เป็นอีกหนึ่งฤดูกาลอันย่ำแย่โดยแท้จริงสำหรับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เต็มไปด้วยนักเตะซุปเปอร์สตาร์ค่าตัวแพงมากมาย แต่กลับต้องหล่นจากทีมลุ้นแชมป์กลายมาเป็นทีมที่ต้องลุ้นพื้นที่ไปยูโรป้าลีกแทน ถึงแม้ว่าจะมีการปลดโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ไปกลางฤดูกาล และได้ราล์ฟ รังนิค เข้ามาคุมทีมขัดตาทัพชั่วคราว แต่ผลงานกลับไม่กระเตื้องขึ้นทำเอาแฟนบอลปีศาจแดงไม่อยากจะเสียเวลาเปิดดูแมตช์การแข่งขันกันเลยทีเดียว แน่นอนว่านอกจากแทคติกของโค้ชที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่บรรดานักเตะฟอร์มห่วยก็มีส่วนกับความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเช่นกัน ใครที่ได้ชมเกมการแข่งขันจะพบว่ามีนักเตะหลาย ๆ คนเล่นบอลเหมือนไม่มีแพชชั่น ขาดความกระหายในการไล่ล่าชัยชนะ มันแตกต่างจากนักเตะทีมลุ้นแชมป์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือลิเวอร์พูล โดยสิ้นเชิง เอาจริง ๆ ก็เทียบไม่ได้กับทีมที่ลุ้นพื้นที่ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์, อาร์เซนอล และเชลซี เลยด้วยซ้ำ ปัญหาที่เกิดขึ้นเชื่อว่าเป็นสิ่งแรกที่เอริก เทน ฮาก ว่าที่กุนซือคนใหม่ของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะต้องจัดการเป็นอย่างแรกเพื่อปรับปรุงทีมให้เข้ารูปเข้ารอย และเป็นการคัดกรองนักเตะจากความรอยัลตี้ที่มีต่อสโมสรด้วยเช่นกัน และนี่คือเหล่าบรรดานักเตะที่ในฤดูกาลนี้สอบตกอย่างรุนแรง พอล ป๊อกบา กองกลางชาวฝรั่งเศสที่มีทรงผมโดดเด่นกว่าฝีเท้า ป๊อกบาถูกปีศาจแดงในยุคของโจเซ่ มูริญโญ่ซื้อตัวกลับมาจากยูเวนตุสด้วยค่าตัวสูงถึง 89.3 ล้านปอนด์ พร้อมกับการขายคอนเทนตด้วยคำว่า “Pogback” เขามาพร้อมกับความคาดหวังของบรรดาแฟนบอลที่อยากจะเห็นเข้าโชว์ฝีเท้าเทพ ๆ เหมือนสมัยที่วาดลวดลายกับทีมม้าลาย อย่างไรก็ตามตลอด 6 ฤดูกาลที่ค้าแข้งในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด
เคยใช่ไหม? ที่ต้องมานั่งรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่ได้ยินหรือพบเห็นคำนินทา บางครั้งก็ทำให้เรามานั่งสงสัยว่าเราไปทำอะไรให้เจ็บแค้นเคืองโกรธขนาดนั้นเลยหรอ? บางครั้งมันก็ลุกลามทำให้เราเครียด จนสูญเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิต เพราะต้องมาคอยนั่งระแวดระวังว่าจะถูกใครด่าใครนินทาบ้าง เล่นเอาเสียความเป็นของตัวเองไปเลย หากคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น และยังหาทางออกไม่ได้ ลองมาดูวิธีรับมือพวกปากหอยปากปูเพื่อกู้ความสุขเราให้คืนกลับมาจากทาง Unlockmen กันดีกว่าครับ ช่างแม่ง หลักการแรกพูดง่าย ๆ แต่ทำยากคือการ “ปล่อยวาง” หรือจะให้พูดแบบภาษาเข้าใจง่ายกว่านั้นคือ “ช่างแม่ง” เพราะชีวิตเรามันเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะได้พบเจอคำนินทาต่าง ๆ นานา ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เหมือนกับชาวพุทธศาสนิกชนที่ชอบพูดกันว่า “แม้แต่พระพุทธเจ้า ยังโดนนินทา” ดังนั้นเราก็ไม่ควรไปให้ค่า