ฮิปฮอปกับแฟชั่นถือเป็นของคู่กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ละยุคก็จะมีไอคอนที่แตกต่างกันออกไป เราเติบโตมากับ Run DMC ที่คนต้องหาหมวก Bucket มาใส่กันทั่วบ้านทั่วเมือง หรือแม้แต่ยุค Air Force 1 ที่ Jay-Z หรือ Nelly ใส่ใน Music Video ช่วงยุค 2000 จนมาถึงปรากฎการณ์ Yeezy ของ Kanye West ที่ทำให้สตรีทแฟชั่นการเป็นเรื่องของทุกคน แต่หากพูดถึงไอคอนของเด็กยุคนี้คงไม่มีใครโดดเด่นเกินหน้าเกินตาของ Jacques Bermon Webster II หรือ Travis Scott ย้อนกลับปี 2013 คือจุดเริ่มต้นของ Travis Scott ที่ออกสู่สายตาประชาชนเป็นครั้งแรกจากมิกซ์เทป Owl Pharaoh ก่อนจะปล่อยอัลบั้มเต็มในเวลาต่อมา สร้างความสนใจให้กับบรรดาแฟนๆ ฮิปฮอปที่ได้ดาวรุ่งดวงใหม่ประดับวงการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตัว โชว์การแสดงสด หรือแม้แต่แนวดนตรี ที่เรียกได้ว่าถอดแบบมาจากอาจารย์ Kanye West ซึ่งเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และไม่ได้อินเทรนด์เหมือนเดิม Travis Scott
โลกลูกหนังปัจจุบันได้เปลี่ยนสถานะที่เป็นมากกว่ากีฬาเพื่อหาความบันเทิง แต่มันได้กลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีเงินสะพัดจำนวนหลายพันล้านเหรียญต่อปี แถมเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมมากมายอย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งหากย้อนกลับไป 10-20 ปีก่อน ฟุตบอลก็ได้รับและส่งต่ออิทธิพลในโลกแฟชั่นอยู่แล้ว มีการแต่งตัวแบบ Terrace Culture ที่มีรากฐานมาจากฟุตบอล และเป็นต้นกำเนิดให้แบรนด์อย่าง Stone Island, Palace, Fred Perry ในปัจจุบันและเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนโลกก็เปลี่ยนตามไปเช่นกัน ฟุตบอลยิ่งกลายเป็น Sub-culture หนึ่งของแฟชั่น และตัวของนักฟุตบอลเองก็มีสถานะไม่ต่างจากดารา Influencer ชื่อดัง ที่สามารถนำแฟชั่นมาใช้โปรโมตในชีวิตประจำวันหรือบนสนามหญ้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องเดินบนเวทีหรือพรมแดง ทำให้หลายสโมสรหรือธุรกิจมองเห็นโอกาสและพยายามจะโยงทั้งสองเรื่องนี้เข้าไว้ด้วยกัน เป็นการปรับภาพลักษณ์ในเชิงพาณิชย์ให้สโมสรกลายเป็นแบรนด์สินค้าอย่างหนึ่ง สามารถหาเงินได้หลากหลายทางมากขึ้น อาทิ สโมสร Manchester United ที่ผันตัวเองเป็นบริษัทมหาชนอย่างเต็มตัว ทำการค้านอกสนามและสนใจเม็ดเงินกำไรมากกว่าผลการแข่งขันในสนามเสียอีก แต่หนึ่งสโมสรที่ยกระดับและปรับตัวได้อย่างรวดเร็วกับยุคฟุตบอลพาณิชย์ ต้องยกให้ทีมนี้ Paris Saint Germain หลังจากการเข้ามาเทคโอเวอร์ของกลุ่มมหาเศรษฐีตะวันออกกลาง QSI เมื่อปี 2011 ที่มีเป้าหมายใหญ่คือการทำให้ ปารีส นั้นเป็นมหานครแห่งฟุตบอลและแฟชั่น PSG จะต้องเป็นสโมสรระดับโลกและแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นแนวหน้า ทำให้เกิดการรีแบรนดิ้งครั้งใหญ่ มีการเปลี่ยนโลโก้ใหม่ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น พวกเขาเริ่มปรับปรุงจากในสนามแข่งก่อน พร้อมทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อเซ็นสัญญาคว้าซุเปอร์สตาร์ของโลกอย่าง เดวิด แบคแฮม
