เมื่อพูดถึงเรื่องราวของ Kanjozoku นักซิ่งแห่งย่าน Osaka กลุ่มสมาชิกผู้คลั่งไคล้รถยนต์ Honda แต่งซิ่งสไตล์ Group A ราวกับหลุดออกมาจากยุค 80s หรือ 90s ผู้ออกมารวมตัวกันขับรถประชันความเร็วบน Hanshin Expressway ที่ตัดผ่านกลางเมือง Osaka ซึ่งคนที่นั่นเรียกขานกันว่า “Kanjo Loop” ในเวลาปกติ มันคือเส้นทางที่ผู้คนใช้สัญจรไปมา แต่ในยามค่ำคืน ชาว Kanjozoku จะเปลี่ยน Loop ให้กลายเป็นสนามแข่งที่มีเสียงท่อแต่งดังกระหึ่มไปทั่ว เหรียญมี 2 ด้านเสมอ ในมุมของนักแข่งรถและกลุ่มคน Underground ผู้รู้สึกเบื่อหน่ายและต้องการฉีกตัวออกจากความน่าอึดอัดของสังคมญี่ปุ่น Kanjozoku หรือ Kanjo Racers ดูจะเป็นวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์ เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของคน Osaka / Kansai ผู้เปลี่ยน Kanjo Loop ยามค่ำคืนให้มีสีสัน ซึ่งหลายคนก็ยังคงความเป็น Kanjozoku แม้เวลาจะผ่านไปมากกว่า 20 ปีแล้วก็ตาม มันจึงเป็นอะไรที่มากกว่าแค่รถแต่งหรือการแข่งรถกวนเมือง สำหรับพวกเค้า Kanjozoku
ภารกิจอพอลโล 11 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มนุษย์ได้ไปลงจอดบนดวงจันทร์นั้น ประสบกับปัญหาหลายๆ อย่าง และหนึ่งในนั้นก็คือสถานที่ลงจอดของยาน ซึ่งไม่ได้ราบเรียบเหมือนกับที่ทีมงานบนโลกได้คาดคิดเอาไว้ ทำให้นีล อาร์มสตรอง ผู้บัญชาการของภารกิจจึงต้องบังคับยานด้วยตัวเอง เพื่อให้ไปลงจอดในสถานที่ๆ ปลอดภัยและราบเรียบ ซึ่งในปัจจุบันจุดๆ นั้นเป็นที่รู้จักกันว่า ‘Tranquility Base’ สถานที่แห่งแรกที่มนุษย์ได้ลงเดินบนดาวต่างดวง แม้จริงอยู่ว่าการลงจอดบนดาวอังคารนั้นก็เคยมีการใช้กล้องที่ใต้ยานเพื่อเลือกตำแหน่งลงจอดที่เหมาะสมที่สุด ทว่าสำหรับภารกิจ Mars 2020 ที่มีกำหนดไปลงจอดบนดาวอังคารในปีค.ศ. 2021 ที่จะถึงนั้น มีอุปสรรคที่ทำให้ภารกิจนี้ยากกว่าทุกภารกิจที่ NASA และหน่วยงานอื่นๆ ได้เคยส่งยานไปมา นั่นก็คือสถานที่ลงจอดของยานนั่นเอง Mars 2020 ถูกเลือกให้ลงจอดที่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเก่า ในหลุมอุกกาบาต Jezero ที่มีความกว้างกว่า 45 กิโลเมตร ซึ่งเต็มไปด้วยหุบเขาสูงชัน สันทราย และรายล้อมไปด้วยหลุมอุกกาบาตขนาดย่อมๆ อยู่ภายใน ซึ่งถ้านั่นยังยากไม่พอ พวกเขาจะบรรทุกอุปกรณ์ไปมากกว่ายานพี่สาวอย่าง Curiosity ที่ไปลงจอดในหลุมอุกกาบาต Gale เมื่อ 7 ปีที่แล้ว และสภาพของพื้นที่ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นหากภารกิจนี้จะต้องสำเร็จ พวกเขาจะต้องใช้สกิลของนีล อาร์มสตรอง แต่เป็นการลงจอดที่ดาวอังคารแทน ระบบ
อีก 100 ปีต่อจากนี้ โลกอนาคตจะเป็นอย่างไร ย่อมไม่มีใครรู้ได้แน่ชัด แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ผู้คนในสมัยนั้นคิดว่าโลกที่เราอาศัยกันอยู่ ณ ปัจจุบันจะเป็นอย่างไรกัน และสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันตรงกับที่พวกเขาได้วาดฝันกันไว้หรือไม่ ผลงานสิ่งที่ผู้คนในปีค.