เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมาคือวันครบรอบ 28 ปีการจากไปของ Kurt Donald Cobain ฟรอนต์แมนของวง Nirvana ผู้สร้างปรากฎการณ์ให้กับวงการดนตรีทั่วโลกไว้มากมาย ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน มีแฟนเพลงมากมายที่ชื่นชอบ Nirvana จนถอนตัวไม่ขึ้น หนึ่งในนั้นคือ “ใหม่ พิชชานันท์ ชัยศิริ” ใหม่เป็นบุคคลที่ขับเคลื่อนชีวิตด้วยซาวด์ดนตรีจากเมืองซีแอตเทิลของวง Nirvana มันได้สร้างอิทธิพลให้เขาสร้างวงดนตรีที่มีชื่อว่า Revive 90’s ขึ้นมา เท่านั้นยังไม่พอมันยังได้ลุกลามกลายเป็นการสร้างกลุ่ม Nirvana Thailand ตามขึ้นมาด้วยเช่นกัน อะไรทำให้ทำให้ผู้ชายคนนี้ต้องบ้าคลั่งวง Nirvana ได้ขนาดนี้ ไปค้นหาคำตอบพร้อม ๆ กันได้เลย SMELLS LIKE TEEN SPIRIT ประตูบานแรกสู่นิพพาน จุดเริ่มต้นการติดตามวง Nirvana เกิดขึ้นช่วงเรียนมัธยม ใหม่ได้มีโอกาสฟังเพลง “Smells Like Teen Spirit” ผลงานจากอัลบั้ม Nevermind ที่ถือได้ว่าเป็นเพลงที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนรู้จัก Nirvana ด้วยเช่นกัน
ภาพยนตร์หรือซีรีส์ แน่นอนว่ากว่าจะเกิดขึ้นมาเป็นภาพที่เราได้รับชมมันจะต้องประกอบไปด้วยทีมงานหลายชีวิต ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง, ผู้กำกับ, ช่างภาพ, ช่างไฟ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏออกมาจะไม่สมบูรณ์แบบเลย หากขาดซึ่งสกอร์หรือซาวด์ประกอบเพื่อช่วยเพิ่มบรรยากาศให้ภาพยนตร์หรือซีรีส์ ตอบโจทย์อารมณ์ของแต่ละฉากได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเผลอมองข้ามความสำคัญของอีกหนึ่งตำแหน่งเบื้องหลังที่สำคัญไป แต่ไม่ต้องห่วง เพราะวันนี้ Unlockmen จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “ต๋อย-เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน” เจ้าของ อาณาจักร Banana Sound Studio ผู้ผลิตสกอร์ให้กับภาพยนตร์และซีรีส์ชื่อดังมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เลือดข้นคนจาง, เด็กหอ, สี่แพร่ง, ห้าแพร่ง, วัยรุ่นพันล้าน, ขุนพันธ์ภาค 1 และ 2, 4Kings รวมไปถึงการร่วมงานกับ Jay Chou ซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังจากประเทศไต้หวันในภาพยนตร์เรื่อง “Secret” การทำงานของผู้ผลิตสกอร์จะสนุกขนาดไหน มาติดตามไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ จากนักดนตรีกลางคืนสู่ผู้ทำสกอร์แบบไม่คาดฝัน “ต๋อย-เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน” เดิมทีไม่เคยมีความคิด หรือแม้แต่มีความฝันในเส้นทางการผลิตซาวด์ประกอบอยู่ในหัวมาก่อน จนกระทั่งวันหนึ่งในขณะที่กำลังเรียนปี 2 ณ
“Y2K” ช่วงเวลาที่ตรงกับค.ศ. 2000 ณ เวลานี้แฟชั่นในยุคนั้นได้ย้อนกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง แต่โดยส่วนมากคงมักจะพูดถึงการแต่งตัว แต่อาจจะลืมไปแล้วมีเพลงดังหลาย ๆ เพลงที่โด่งดังเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น โดยเฉพาะเพลงร็อกในบ้านเราที่ยังคงอยู่ในห้วงเวลาของความรุ่งเรือง ดังนั้นเรามาลองย้อนเวลากลับไปสัมผัสกับ 8 เพลงร็อกที่ได้รับความนิยมในยุค Y2K กันครับ (เกณฑ์คัดเลือกมาจากอัลบั้มที่ออกในปี 2000 เท่านั้น) FLY “2000” เรียกได้ว่าออกอัลบั้มมารับกระแส “Y2K” พอดีเป๊ะ สำหรับวง Fly แถมยังชื่ออัลบั้มว่า “Y2K” อีกด้วย รวมไปถึงเพลงโปรโมตยังใช้ชื่อว่า “2000” อีกด้วย โดยสไตล์ดนตรีมาในแบบอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่มีกลิ่นอายของร็อกอะบิลลี เน้นจังหวะโจ๊ะกับกรูฟหนึบ ๆ ส่วนเนื้อหาเพลงนี้ประชดประชันได้อย่างเจ็บแสบ เป็นการเล่าถึงปีที่เปลี่ยนแปลง แต่ชีวิตเราก็ยังเหมือนเดิมไม่ได้ดีขึ้นตามไปแต่อย่างใด SILLY FOOLS “จิ๊จ๊ะ” หลังจากที่เริ่มประสบความสำเร็จมากขึ้นในอัลบั้ม “Candy Man” ทางวง Silly Fools และค่ายมอร์มิวสิค จึงไม่รอช้ารีบส่งผลงานชุดใหม่ชื่อว่า “Mint” ออกมาขยี้ทันทีในปี 2000 ซึ่งผลตอบรับก็ออกมาในทิศทางที่ดีมาก ๆ เพราะชื่อเสียงของ Silly
Red Hot Chili Peppers คืออีกหนึ่งวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ พวกเขาเสิร์ฟคนฟังด้วยซาวด์สไตล์ฟังก์ร็อกสุดร้อนแรงเร้าใจเข้ากับชื่อวงได้เป็นอย่างดี เป็นวงที่โดดเด่นทั้งเพลงช้าและเพลงเร็ว แถมยังมีลีลาการเล่นสดแบบสุดเหวี่ยง โดยเฉพาะในคอนเสิร์ต Woodstock ปี 1999 ที่ทุกคนต่างจดจำการแก้ผ้าเล่นเบสของ Flea ได้เป็นอย่างดี Red Hot Chili Peppers ก่อตั้งวงตั้งแต่ปี 1983 พวกเขาค่อย ๆ ไต่ระดับความสำเร็จจนมาเริ่มพีคในอัลบั้ม “Mother’s Milk” ในปี 1989 หลังจากนั้นชื่อเสียงของพวกเขาก็ติดลมบน จนได้ก้าวมาเป็นวงร็อกระดับโลกได้สำเร็จ ส่วนผลงานเพลงที่เราหยิบยกขึ้นมาเล่าก็เป็นเพลงที่ฮิตระเบิดในช่วงต้นยุค 2000’s นั่นก็คือ “By The Way” “By The Way” เป็นผลผลิตจากอัลบั้มชื่อเดียวกับเพลง มันถูกปล่อยให้ฟังเมื่อวันที่ 24 มิถุยายน ปี 2002 ซึ่งเป็นเพลงแรกที่ถูกนำมาโปรโมต โดยเป็นช่วงเวลาก่อนที่อัลบั้มจะวางขายประมาณ 2 สัปดาห์ และมันยังเป็นเพลงแรกที่อยู่ในอัลบั้มด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ณ ตอนแรก ทางวง Red Hot Chili