ในบรรดา Supercar ที่หามาครอบครองได้ยากสุด ๆ หนึ่งในนั้นคือ Ford GT เพราะแทนที่จะเน้นผลิตขายให้ได้เงินมากที่สุด Ford เลือกที่จะจำกัด GT เอาไว้สำหรับนักขับที่ต้องการขับมันจริง ๆ ไม่ใช่คนรวยที่ซื้อไปสะสมในโรงจอดรถ และที่หายากยิ่งกว่า Ford GT เวอร์ชั่นปกติก็คือ “Studio Collection” edition พิเศษที่มีจำนวนจำกัดเพียง 40 คัน Ford เปิดตัวโปรเจก GT ‘Studio Collection’ ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังไม่เคยมีใครได้เห็นมันมาก่อนจนกระทั่งวันนี้ นี่คือรถที่สร้างและตกแต่งโดยการร่วมมือกับ Multimatic หนึ่งใน Motorsport division ของ Ford ใน Canada ขุมพลัง 3.5-liter V6 660 แรงม้า มาในสีตกแต่งพิเศษ ‘extended palette’ เพิ่มจาก 7 สีมาตรฐาน 2021 Ford GT ‘Studio
เป็น Justin Bieber ทั้งที จะขับรถดี ๆ เดิม ๆ ให้เหมือนคนอื่นไปทำไม ด้วยความสุดของ Bieber บวกกับสุดยอดความสร้างสรรค์ของสำนัก West Coast Customs จัดการแต่ง Rolls-Royce โดยใช้แรงบันดาลใจจาก Rolls Royce 103EX Vision 100 ซึ่งเป็น concept car พลังไฟฟ้าของ RRs ที่เคยปรากฏโฉมไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งน่าจะจำกันได้ กับภาพของ Phantom ที่ถูกปรับโฉมให้ล้ำโดยเฉพาะซุ้มล้อทั้ง 4 ด้านที่มีบอดี้ปกคลุมล้อขนาด 28 นิ้ว สำหรับผลงาน One-of-one ที่ West Coast Custom ออกแบบให้ Justin Bieber ดีไซน์ได้แรงบันดาลใจจาก 103EX Vision 100 อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่เหมือนกันเป๊ะซะทีเดียว แต่โดยรวมได้ภาพความเป็น futurist car
audi E-tron GT รถธงคันใหม่ในโลกแห่ง High-performance EV car จาก audi เผยโฉมออกมาเรียบร้อยแล้ว หน้าตาเหมือน Prototype ไม่มีผิด บอกเลยว่า Porsche Taycan ต้องระวังหลังเอาไว้ให้ดี audi เปิดตัวรถทรง 4-door coupe ที่ผสมผสานดีไซน์ สมรรถนะ และพลังงานไฟฟ้า 100% เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างน่าประทับใจ มี 2 รุ่น ให้เลือกคือ Standard และรหัสร้องแรงอย่าง RS E-tron GT พร้อมกัน โดยตัว RS ใช้โรงงานสายพานการผลิตเดียวกับพี่ใหญ่ R8 ให้พละกำลัง 646 แรงม้า แรงบิดมากถึง 830 นิวตันเมตร ทำเวลา 0-100 km/h ใน 3.3 วินาที แรงว่า Taycan 4S
World of Warcraft เกมแนว MMORPG ออนไลน์ชื่อดังสุดคลาสสิกขึ้นหิ้งของ Blizzard Entertainment เกมในตำนานที่มียอดผู้เล่นสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกที่ผ่านกาลเวลามายาวนาน และยังคงเปิดให้เล่นจนถึงปัจจุบัน เชื่อว่าชาว UNLOCKMEN หลายคนต้องเคยเข้าไปผจญภัยในโลกสงครามแฟนตาซีใบนี้มาแล้วอย่างแน่นอน World of Warcraft เปิดให้เล่นครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ปี 