ศ. 1900 ทำนายอนาคตในอีก 100 ปีข้างหน้านี้ เกิดขึ้นโดยบริษัทช็อกโกแลตสัญชาติเยอรมัน Hildebrands ได้ไอเดียทำโปสต์การ์ดทำนายอนาคต จากผู้คนในสมัยวิคตอเรียน ว่าวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีได้หมุนโลกเราไปถึงไหนแล้วบ้าง มีทั้งที่สมจริง และบางไอเดียที่หลุดโลกไปในปัจจุบัน ซึ่งเราเดาว่าแม้แต่บริษัทเองก็คงไม่คาดฝันว่า Postcard วันนั้ย จะกลายเป็น Reference ในยุคก่อนได้แบบนี้ ดังนั้นไปดูกันเลยว่าพวกเขาทำนายอะไรกันไว้บ้าง และมันจะเป็นไปอย่างที่คนในยุค 1900 จินตนาการไว้หรือไม่ ทางเท้าเลื่อนได้ ทางเท้าที่สามารถเคลื่อนที่ได้ เพื่อร่นระยะทางและเวลาที่ผู้คนจะใช้ในการเดิน ซึ่งในปัจจุบันแม้เราจะยังไม่ถึงขั้นมีทางเท้าบนท้องถนนที่เคลื่อนที่ได้แบบนี้ แต่เราสามารถเห็นเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงสิ่งนี้ได้ในอาคารทั่วไป หรือที่เราเรียกมันว่า บันไดเลื่อน นั่นเอง ตึกเคลื่อนที่ด้วยระบบราง 100 ปีก่อนมีคนจินตนาการว่าพวกเราน่าจะสามารถยกตึกทั้งตึกเดินทางไปกับเราได้ จากไอเดียของการใช้หัวรถจักรมาเคลื่อนอาคารไปตามราง ทว่าในปัจจุบันไอเดียนี้ก็ยังค่อนข้างห่างไกลจากความเป็นจริงไปนิด แต่ก็เคยมีการย้ายบ้านด้วยวิธีที่คล้ายคลึงกันมาแล้ว ตามในวีดีโอด้านล่างนี้ การถ่ายทอดภาพและเสียงจากโรงละคนสู่บ้านเรือน ไอเดียที่แม่นยำว่ามนุษย์ยุคเราจะทำได้ การแสดงในโรงละครที่สามารถถ่ายทอดออกไปได้ทั้งภาพและเสียง นี่คือสิ่งที่เราได้เห็นในชีวิตประจำวันของสมัยนี้ แต่สิ่งที่เหนือความความคิดของคนยุคก่อน คงไม่รู้ว่าปัจจุบันการ
เคยไหมเวลาจะพาสาว ๆ ไปกินข้าวหรือพาไปเที่ยวที่ไหนสักที่ ขณะเรากำลังขับรถก็ปล่อยให้เธอดูแผนที่ตามปกติ แต่แล้วเธอดันพาเราไปหลงได้บ่อยครั้ง แม้จะมีระบบนำทางอัจฉริยะอย่าง GPS ก็ดูจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ที่แย่ไปกว่านั้นคือประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องทะเลาะว่าใครถูกใครผิดและทำให้เราทั้งคู่เถียงกันไม่รู้จบ ต้องบอกว่าการดูแผนที่นอกจากจะต้องเข้าใจข้อมูลมิติเชิงพื้นที่แล้ว ยังต้องใช้จินตนาการคาดเดาเส้นทางว่าเลี้ยวซ้ายแยกนี้หรือเลี้ยวขวาแยกหน้า เพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างถูกต้อง ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตนมีศักยภาพด้านแผนที่และชำนาญเส้นทางมากกว่าผู้หญิง แต่แท้ที่จริงแล้วหญิงหรือชายที่เก่งเรื่องนี้มากกว่ากัน? เพศสภาพและฮอร์โมน เพศสภาพที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดทำให้ผู้ชายและผู้หญิงต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งเผยว่าแม้เพศชายจะแข็งแรงทางกายภาพมากกว่า แต่ผู้หญิงนั้นมีวิธีจัดการกับอารมณ์ได้ดีกว่าผู้ชายเรา เนื่องจากผู้หญิงจะใช้สมองสองส่วนในการแก้ปัญหา คือส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุผลและส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ขณะที่ผู้ชายใช้สมองเพียงส่วนเดียว ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าฮอร์โมนเพศที่ต่างกันทำให้ความสามารถทางปัญญาของสองเพศไม่เหมือนกัน โครงสร้างสมองและการเชื่อมต่อของเส้นประสาท งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร National Academy of Sciences เผยว่าเหตุที่ผู้ชายชำนาญเรื่องแผนที่มากกว่าผู้หญิงเป็นเพราะโครงสร้างสมองและวิธีการเชื่อมต่อของเส้นประสาทในสมอง (hardwired) ต่างกัน สมองของผู้ชายเส้นประสาทจะเชื่อมต่อกันจำนวนมากบริเวณด้านหน้าและด้านหลังของสมองซีกเดียวกัน ใขณะที่ผู้หญิงนั้นการเชื่อมต่อส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา การเชื่อมต่อของเส้นประสาทที่ต่างกันทำให้ระบบการประมวลผลในสมองของชายและหญิงไม่เหมือนกัน ผู้หญิงจึงชำนาญเรื่องความคิดเชิงตรรกะ การจดจำ การรับรู้ ตลอดจนสัญชาตญาณ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือพวกเธอนั้นเชี่ยวชาญทางด้านวาจาและมีความฉลาดทางอารมณ์มากกว่าผู้ชายเรา แต่ถ้าเป็นงานเกี่ยวกับอวกาศ ทักษะยานยนต์ หรือการอ่านแผนที่ผู้ชายจะทำได้ดีกว่า เพราะผู้ชายมีจุดเด่นในการควบคุมกล้ามเนื้อและการอ่านข้อมูลมิติเชิงพื้นที่ ผู้ชายเก่งแผนที่มากกว่าผู้หญิง? นักประสาทวิทยาที่ The Norwegian University of Science and Technology ให้อาสาสมัครชาย
ในปีค.ศ. 1964 Reg Spiers นักกีฬาพุ่งแหลนชาวออสเตรเลีย ผู้หมดหวังจากความพยายามแข่งเพื่อชิงตั๋วไปแข่งกีฬาโอลิมปิกที่โตเกียวในปีนั้น กำลังติดอยู่ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เขาไม่มีแม้แต่เงินที่จะซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน และด้วยความที่เขาอยากกลับไปให้ทันวันเกิดของลูกสาว ทำให้ Spiers ตัดสินใจแพ็คตัวเองใส่ลังไม้ และส่งกลับบ้านผ่านไปรษณีย์ Reg Spiers ได้ติดทีมชาติมาแข่ง Commonwealth Games (กีฬาที่รวมเอาชาติในเครือจักรภพมาแข่งกัน) ในปีค.ศ. 1962 แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บรบกวน ส่งผลให้เขาเสี่ยงจะไม่ได้ไปร่วมแข่งโอลิมปิกในปีค.ศ. 1964 ที่โตเกียว จนต้องมารักษาตัวในประเทศอังกฤษ ด้วยความหวังว่าเขาจะหายจากอาการบาดเจ็บได้ทัน ทว่าเมื่อเขารู้ดีว่าโอกาสไปแข่งโอลิมปิกนั้นหมดลงแล้ว Spiers ได้ตัดสินใจไปเข้าทำงานในสนามบิน เพื่อหาเงินให้ได้พอซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับออสเตรเลีย แต่ทุกอย่างได้พังลง เมื่อกระเป๋าเงินของเขาถูกขโมยไป ทำให้เงินที่เก็บสะสมมาโดยตลอดหายไปทั้งหมด และที่บ้านยังมีทั้งภรรยากับลูกสาวรอเขาอยู่ โดยเฉพาะลูกสาวที่กำลังจะครบวันเกิดในไม่ช้านี้ ทำให้ Spiers ค่อนข้างรีบเร่งและกระวนกระวายหาทางกลับไปให้ทัน โชคยังดีที่เขาทำงานอยู่ในฝ่ายที่ดูแลสินค้าบรรทุกส่งออก ซึ่งทำให้เขาทราบข้อมูลเรื่องขนาดสูงสุดของกล่องที่สามารถส่งผ่านเครื่องบินได้ การเก็บเงินปลายทาง และเขายังได้เคยเห็นการขนส่งสัตว์ผ่านวิธีนี้อีกด้วย นั่นได้จุดประกายความคิดให้กับ Spiers ว่า ‘ถ้าสัตว์เหล่านี้ทำได้ เขาก็ต้องทำได้’ Spiers ได้ขอให้ John McSorley เพื่อนนักกีฬาพุ่งแหลนที่อยู่อาศัยกับเขาในลอนดอน ได้ช่วยสร้างกล่องขนาด