ไม่ไปสนใจเสียงพวกนี้เลย คิดซะว่าเหมือนเสียงนกเสียงกาเสียงหมาเห่า พอเหนื่อยเดี๋ยวก็หยุดกันไปเอง หากเราสามารถใช้วิธีการปล่อยวางได้ จิตใจของเราก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น แถมมีภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเรื่องน่ารำคาญใจด้วยเช่นกัน ฟ้องร้อง เอาให้หนัก แม้เราจะสามารถปล่อยวางเป็น แต่เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรปล่อยผ่านเพราะถ้าหากคำนินทาหรือใส่ร้ายทำให้เราเสื่อมเสียเกียรติ ชื่อเสียง หรือมีผลกระทบกับองค์กรณ์ของเรา วิธีการฟ้องโดยใช้กฏหมายเล่นงานดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด หากเรามีหลักฐานชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโพสต์ต่าง ๆ บนโซเชียลเนตเวิร์ก, ข้อความตามแชทส่วนบุคคล หรืออะไรก็แล้วแต่ที่สามารถอ้างอิงเป็นข้อมูลยืนยันได้ เราก็ดำเนินการแจ้งความฟ้องหมิ่นประมาทกับทางสถานีตำรวจ ก่อนจะส่งต่อให้ทนายช่วยดูแลเคสและตามมาด้วยเข้าสู่กระบวนการของศาลในที่สุด แม้อาจจะเป็นวิธีที่เสียเวลา แต่นี่คือการฟาดกลับอย่างถูกต้อง สะใจ แถมอาจจะได้ค่าเสียหายกลับมาใช้เล่น ๆ อีกด้วย อย่าลืมให้พรบ.คอมให้คุ้มค่า
[เนื้อหามีสปอยล์เล็กน้อย] หากจะให้พูดถึงภาพยนตร์ทาง Netflix ที่มาแรงที่สุดในช่วงนี้คงต้องยกให้ “Gangubai Kathiawadi” หรือที่ทุกคนต่างเรียกกันสั้น ๆ ว่า “คังคุไบ” ภาพยนตร์ของประเทศอินเดียที่ถูกสร้างมาจากการอ้างอิงจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ เป็นการนำเสนอเรื่องราวของโสเภณีที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิให้กับเหล่าหญิงสาวที่ประกอบอาชีพเดียวกับเธอ จนกลายเป็นที่กล่าวขานไปทั่วประเทศ “คังคุไบ” นำแสดงโดย อาเลีย บาตต์ นักแสดงสาวชาวอินเดียมากความสามารถ เธอสามารถตีทุกบทบาททุกอารมณ์ได้แตกกระเจิง ซึ่งมันถูกส่งออกมาผ่านแววตาที่ทำให้เราเชื่อในสิ่งที่เธอแสดงได้อย่างหมดจด รวมไปถึงบรรดานักแสดงสมทบทั้ง อชัย เทวคัน ซึ่งรับบทเป็น ราฮิม ลาลา มาเฟียผู้พลิกชีวิตคังคุไบ, จิม ซาร์บ รับบทเป็น เฟซี นักข่าวผู้มีส่วนสำคัญที่ทำให้คังคุไบกลายเป็นที่รู้จัก และนักแสดงอีกหลาย ๆ คนต่างก็สวมบทบาทแต่ละตัวละครออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกคนต่างมีความสำคัญในเรื่องราวที่ดำเนินไปด้วยความเข้มข้นด้วยจังหวะที่มีกราฟขึ้นลงจนไปถึงจุดไคลแมกซ์ แม้ภาพยนตร์จะมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะแต่ก็ไม่ได้ทำให้การรับชมรู้สึกน่าเบื่อแต่อย่างใด อีกสิ่งที่โดดเด่นมาก ๆ คือภาพและบรรยากาศภายในภาพยนตร์ที่ถ่ายทำออกมาได้สวยและงดงามทุกซีนแบบชนิดที่ว่าสามารถแคปเจอร์ออกมาเป็นภาพถ่ายสวย ๆ ได้ตลอดทั้งเรื่อง แต่เหนือสิ่งอื่นใด “คังคุไบ” ได้มอบแรงบันดาลใจให้เรามีความกล้าในหลาย ๆ เรื่องดังนี้ กล้าต่อสู้เพื่อความยุติธรรม คังคุไบเธอต้องมาประกอบอาชีพโสเภณีโดยไม่ได้สมยอม ทำให้เธอต้องก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมที่เธอไม่ต้องการ แต่ถึงกระนั้นเธอก็มีมุมมองถึงศักดิ์ศรีในตัวมนุษย์เช่นกัน ซึ่งเหตุการณ์ในเรื่องจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอถูกทำร้ายร่างกายจนทำให้ต้องสูญเสียการหารายได้ไปช่วงใหญ่ ๆ ทำให้เธอตัดสินใจรวบรวมความกล้าเพื่อนำเรื่องราวดังกล่าวไปบอกถึงบุคคลที่เธอคิดว่าจะทวงคืนความยุติธรรมในครั้งนี้ได้ทั้ง ๆ ที่เธอไม่ได้รู้จักคนคนนั้นมาก่อน แต่ด้วยวาทะศิลป์ของคังคุไบ ทำให้เธอสามารถพิชิตความไม่ถูกต้องได้สำเร็จ กล้าต่อสู้เพื่ออำนาจที่ต้องการ คังคุไบมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เพื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
Blur คือหนึ่งในวงร็อกแห่งอาณาจักรบริตป๊อปที่รุ่งเรืองสุดขีดในช่วงยุค 90’s พวกเขาฝากผลงานไว้ทั้งหมด 8 อัลบั้มพร้อมด้วยเพลงฮิตติดหูผู้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “Girls And Boys”, “Beetlebum”, “Coffee And Tv” และอีกหนึ่งเพลงที่แม้ไม่ใช่แฟนของวง Blur ก็ต่างรู้จักกันดี มันคือเพลง “Song 2” นั่นเอง “Song 2” เป็นเพลงที่รวมอยู่ในอัลบั้มที่มีชื่อเดียวกับวง ถูกปล่อยให้ฟังครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน ปี 1997 หรือ 25 ปีที่ผ่านมา ตัวดนตรีแม้จะดูง่าย ๆ ไม่มีความซับซ้อนแต่ก็มีความโดดเด่นด้วยความมันส์กับซาวด์กีตาร์แตกสนั่น เสียงร้องยียวนกวนประสาท และมีความกระชับด้วยความยาวเพียง 2:02 นาที พร้อมด้วยการบิวด์ท่อนฮุคที่จดจำง่ายด้วยคำว่า “วู้ฮู้” เป็นตัวเลือกในการปลดปล่อยอารมณ์ความสนุกออกมาได้ดีมาก จนสุดท้ายมันได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งผลงานเพลงที่ประสบความสำเร็จของวง Blur แต่รู้หรือไม่จริง ๆ แล้วเราเกือบจะไม่ได้ฟังเพลง “Song 2” ในเวอร์ชั่นที่มันส์สะใจ เพราะจุดเริ่มต้นของเพลงนี้มันมาจากดนตรีที่บรรเลงด้วยอะคูสติคกีตาร์ที่มีคำร้องในท่อนคอรัสว่า “วู้ฮู้” แถมยังมาในรูปแบบเพลงช้าอีกต่างหาก แต่โชคดีที่ทาง Graham
คุณเคยลองถามตัวเองไหมว่าทุกวันนี้เคยทำอะไรที่เป็นตัวเองได้เต็ม 100% แล้วหรือยัง? หรือเคยมีโอกาสได้ลองทำมันบ้างซักครั้งหรือยัง? เคยได้ออกจากกรอบที่คอยสกัดกั้นความกล้าบ้าบิ่นของเราแล้วหรือไม่? แน่นอนว่าคำตอบของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป แต่ไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้ที่มีนามว่า “นราวุธ อำนวย” หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันในชื่อ “แร็ปเอก” แร็ปเอกเคยสร้างกระแสไวรัลในโลกโซเชียลมีเดียเมื่อประมาณเกือบ 10 ปีที่แล้ว ด้วยการแร็ปพรีเซนต์ความเป็นตัวเองแบบได้แหวกแนวสุด ๆ สุดชนิดที่แบบไม่เหมือนใครและไม่มีใครกล้าเหมือน แถมยังมาพร้อมคำสร้อย “อัยย๊ะ ใช่ ๆ” ที่หลอนดูคนฟังมาจนทุกวันนี้ แต่กว่าที่เขาจะยืนหยัดมาได้ต้องสู้รบตบมือกับบรรดาคำวิจารณ์ด้านลบและการถูกบูลลี่ที่ทำให้เขาเคยท้อหนักมาแล้ว แต่เขารับมือกับมันอย่างไรให้ผ่านพ้นช่วงเวลาเลวร้ายเหล่านั้นมาได้ มาทำความรู้จักความเรียลอีกหนึ่งมุมของแร็ปเอกที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยเห็นไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ แร็ปเอกอดีตพนักงานพิสูจน์อักษรที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นศิลปินมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น แม้เขาจะสร้างชื่อด้วยการแร็ป แต่แท้จริงแล้วเขากลับชื่นชอบวงร็อกมากกว่าซะอีก จึงไม่แปลกใจที่ไอดอลของเขาจะมีทั้งวงหิน เหล็ก ไฟ, ดอนผีบิน, Silly Fools, Kiss รวมไปถึง Guns N’ Roses ด้วยเช่นกัน แต่ปัญหาของการทำวงนั่นคือการต้องหาสมาชิกให้ครบทุกตำแหน่ง ซึ่งมันกลายเป็นงานยากของแร็ปเอก ทำให้เขาตัดสินใจเบนเส้นทางจากร็อกเกอร์กลายมาเป็นแร็ปเปอร์แทน “เมื่อก่อนมีความฝันอยากมีวงเป็นของตัวเอง แต่หาไม่ได้เลยคิดว่าออกเดี่ยวไปเลยดีกว่า เพราะมันจะใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น ก็เลยตัดสินใจมาเป็นแร็ปเปอร์ครับ” ดูเหมือนว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่ทำให้อดีตหนุ่มพนักงานประจำได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าชีวิตนี้ต้องเป็นแร็ปเปอร์ เขาจึงลงมือเขียนเพลงที่พรีเซนต์ตัวตนออกมาโดยใช้ชื่อว่าเพลง “แร็ปเอก”
เคยใช่ไหมที่เรารู้สึกขุ่นเคืองใจทุกครั้งกับการประชุมในที่ทำงานเพราะความคิดเราโดนตีตก หรือเคยใช่ไหมที่ทะเลาะกับแฟนเพียงเพราะต้องการเอาชนะความคิดของเขาให้ได้ ปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นสามารถแก้ได้หากคุณสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนคือการอภิปรายเพื่อถกหาข้อเท็จจริง หรือสิ่งไหนถือการโต้เถียงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เราต้องการ สำหรับความแตกต่างของทั้ง 2 แบบคือ 1.การอภิปรายถือเป็นวิธีที่การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ความเคารพทางความคิดซึ่งกันและกัน 2.ข้อโต้เถียงคือการพยายามที่จะทำให้อีกฝั่งยอมรับความคิดของเราว่าถูกต้องหรืออยู่เหนือกว่า ความแตกต่างของการอภิปรายและการโต้เถียงมันยังบ่งบอกได้จากน้ำเสียง เช่นการโต้เถียงมักจะมาพร้อมกับน้ำเสียงที่พร้อมจะทำลายความมั่นใจของฝั่งตรงข้าม แต่การอภิปรายจะมีความนุ่มนวล ประณีประนอม มีพยายามทำความเข้าใจกับคนที่เห็นต่าง และช่วยขยายมุมมองของแต่ละฝ่ายให้กว้างออกไปมากยิ่งขึ้นได้จากข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รวบรวมมา นอกจากนั้นการโต้เถึยงยังนำพามาสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกัน เพราะมันทำให้คุณรู้สึกถึงการสูญเสียอำนาจหรือความสำคัญอะไรบางอย่างไปเพียงเพราะเรารู้สึกว่าความคิดเราไม่ได้รับการสนับสนุน จนบางครั้งสมองได้ไปกระตุ้นอะดรีนาลีนทำให้รู้สึกอยากจะให้คู่โต้แย้งต้องยอมรับในความคิดเราให้ได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากบุคคลที่ไม่สามารถควบคุมอีโก้ของตัวเองได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นการโต้แย้งด้วยอารมณ์จะไม่มีทางได้ไอเดียหรือการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องกลับมาอย่างแน่นอน