2004 และได้กลายเป็นเกมที่มีผู้เล่นทั่วโลกรวมกันสองล้านคนในเวลานั้น แต่ภายหลังจากเปิดให้บริการไปเพียงหนึ่งปี ได้เกิดเหตุการณ์ที่กลายเป็นฝันร้ายของเหล่าเกมเมอร์ และเป็นเรื่องราวสุดแปลกระดับตำนานในวงการเกม นั้นคือ “Corrupted Blood” เหตุการณ์ไวรัสระบาดที่ทำลายทุกชีวิตในโลก Warcraft หายนะครั้งนี้เริ่มต้นในวันที่ 13 กันยายน ปี 2005 ในขณะนั้นเกมได้มีอีเวนต์พิเศษให้ผู้เล่นทำในโซน Zul’Gurub เป็นภารกิจที่จะให้เหล่าผู้เล่นร่วมพลังช่วยกันสู้กับ Raid Boss ที่มีชื่อว่า Hakkar ซึ่งเป็นบอสสุดโหดที่มาพร้อมกับสกิลใหม่ที่มีชื่อว่า “Corrupted Blood” ที่จะทำการโจมตีผู้เล่นโดยตรง สร้างความเสียหายโดยการลดค่า HP (Health Point) ของผู้เล่น เพื่อนำไปเพิ่มเป็นค่าพลังชีวิตให้บอส หรือผู้ใช้สกิล
ตลอดช่วงอายุ 60 ปี ของภาพยนตร์ชุดเจมส์ บอนด์ (James Bond) นับตั้งแต่ภาคแรกออกฉาย เรื่องราวของสายลับอังกฤษเจ้าเสน่ห์ผู้นี้ ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วทั้งสิ้น 25 ภาค และมีนักแสดงก้าวเท้ามารับบทนำรวมทั้งสิ้น 6 คน โดยนักแสดงคนแรกที่ได้รับบทนี้คือ ฌอน คอนเนอรี (Sean Connery) นอกจากภาพจำในฐานะนักแสดงชื่อดังที่ฝากผลงานมาแล้วมากมาย โดยเฉพาะบทสายลับหน้าหล่อเวอร์ชันคลาสสิก เขายังเคยเป็นอดีตนักฟุตบอล และฝีเท้าของเขาก็สามารถทำให้ผู้จัดการทีมฟุตบอลชื่อดังจากเกาะอังกฤษสนใจดึงตัวเขาไปร่วมทีม ฌอน คอนเนอรี เกิดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ปี 1930 ที่เมืองเอดินเบอระ เมืองหลวงของประเทศสกอตแลนด์ เขาไม่ใช่เด็กโชคดีที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดเหมือนดาราดังทั่วไป เพราะชีวิตในวัยเด็กของเขาต้องต่อสู้กับความยากจน ครอบครัวของเขามีพื้นเพเป็นชาวไอร์แลนด์ที่อพยพมาอยู่อาศัยในสกอตแลนด์ พ่อเเม่ของเขาประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ทำให้เมื่อคอนเนอรีโตพอจะดูแลตัวเองได้ เขาจึงเริ่มหางานพิเศษทำเป็นเด็กส่งนมตามบ้าน เมื่ออายุ 16 ปี คอนเนอรีตัดสินใจสมัครเข้ากองทัพเรือสกอตแลนด์ เป้าหมายคือการหางานที่มั่นคง และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว แต่สุดท้ายอาชีพนายทหารของเขาต้องสิ้นสุดลงเนื่องจากเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้เขาถูกปลดประจำการในอีก 4 ปีต่อมา คอนเนอรีต้องกลายเป็นคนตกงาน เขาจึงต้องหางานพิเศษทำเพื่อเลี้ยงปากท้อง ไม่ว่าจะเป็น ทำงานเหมืองถ่านหิน