หากให้พูดถึงวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากวงหนึ่งในช่วงที่กระแสดนตรีอีโมเบ่งบาน (2003-2007) คงต้องยกให้ My Chemical Romance วงอีโมพังก์จากเมืองนิวอาร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ฟอร์มวงตั้งแต่ปี 2001 ก่อนจะมาประสบความสำเร็จในระดับเมนสตรีมกับอัลบั้มที่ 2 “Three Cheers for Sweet Revenge” และเพลงที่เป็นตัวชูโรง จนทำให้ใครหลายคนถวายจิตวิญญาณเป็นสาวกพวกเขา คงต้องยกให้กับเพลง “Helena” “Helena” ถูกหยิบมาโปรโมตเป็นซิงเกิ้ลที่ 3 ในอัลบั้มต่อจากเพลง “I’m Not Okay (I Promise)” และ “Thank You For Your Venom” โดยแรงบันดาลใจการสร้างเพลงนี้มาจากการเสียชีวิตของ Elena Lee Rush ซึ่งเป็นคุณยายของ Gerard Way นักร้องนำของวง เขามีความผูกพันธ์เป็นอย่างมาก เพราะคุณยายเป็นคนสอนการวาดรูป, การร้องเพลง รวมไปถึงยังซื้อรถคันแรกให้กับ Gerard ซึ่งรถคันนั้นคือรถตู้สีขาวที่ปรากฏใน MV เพลง “I’m Not Okay (I
ช่วงนี้กระแส Y2K ฮอตฮิตเป็นอย่างมากไปทั่วโลก มันเป็นปลุกไลฟ์สไตล์หลาย ๆ อย่างในปี 2000 ในกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากนัก เพราะแฟชั่นพอผ่านไปจุดหนึ่งมันก็จะถูกนำกลับมาเล่าใหม่อีกครั้งอยู่เป็นประจำ แต่เราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่ากระแสดังกล่าวที่ได้เกิดขึ้น มันก็มีส่วนทำให้เรานึกถึงอดีตที่เคยสนุกสนานกันในปี 2000 รวมไปถึงนึกถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ในยุคนี้ไม่สามารถทำได้แบบเดิมแล้ว และยังทำให้เรานึกถึงบทเพลงในยุคนั้นเช่นกัน ซึ่ง 1 ในเพลงที่สร้างปรากฏการณ์ในช่วง Y2K ไปทั่วโลก มันคือ “In The End” ของวง Linkin Park นั่นเอง “In The End” คือผลงานจาก “Hybrid Theory” อัลบั้มแรกของวง Linkin Park ที่วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2000 ซึ่งมันก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวร็อกและแฟนเพลงในยุคนูเมทัลเป็นอย่างมาก เพราะวง Linkin Park สามารถเบลนด์เอาความหนักหน่วงเข้ากับสัดส่วนของเพลงป๊อปได้อย่างลงตัว แต่ละเพลงในอัลบั้มล้วนฟังง่ายแต่ไม่ทิ้งความมันส์ รวมไปถึงสามารถฟังได้ทุกเพศทุกวัย เพราะในอัลบั้มนี้ปราศจากคำหยาบ ทำให้ผู้ปกครองสบายใจที่จะปล่อยให้ลูกหลานได้ฟัง “In The End”
Skid Row คือหนึ่งในวงดนตรียุคแฮร์แบนด์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ชื่อเสียงของพวกเขาโด่งดังไม่แพ้วง อย่าง Guns N’ Roses หรือ Motley Crue แต่อย่างใด สาเหตุไม่ได้มาจากความฟลุ๊ค แต่มันมาจากฝีมือทางดนตรีอัดยอดเยี่ยมของพวกเขา วง Skid Row มีสกิลในการสร้างสรรเพลงเร็วได้อย่างถึงใจชาวเฮฟวี่เมทัล แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างเพลงช้าสไตล์บัลลาดที่บาดใจคอเพลงร็อกทั่วโลกได้ไม่น้อยหน้ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพลง “18 And Life” ผลผลิตจากอัลบั้มแรกของ Skid Row ที่ใช้ชื่อเดียวกับวง ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 