เป็นอีกครั้งที่แบรนด์นาฬิการะดับตำนานอย่าง Patek Philippe ส่งผลงานเข้าสู่งานประมูลนาฬิกาเพื่อการกุศลชื่อดังอย่าง OnlyWatch ที่จัดขึ้น 2 ปีหน และครั้งนี้ถือเป็นการจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8 นับจากเริ่มต้นครั้งแรกในปี 2005 จากคอนเซ็ปต์การประมูลนาฬิกาพิเศษที่มีเพียงเรือนเดียวในโลก ตรงกับชื่องานที่ตั้งไว้คือ “Only Watch” ทำให้งานนี้กลายเป็นงานที่รวมนาฬิกาหายากจากแบรนด์ชั้นนำทั่วทุกมุมโลก และอยู่ในระดับแรร์สุด ๆ เพราะบางเจ้าถึงกับออกแบบและผลิตนาฬิกามาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ OnlyWatch งานประมูลนาฬิการะดับโลกที่นำรายได้ทั้งหมดมอบให้กับ Monegasque Association องค์กรที่นำเงินไปสนับสนุนโครงการวิจัยเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้อเสื่อมดูเชน Duchenne muscular dystrophy (DMD) และแม้งานนี้จะเป็นงานประมูลการกุศลแต่อย่าได้ดูถูกความสามารถของคำว่า “เรือนเดียวในโลก” เด็ดขาด เพราะในปีที่ผ่านมาเงินสะพัดภายในงานประมูล OnlyWatch นั้นสูงถึง 1,300,000,000 ล้านบาท แน่นอนว่าไม่มีทางที่ Patek Philippe จะพลาดงานนาฬิกาการกุศลที่ใหญ่ขนาดนี้ ชื่อของ Patek จึงอยู่ในลิสต์หนึ่งในห้าสิบสองแบรนด์ที่จะนำนาฬิกามาประมูลในปีนี้ทันทีพร้อมระบุรุ่นนาฬิกาที่เคาะราคาไม่ได้ง่ายอย่าง Grandmaster Chime 6300A (Grandmaster Chime Ref.6300) ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษ หน้าปัดบอกเวลาทั้งหน้าและหลัง แถมได้รับการยอมรับจนถูกขนานนามให้เป็นนาฬิกาข้อมือที่มีความซับซ้อนที่สุดในโลก Patek Philippe ขึ้นชื่อเรื่องความประณีตในการสร้างระบบกลไกแสดงเวลาที่ซับซ้อน หน้าปัดทั้งสองด้านผลิตจากทองคำ 18 กะรัต ด้านหนึ่งใช้สีแซลมอนพร้อมแกะสลักลวดลาย Guilloche หรือที่เรียกว่าลายกิโยเช่ที่รับแรงบันดาลใจจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ออกมาเป็นลายเส้นบนหน้าปัดนาฬิกา รังสรรค์โดยช่างฝีมือที่รับประกันว่าเป็นงานทำมือ
‘ประเทศแห่งความสุข’ และ ‘ประเทศแห่งความเศร้า’ ดูเป็นวลีนามธรรมที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างคล่องปาก แต่เราเชื่อว่าทั้งสองคำนี้อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกขั้วตรงข้ามที่ต่างกันอย่างชัดเจน สำหรับประเทศที่ผาสุกคงห้อมล้อมไปด้วยความเจริญและคุณภาพชีวิตที่ดี แต่อีกด้านของโลกก็มีประเทศที่โศกเศร้าและเต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกข์จนยากที่จะใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนดังกล่าว มีรายงานจาก The Sustainable Development Solutions Network for the United Nations เผยว่า 5 ประเทศต่อไปนี้ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่เศร้าที่สุดในโลก แล้วพวกคุณคิดว่าเหตุผลใดที่ทำให้คนยกให้ประเทศเหล่านี้เป็นประเทศโศกเศร้าและทุกข์ตรมได้ขนาดนั้น? SOUTH SUDAN สาธารณรัฐซูดานใต้ได้รับสมญานามว่าเป็นประเทศที่เศร้าที่สุดในโลก แม้จะเพิ่งได้เอกราชไปเมื่อปี 2011 แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ประเทศนี้อยู่ในสายตาของประเทศชั้นนำอื่น ๆ นอกจากความไม่สงบ กองกำลังติดอาวุธ และผู้ลักลอบล่าสัตว์ในเขตหวงห้าม ที่นี่ยังมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายอีกนับไม่ถ้วน ทั้ง Al-Shabaab, Lord’s Resistance Army, Boko Haram หรือแม้แต่ Janjaweed CENTRAL AFRICAN REPUBLIC สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ประเทศรองอันดับหนึ่งที่มีประชากรคนเศร้าเยอะไม่แพ้ซูดานใต้ ที่นี่เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลทำให้การติดต่อค้าขายทางเรือไม่เคยถูกบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ ทั้งยังเคยตกอยู่ใต้อาณัติของฝรั่งเศสและเพิ่งจะได้รับเอกราชไปเมื่อปี 1960 บวกกับความวุ่นวายของประธานาธิบดีที่สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ นำไปสู่การรัฐประหารและโค่นล้มระบอบการปกครอง ซึ่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะจบลง แถมยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ AFGHANISTAN
มนุษย์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่ออกเดินทางผจญภัยไปในสถานที่ใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครเคยไปมาก่อน และเมื่อ 50 ปีที่แล้วก็เช่นกัน มีมนุษย์ 3 คน ที่กำลังจะเดินทางไปสถานที่ๆ ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ ดวงจันทร์บริวารของโลกเรานั่นเอง สามคนที่ว่านั้นก็คือ Neil Armstrong, Buzz Aldrin และ Michael Collins นักบินอวกาศในภารกิจอพอลโล 11 ที่ได้ออกเดินทางพร้อมเป้าหมายในการลงจอดบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก การเตรียมพร้อมทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยดีแล้ว และลูกเรือทุกคนก็มีความมั่นใจว่าภารกิจนี้จะต้องประสบความสำเร็จ ทว่าถึงจะมั่นใจ แต่พวกเขาก็ประสงค์ที่จะทำประกันชีวิตเอาไว้ก่อนจะออกเดินทางอยู่เช่นกัน ซึ่งบรรดาบริษัทประกันก็ทราบดีถึงความเสี่ยงในอาชีพของบรรดานักบินอวกาศ ทำให้โอกาสในการเอาประกันของพวกเขานั้นมีอยู่น้อยมาก และยังมีราคาสูงกว่าเงินเดือนของพวกเขาเสียอีก (ตอนนั้น Neil Armstrong มีรายได้จากการเป็นนักบินอวกาศราว $17,000 แต่ค่าเบี้ยประกันชีวิตที่มีความเสี่ยงสูงจะไม่ได้กลับมานั้น ถูกตั้งไว้สูงถึง $50,000 ต่อปี ซึ่งเทียบเป็นมูลค่าเงินในปัจจุบันก็มากกว่า $300,000 หรือมากกว่าปีละ 9 ล้านกว่าบาทไทยเลยทีเดียว) แน่นอนว่าช้อยส์นี้ไม่ได้ถูกเลือกโดยนักบินอวกาศทั้งสาม แล้วพวกเขาใช้วิธีไหนกันล่ะ ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่าจุดประสงค์ของการทำประกันในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการที่ครอบครัวของพวกเขาจะได้มีเงินก้อนเอาไว้ใช้ ในกรณีที่ภารกิจประสบความล้มเหลว และพวกเขาไม่สามารถกลับโลกมาได้ แต่ในเมื่อทำประกันชีวิตไม่ได้ พวกเค้าก็เกิดปิ๊งไอเดียหาเงินให้กับครอบครัวของพวกเค้าได้อีกทาง นั่นคือการสร้างมูลค่าให้ของใกล้ตัวอย่างการเซ็น Postcard ระหว่างที่นักบินทั้ง 3
ในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโลกของเรากำลังเผชิญกับปัญหาพลาสติกที่ล้นโลกอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในเมืองต่างๆ ที่ประสบปัญหาขยะล้นเมือง หรือตามท้องมหาสมุทร ที่เรามักจะเห็นภาพของขยะพลาสติกลอยเกลื่อนบนผิวน้ำ และอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตอยู่ได้อีกด้วย แต่ล่าสุดนักวิจัยชาวเม็กซิโกได้ค้นพบวิธีที่จะแปรรูปใบของกระบองเพชร ให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับพลาสติกที่ใช้งานตามท้องตลาดในปัจจุบัน พร้อมๆ กับสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ รวมทั้งไม่มีสารพิษตกค้าง ทำให้เป็นมิตรกับการเก็บรักษาสิ่งต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น Sandra Pascoe Ortiz นักวิจัยผู้ค้นพบวิธีทำพลาสติกจากต้นกระบองเพชร ได้เปิดเผยวิธีแปรรูปของเธออย่างคร่าวๆ กับทาง BBC โดยเริ่มจากตัดใบของต้นกระบองเพชรออกมา หั่นเอาหนามและเปลือกที่หุ้มโดยรอบออก จากนั้นนำไปเข้าเครื่องปั่นเพื่อคั้นเอาน้ำออกมา ก่อนจะนำไปแช่เย็นไว้ในตู้เย็น หลังจากนั้นก็ผสมเข้ากับสารตามสูตร ซึ่งสารที่ผสมลงไปเหล่านี้จะปลอดสารพิษอีกด้วย หลังจากนั้นก็นำมารีดให้เป็นแผ่นบางๆ ทิ้งไว้จนแห้ง และก็จะได้เป็นวัตถุที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับพลาสติกนี้ขึ้นมา ซึ่งในปัจจุบันกระบวนการนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น 10 วันด้วยกัน โดยจะมีการผลิตอยู่ในภายห้องแล็ปของเธอ ความพิเศษของวัตถุชนิดนี้อยู่ที่มันสามารถย่อยสลายในธรรมชาติได้ภายใน 1 เดือน หลังจากที่มันถูกฝังลงดิน และในน้ำจะใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น ส่วนถ้ามันเข้าไปอยู่ในร่างกายของคนหรือสัตว์ ก็สามารถถูกดูดซับได้โดยไม่เป็นภัยต่อร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างดี เนื่องจากในปัจจุบันปริมาณพลาสติกขนาดเล็กหรือ Microplastic ที่มนุษย์ได้รับเข้าไปต่ออาทิตย์นั้นมีมากถึง 5 กรัมด้วยกัน เทียบเท่ากับการบริโภคบัตรเครดิต 1 ใบ/สัปดาห์เลยทีเดียว ในปัจจุบันเธอกำลังวิจัยสายพันธุ์ของต้นกระบองเพชรมากกว่า 300 สายพันธุ์ เพื่อเลือกหาสายพันธุ์ที่มีคุณสมบัติดีที่สุดมาใช้ในการผลิต
เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ สองประเทศที่ถูกแบ่งแยกกันอันเนื่องมาจากสงคราม และยังคงอยู่ในภาวะที่เตรียมพร้อมจะรบกันได้อยู่เสมอ เนื่องจากสงครามเกาหลี ที่เกิดขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1950-1953 นั้นยังไม่ได้สิ้นสุดลงอย่างแท้จริง ทว่ามีเพียงแค่สัญญาหยุดยิงระหว่างสองฝั่งเท่านั้น ที่ถูกลงนาม ณ วันที่ 27 กรกฏาคม ค.ศ. 1953 นั่นทำให้ซีกเหนือและใต้ของเกาหลีได้ถูกแบ่งกันที่บริเวณเส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ ซึ่งเป็นบริเวณที่กำลังจากทั้งสองฝั่งได้มาเผชิญหน้ากัน และเมื่อสัญญาหยุดยิงได้ถูกลงนามแล้วนั้น ทหารและกองกำลังจากทั้งสองฝั่งต้องถอยหลังออกจากจุดเผชิญหน้าไปฝั่งละ 2 กิโลเมตร ซึ่งทำให้เกิดเป็นเขตปลอดทหารหรือ Demilitarized Zone (DMZ) กว้าง 4 กิโลเมตร และกินระยะยาว 250 กิโลเมตรด้วยกัน โดยมีเส้นแบ่งเขตแดนตั้งอยู่ที่กึ่งกลางของ DMZ แม้ในเขตๆ นั้นจะเป็นเขตปลอดทหารสมชื่อ แต่บริเวณโดยรอบนั้นกลับมีกองกำลังจากทั้งสองประเทศอยู่เป็นจำนวนมาก จนเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ๆ มีการติดอาวุธและมีทหารประจำการอยู่มากที่สุดในโลกเลยทีเดียว และมีเพียงจุดเดียวในบริเวณ DMZ ที่ทั้งสองฝั่งสามารถมาเผชิญหน้ากันได้โดยตรง นั่นก็คือบริเวณเขตรักษาความปลอดภัยร่วม หรือ Joint Security Area (JSA) ที่ JSA นั้นเป็นสถานที่ๆ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอยู่มากมาย ไล่ตั้งแต่ การส่งตัวเชลยสงครามผ่านสะพานที่ไม่สามารถย้อนกลับ หรือ