การโต้เถียงอย่างรุนแรงไม่ได้ส่งผลลบให้กับชีวิตการทำงานเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงชีวิตคู่ด้วย บ่อยครั้งการทะเลาะกันของคู่รักมักจะใช้คำพูดที่รุนแรงหรือภาษากายบางอย่างเพื่อลดทอนคุณค่าของอีกฝ่ายเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกมีอำนาจเหนือกว่า และต้องการจะเอาชนะในการโต้เถียงนี้ให้ได้ จุดนี้มันอาจจะส่งผลไปสู่ความสัมพันธ์ที่ถดถอยลงจนสุดท้ายต้องเลิกราหย่าร้างกันไป ดังนั้นเราจึงต้องยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ยอมรับความเห็นต่าง แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นด้วยทุกประการก็ตาม ก่อนจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องใช้การตัดสินใจที่รอบครอบ หรือมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในวงกว้าง เราก็ควรจะต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ ใช้สติให้มาก เปิดใจพร้อมรับฟังความคิดเห็นคนอื่น มันก็จะช่วยให้ชีวิตของคุณมีความสุขมากขึ้นจากที่เคยเป็นมาอย่างแน่นอนครับ Source : 1
การโยกย้ายสโมสรของบรรดานักเตะในโลกฟุตบอลก็เป็นเรื่องปกติ เพราะนโยบายของแต่ละทีมก็ต้องการสร้างความแข็งแกร่งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ได้ตั้งเอาไว้ ทีมงบน้อยก็ใช้น้อย ทีมงบเยอะก็ใช้เยอะ แตกต่างกันออกไปตามขนาดของสโมสร แต่การย้ายสโมสรจะกลายเป็นเรื่องไม่ปกติทันทีหากนักเตะคนใดคนหนึ่งตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมคู่อริ และนี่คือ 5 แข้งจูดาสแห่งพรีเมียร์ลีกที่โลกฟุตบอลไม่มีวันลืม 1.ไมเคิล โอเว่น ไมเคิล โอเว่น เจ้าของฉายาเบบี้โกลด์ เขาเคยเป็นเจ้าหนูนักเตะที่ฝีเท้าเจิดจรัสแสงตั้งแต่อายุยังไม่ 20 ปี ด้วยความเร็ว ความคม และการกระชากบอลหนีกองหลังอันน่าทึ่ง โดยเฉพาะในฟุตบอลโลก ปี 1998 กับแมตช์ที่พบกับทีมชาติอาร์เจนตินา แม้ว่าทีมชาติอังกฤษจะตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าในเกมวันนั้นคนที่โดดเด่นมากที่สุดก็คือโอเว่น กับจังหวะที่เลี้ยงหลบผู้เล่นทัพฟ้าขาวเข้าไปยิงมันบ่งบอกถึงความสุดยอดของเบบี้โกลด์ได้เป็นอย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจที่เหล่าบรรดาเดอะค็อปต่างยกย่องให้โอเว่นกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ประจำถิ่นแอนฟิลด์ และมองว่าเขาคนนี้นี่แหล่ะที่จะกลายมาเป็นฮีโร่ของการทวงแชมป์ลีกสูงสุดในเกาะอังกฤษกลับมาให้ได้ แต่แล้วบรรดากองเชียร์ทีมหงส์แดงก็ต้องฝันสลาย ในฤดูกาล 2004-2005 ทางโอเว่นตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมราชันย์ชุดขาว เรอัล มาดริด แต่เขาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร มีโอกาสลงเล่นไม่ได้มากตามที่คาดหวังไว้ จนสุดท้าย Owen ก็อยู่่ในสเปนได้เพียแค่ 1 ฤดูกาลก่อนตัดสินใจกลับประเทศอังกฤษเพื่อมาร่วมทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด โอเว่นใช้เวลาอยู่ในถิ่นเซนต์ เจมส์ ปาร์ค ทั้งหมด 4 ฤดูกาล แต่ลงเล่นรวมไปเพียง 79 นัด ยิงได้
