การ์ดสาวนามว่า
สหรัฐอเมริกาในยุค 50 เป็นช่วงเวลาแห่งความเท่ที่เมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อไหร่ก็จะสัมผัสได้ถึงความคลาสสิกที่มีสไตล์ทุกครั้ง โดยเฉพาะกับเมืองลาสเวกัส (Las Vegas) ที่คนทั่วโลกตั้งฉายาว่าเมืองแห่งบาป (Sin City) เมืองที่เต็มไปด้วยเหล่าสตาร์ชื่อก้องโลก คาสิโน เป็นแหล่งบันเทิงชั้นนำของโลก ด้วยความวินเทจและตื่นตาที่เมืองอื่น ๆ ในช่วงเวลาเดียวกันยังไม่สามารถจัดจ้านได้เท่า จึงทำให้เราสนใจเมืองแห่งบาปและอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับลาสเวกัสหลังสงครามโลกครั้ง 2 หรือในช่วงยุค 50 เพื่อพบกับความงามของเมืองหลังสงคราม คงจะถูกใจคอรถเก่าสุดคลาสสิกกันไม่น้อยกันรูปถ่ายถนน Fremont ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่พาดผ่านคาสิโนหลายแห่งของลาสเวกัสในปี 1955 รูปดังกล่าวทำให้เราเห็นรถรุ่นเก่า ๆ ที่ในปัจจุบันแทบไม่เหลืออยู่แล้ว รวมถึงได้เห็นบรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองปี 1958 ที่ทำให้รู้ว่าไม่ว่าจะเมื่อไหร่ลาสเวกัสก็ไม่เคยหลับ แถมยังเห็นโรงแรมในตำนานอย่าง Golden Nugget โรงแรมและคาสิโนที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในย่าน downtown ที่ในตอนนี้ก็ยังเปิดให้บริการอยู่ ป้ายไฟนีออนหลากสีที่กระจายตัวอยู่เต็มสองฝั่งถนน รวมถึงรถยนต์คันโก้ที่จอดสนิทอยู่ริมทางเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยมาใช้บริการเพื่อความรื่นรมย์ที่เมืองแห่งบาปนี้ สระว่ายน้ำถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยบรรเทาอากาศที่ร้อนระอุ และในปี 1955 ผู้คนในยุคนั้นก็เห็นถึงความสำคัญของสระน้ำเช่นเดียวกับปัจจุบัน เพราะอากาศของเมืองลาสเวกัสในฤดูร้อนก็อบอ้าวเกินกว่าหลายคนจะทนไหว ด้วยความร้อนที่พุ่งสูงกว่า 100 ฟาเรนไฮต์ หรือประมาณ 38 องศาเซลเซียส ทำให้การได้แหวกว่ายอยู่ในน้ำเย็น ๆ ก็จะช่วยสามารถคลายความร้อนได้ และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถมีสระว่ายน้ำเป็นของตัวเอง การมาใช้บริการในโรงแรมพร้อมกับเสี่ยงโชคไปด้วยจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เหล่านักท่องเที่ยวและนักแสวงโชคแห่แหนกันมายังเมืองเพื่อคาสิโน อย่างในปี 1957
ในที่สุดสถิติของราคารองเท้าที่มีราคาซื้อขายผ่านการประมูลของ Converse คู่ที่ตำนานยัดห่วงอย่าง Michael Jordan เคยใส่แข่งขันในรอบชิงในการแข่งขันกีฬา Olympics ในปี 1984 ก็ถูกทำลายลงแล้ว โดยแชมป์ใหม่กลายเป็นของรองเท้าต้นแบบจาก Nike ที่มีฉายาว่า “Moon Shoe” ใครที่เคยคิดว่ารองเท้ารุ่นหายากหรือโมเดลแรร์ในอดีตคงจะไม่มีราคาควรค่าแก่การครอบครอง อาจต้องคิดใหม่ เพราะราคาประมูลรองเท้าที่แพงที่สุดในโลกคู่ก่อนหน้าอย่าง Converse ‘Jordan Olympics 1984 มีราคาถึง 190,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 5.8 ล้านบาท ในขณะที่สถิติคู่ใหม่ที่เป็น Prototype ของรองเท้าวิ่งทั้งมวลในโลกอย่าง Nike ‘Moon Shoe ที่ถูกประมูลไปในราคา 437,000 ดอลลาร์หรือประมาณ 13.5 ล้านบาทเลยทีเดียว เจ้า Moon Shoe ถือเป็นบรรพบุรุษของรองเท้าวิ่งที่ผลิตโดย Nike ในช่วงปี 1970 ที่ Phil Knight และ Bill Bowerman ผู้อยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของค่าย Swoosh ร่วมมือกันพัฒนาและสร้างขึ้นเพื่อให้กลายเป็นรองเท้าวิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนั้น ก่อนที่ Moon Shoe
สำหรับหนุ่ม ๆ ที่เคยลิ้มรสชาติวิสกี้ญี่ปุ่น คงรู้สึกประทับใจกับรสชาตินุ่มลึกและรสสัมผัสยากลืมเลือน รวมถึงกลิ่นวัตถุดิบเฉพาะถิ่นที่ทำให้วิสกี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นที่รู้จักระดับโลก และในอนาคตอันใกล้กำลังจะมีการประมูลคอลเลกชันวิสกี้ญี่ปุ่นอย่าง Hanyu Ichiro’s “Card Series” ที่ครองตำแหน่งคอลเลกชันที่มีราคาแพงที่สุดในโลกเพื่อทำลายสถิติของตัวเอง ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ชายที่หลงใหลการดื่มและสะสมวิสกี้จากดินแดนอาทิตย์อุทัย เมื่อ Bonhams ผู้ประมูลชื่อดังเตรียมนำ Hanyu Ichiro’s “Card Series” คอลเลกชันสุดหายากที่มีทั้งหมด 54 ขวด ออกประมูลอีกครั้งหลังจากที่เคยนำคอลเลกชันสมบูรณ์ออกประมูลครั้งแรกในปี 2015 ซึ่งก็ทำราคาสูงเป็นสถิติโลกด้วยราคา 3,797,500 ดอลลาร์ฮ่องกงหรือประมาณ 15,016,000 ล้านบาท จุดกำเนิดของวิสกี้คอลเลกชันนี้เกิดขึ้นจากความคิดของ Ichiro Ahuto ทายาทรุ่นที่ 19 ของโรงกลั่น Hanyu ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1941 โดย Isouji Ahuto ก่อนจะหยุดผลิตไปในปี 2000 โดย Ahuto คนหลานซึ่งกำลังก้าวเขามาดูแลกิจการแทน ตัดสินใจเลือก Premium whisky ในโรงกลั่นทั้งหมดกว่า 400 ถังมาบรรจุลงในขวดถังหมด 54 ขวด โดยแต่ละขวดเป็นตัวแทนของไพ่แต่ละใบก่อนวางขายในปี