หลายคนอาจจะเคยเห็นผลงานของ MSCHF แต่ไม่เคยรู้จักแบรนด์นี้มากนัก เป็นแบรนด์ที่มี Business model แปลกประหลาดจนเจ้าของบริษัทเองก็ไม่รู้จะนิยามตัวเองว่าอะไรดี แต่สรุปง่าย ๆ คือเป็นบริษัทใน Brooklyn, NY ที่เน้นผลิต Content ไอเดียสุดแปลกผ่านทั้งสินค้าและเนื้อหาใน Online ที่เท่และใช้งานได้จริง เช่น Chicken Bong และ Jesus Shoes เป็นต้น เดี๋ยวเราจะเจาะลึกเรื่องแบรนด์นี้กันอีกครั้ง ผลงานล่าสุดของ MSCHF (อ่านว่า mischief) ‘Birkinstock‘ ชื่อที่ทุกคนรู้จักและสร้างสรรค์ออกมาตรงตัวแต่ไม่ธรรมดา ด้วยการเอารองเท้าแตะ Birkenstock บ้าน ๆ ที่เราใส่กันทุกวี่วัน มาอัพเกรดให้กลายเป็นผลงานสุดหรูขั้นเทพด้วยการเปลี่ยนหนังรองเท้า แทนที่ด้วยหนังจากกระเป๋า Hermes Birkin และตั้งราคาที่บ้าคลั่งตามภาษาของสะสม เริ่มต้นที่ $34,000 – $76,000 USD (1- 3 ล้านบาท) ขึ้นอยู่กับรุ่นหนังว่ามาจาก Hermes Birkin ใบไหน ซึ่งที่แพงสุด ๆ
ถ้าให้นึกถึงสินค้าที่สามารถทำตลาดได้นานถึง 22 ปี โดยแทบไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ที่ผมพอจะนึกได้ก็มี ยาคูลท์ แล้วก็ Suzuki Hayabusa Suzuki Hayabusa คือ Sport Bike ที่แรงจนคนทั้งโลกต้องยอมรับ ตำนานเหยี่ยวอ้วนจากแดนปลาดิบที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1999 พร้อมตำแหน่ง The World’s Fastest Production Motorcycle ที่ทำความเร็วสูงสุดได้ทะลุ 300km/h ตั้งแต่วันแรกที่ออกจากสายพานการผลิตแบบเดิม ๆ ความแรงของ Suzuki Hayabusa นั้นเร็วน่ากลัวจนกระทบการส่งออกไปขายนอกญี่ปุ่น ต่างชาติต้องตกลงกับ Suzuki แบบลับ ๆ ให้จำกัดความเร็วก่อนนำเข้าไปขายเลยทีเดียว และนั่นทำให้ตัวเลข Top Speed ของ Hayabusa ในแต่ละภูมิภาคแตกต่างกันออกไป ระหว่าง 299, 303, 312 km/h แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขไหน ก็ไม่มีใครทำรถเดิม ๆ จากโรงงานออกมาได้แรงกว่า Suzuki Hayabusa ซึ่งที่ใกล้เคียงที่สุดเกือบกระชากตำแหน่งได้ก็คือ Kawasaki
หลังจากมนุษยชาติต่างพากันโล่งใจที่วิกฤติ Y2K ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เมื่อตัวเลขดิจิตอลเปลี่ยนเลขสหัสวรรษ จาก 19 สู่ 20 โลกของดนตรีก็ขานรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เราไม่จำเป็นต้องพกคาสเซ็ทท์หรือซีดีเทอะทะ เพราะไฟล์เพลงเริ่มแปรรูปเป็น MP3 ส่วนแนวดนตรี Emo / Nu Metal และ Garage ที่ตั้งไข่ตั้งแต่ปลายยุค 90s ก็เริ่มกระหึ่มในยุค 2000s เสียงกริ่งโทรศัพท์มือถือเริ่มเป็นเสียงริงโทนจากจังหวะเพลงฮิตในยุคนั้น Unlockmen ขอนำทุกท่านย้อนกลับไปฟังเพลงสุดฮิตในยุคนั้น ที่แค่ขึ้น Intro ก็ใส่กันยับแล้ว นับว่าเป็นเพลงชาติแห่งยุค 2000s ที่ได้ยินเมื่อไหร่ ก็นึกถึงช่วงเวลานั้นทันที Papa Roach – Last Resort เพลง Nu Metal ที่ผสมสัดส่วนของเพลงร็อคและเพลงแร๊พได้อย่างลงตัว เป็นเพลงเดบิวท์ที่ทำให้โลกรู้จักวงร็อคคณะป๊ะป๋าแมลงสาบอย่างเป็นทางการ แม้บทเพลงจะมันส์ชวนโยกอย่างรุนแรง แต่เนื้อหานั้นกลับพูดถึงเรื่องซีเรียสอย่างการฆ่าตัวตาย โดยเนื้อหาของเพลงนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับรูมเมทที่พยายามจะฆ่าตัวตาย เพื่อนๆจึงพาเขาไปบำบัดทางจิตเพื่อช่วยให้เขาเลิกคิดสั้น ซึ่งเนื้อเพลงอธิบายความทรมานผ่านท่อนฮุคที่ชวนโดดได้ว่า ‘Cause I’m losing my sight, losing my