ชีวิตของคนเราแน่นอนว่าต้องเจอทั้งวันที่ดี ๆ และวันที่ร้าย ๆ หมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนกันไป ในวันที่ดีย่อมสร้างกำลังใจในการใช้ชีวิตของเรา แต่ในวันที่แย่ก็มักจะมีเรื่องมาบั่นทอนความรู้สึกของเราได้เหมือนกัน จนในบางครั้งมันทำให้ความมีชีวิตชีวาของเราหายไปลุกลามถึงขั้นหมดกำลังใจได้เช่นกัน ในเมื่อหมดกำลังใจก็ต้องเติมกำลังใจไม่ว่าจะเป็นจากคนในครอบครัว, คนที่เรารัก, เพื่อนสนิท หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงาน แต่ถึงแม้จะมีคนรอบตัวมากมายก็อย่าเพิ่งคิดว่าจะได้รับสิ่งที่เราคาดหวังกลับมา เพราะมันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่มาตอกย้ำทำให้คุณยิ่งรู้สึกดิ่งลงไปอีก ดังนั้นแล้วเราจึงจำเป็นที่จะต้องมาเรียนรู้การให้กำลังใจกับตัวเองให้เป็น แม้คนจะตีตราว่าการพูดกับตัวเองไม่ต่างจากคนบ้า แต่การไม่รู้จักพูดอะไรกับตัวเองเลยจะทำให้เราเป็นบ้ามากกว่าเดิมซะอีก สิ่งเหล่านี้ยืนยันได้จากผลวิจัยของ American Psychological Association ที่บ่งบอกว่าการพูดคุยกับตัวเองในทางบวกนั้นดีต่อสุขภาพจิตใจของคุณอย่างมากเลยทีเดียว การพูดในเชิงบวกให้ตัวเองยังส่งผลให้มีส่วนช่วยในการปรับอารมณ์และสภาวะจิตใจ ซึ่งวิธีดังกล่าวบรรดานักกีฬาโอลิมปิกหรือนักกีฬามืออาชีพมักจะหยิบนำมาใช้เวลาซ้อมหรือก่อนลงทำการแข่งขันอยู่เสมอเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง รวมไปถึงบรรดานักดนตรีแนวร็อกที่มักจะมีคำพูดปลุกความฮึกเหิมให้กับตัวเองก่อนขึ้นเวที การพูดกับตัวเองในเชิงบวกเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเยียวยาจิตใจของตนเอง และมันยังสามารถใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่มีค่าใช้จ่ายซักบาท มันสามารถช่วยขจัดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าจากอารมณ์ของคุณออกไปได้ และเป็นวิธีการง่ายๆ ในการสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอการพูดกับตัวเองในเชิงบวกยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดให้ลดลงได้ ทาง Barton Goldsmith ปริญญาบัณฑิตสาขาจิตวิทยาได้เผยว่าตัวเขาได้เคยไปดูการทำงานของบรรดาสตั๊นท์แมนในกองถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งจะมีฉากที่ดูแล้วยังไงต้องได้รับอาการบาดเจ็บอย่างแน่นอน เช่น การตกบันได แต่สตั๊นท์เหล่านั้นดูเหมือนว่าแทบจะไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งพวกเขาได้เปิดเผยเคล็ดลับกับทาง Barton ว่า “คุณต้องทำจิตให้ว่างและคอยพูดคุยกับร่างกายของตนเอง” หลังจากนั้นทาง Barton ได้มีโอกาสทดลองด้วยตนเองเพราะเขาได้ลื่นตกจากบันไดในอพาร์ตเมนต์ และเขาได้พยายามพูดกับตัวเองว่า “ทุกอย่างจะโอเค ปล่อยใจให้สบาย” สุดท้ายเขาก็ได้ผลลัพธ์ตรงตามที่สตั๊นท์แมนเคยแนะนำ เพราะ Barton พบว่าเขาไม่ได้มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก
คุณเคยรู้สึกไหมว่างานศิลปะสามารถผสมผสานและแตกแขนงไปในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด หากคุณยังไม่รู้สึก อยากให้ลองมองไปรอบ ๆ ตัว สิ่งของต่าง ๆ ที่ปรากฏตรงหน้า หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ ล้วนผ่านกระบวนการงานศิลปะมาแล้วทั้งสิ้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มันได้บ่งบอกความไร้ขอบเขตของงานศิลปะ แม้กระทั่งศิลปะวัฒนธรรมของไทยเองก็ยังสามารถนำไปประยุกต์ให้เข้ากับศิลปะร่วมสมัยได้อย่างลงตัว และ “โตส-ปัญญวัฒน์ พิทักษวรรณ” คือหนึ่งในตัวแทนศิลปินที่กำลังมาแรง ผลงานที่สามารถสะท้อนการฟิวชั่นของงานศิลปะให้ออกมาได้อย่างมีเอกลักษณ์ โตส ปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นนักออกแบบเต็มตัว ตั้งแต่กำหนดภาพลักษณ์องค์กร รวมไปถึงทำแบรนด์เสื้อผ้าภายใต้ชื่อ Mia.Company โตส สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองอย่างมากจากผลงานที่ฝากไว้กับทาง Adidas Brand Center ที่สยามสแควร์ ซึ่งเป็นผลงานศิลปะสื่อผสมจำนวน 2 ชิ้น ได้แก่ “กึกก้อง” และ “เปล่งประกาย” รวมไปถึงยังเคยร่วมงานกับทางพิพิธภัณฑ์จิม ทอมป์สัน, นิตยสาร A Day, Joox Music Award 2019 และอีกมากมาย โตสมีความหลงใหลศิลปะไทยมาตั้งแต่วัยเด็ก เพราะเคยแสดงเป็นโขนมาก่อน “ตอนนั้นเราเริ่มหลงใหลวัฒนธรรมไทยเพราะรู้สึกมันมีความพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องของรามเกียรติ์ (Ramakien) มันจะมีเรื่องของตัวร้าย
แม้ประเทศจะมีเส้นแบ่งกั้นพรมแดน แต่สำหรับโลกของดนตรี มันสามารถข้ามพ้นขีดจำกัดเหล่านั้นได้ มันสามารถแทรกซึมไปได้ทั่วทุกหย่อมหญ้าอย่างง่ายดาย กระจายตัวอย่างรวดเร็วราวกับไวรัสที่แพร่ระบาดเจาะเข้าไปสร้างอิทธิพลให้กับผู้ฟังถึงขนาดที่ทำให้ใครซักคนหนึ่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินระดับโลกได้เลยทีเดียว Vannda คือหนึ่งในนั้น แร็ปเปอร์หนุ่มวัย 25 ปี จากประเทศกัมพูชา ที่รับเอาวัฒนธรรมดนตรีฮิปฮอปเข้ามาแบบลงลึกถึงชั้น DNA เขาได้กลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย หลาย ๆ แทร็กมียอดเข้ารับชมถล่มทลายหลายสิบล้านวิว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้พูดคุยกับ Vannda และเราทำได้ วันนี้ UNLOCKMEN ขอพาทุกคนไปทำความรู้จักตัวตนและแนวคิดของ Vannda ให้มากกว่าเดิม ผ่านเรื่องราวที่ส่งออกมาจากบทเพลงของผู้ชายคนนี้กันครับ VannDa หรือ Mann VannDa เกิดมามีชีวิตที่ไม่แตกต่างจากเด็กธรรมดาทั่วไป ผู้ใหญ่ภายในบ้านต่างคาดหวังให้เขาเติบโตไปมีการมีงานที่ดี อยากให้เป็นนักธุรกิจ เป็นหมอ หรือเป็นทนายความ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ได้มาเจอกับดนตรีฮิปฮอป “ตอนผมอายุ 6 ขวบ ผมชอบฟังเพลงจากเครื่องเล่น MP3 มาก ๆ จนมีอยู่วันหนึ่ง วันดี พี่ชายของผมได้แนะนำให้รู้จักกับเพลงฮิปฮอป หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมก็เลยกลายเป็นคนที่ชื่นชอบฮิปฮอปไปเลย ผมชอบมันมากครับ” นี่คือจุดเริ่มต้นง่าย ๆ กับเส้นทางความฝันที่ย่ิงใหญ่ของ VannDa หลังจากที่ค้นหาตัวตนเจอ Vannda จึงมีความมุ่งมั่นที่ต้องการก้าวขึ้นมาเป็นแร็ปเปอร์ให้ได้