24 มกราคม ปี 1989 โดยพวกเขาเลือกเปิดตัวด้วยเพลง “Youth Gone Wild” ที่เป็นเพลงเร็วและมีจังหวะที่ฮึกเหิมเร้าใจ ซึ่งก็ได้รับความสนใจพอประมาณ จนกระทั่งเดินทางมาถึงซิงเกิ้ลที่ 2 ในการโปรโมต นั่นก็คือ “18 And Life” ดนตรีในเพลงนี้มีความกระชับเป็นอย่างมากด้วยเวลาที่บรรเลงเพียง 3:50 นาทีเท่านั้น แต่แค่เท่านี้ก็เพียงพอที่วง Skid Row จะสามารถสื่อสารทุก ๆ สิ่งที่ต้องการออกมาได้อย่างครบเครื่อง ลงตัว
แม้ว่าวงการดนตรีไทยจะถูกครองโดยค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่มีเงินทุนในการโปรโมต ซึ่งสามารถยึดพื้นที่สื่อจนทำให้ใครหลายคนคิดว่าแนวทางของวงดนตรีไม่ได้หลากหลายแต่อย่างใด แต่ความจริงแล้วยังมีวงดนตรีอิสระอีกมากที่เลือกจะนำเสนอผลงานในสไตล์ตัวเองแบบ 100% เพียงแต่ว่าสปอตไลท์อาจจะส่องแสงไปไม่ถึงพวกเขานั่นเอง ทาง Unlockmen จึงขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ 5 วงเมทัลสายโหดแห่งโลกอันเดอร์กราวน์ไทย ให้ทุกคนได้ลองเสพผลงานกัน *คำเตือนใครหูไม่แข็งแกร่งอาจจะเหวอเอาได้ง่าย ๆ NARAKA Naraka เป็นวงดนตรีสไตล์เทคนิคัล เดธเมทัล ที่มีทั้งความโหดและความซับซ้อนทางดนตรี พร้อมด้วยเทคนิคที่แพรวพราว วงดนตรีวงนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดย “ออกัส ดีล่า” ลูกชายของ “บ๊อบ ดีล่า” มือกลองระดับตำนานของประเทศไทย (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) ออกัสเองก็มีผลงานในฐานะมือกลองมาอย่างล้นแก้ว เขาเคยร่วมงานกับวง In Vein, Heretic Angels, Macaroni, Splattered Orgasm, Cadaver Not Talk, Neverland, The Ginkz และ Tragedy Of Murder แต่สำหรับกับ Naraka เขาได้เลือกเปลี่ยนบทบาทจากมือกลองกลายมาเป็นตำแหน่งร้องนำ/มือกีตาร์แทน แถมยังอัดเครื่องดนตรีทุกชิ้นไม่ว่าจะเป็นเบส และกลองเองทั้งหมดอีกด้วย รวมถึงเป็นคนคิดเพลงของตัวเองทั้งหมดด้วยเช่นกัน จัดว่าเป็นอัจฉริยะทางด้านดนตรีโดยแท้จริง ปัจจุบัน Naraka
หากคุณนึกถึงยุค 90’s คุณจะนึกอะไรเป็นอย่างแรก เชื่อว่าสิ่งที่ป๊อปอัพขึ้นมาในหัวแบบไว ๆ มากที่สุดของใครหลาย ๆ คนน่าจะต้องเป็นเทปอย่างแน่นอน มันคือฟอร์แมตการฟังเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงนั้น แต่แล้วเมื่อการเวลาเปลี่ยนไปเข้าสู่ช่วงยุค 2000’s ความสำคัญของเทปก็ค่อย ๆ หดหายไป จนในที่สุดมันก็ได้ตายไปจากอุตสาหกรรมดนตรี แต่แล้วในช่วง 2-3 ปีหลังที่ผ่านมา กระแสของเทปก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง มีทั้งศิลปินอิสระและศิลปินมีสังกัดต่างผลิตเทปกันออกมาอย่างต่อเนื่อง สร้างความประหลาดใจให้กับใครหลายคนเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเด็กรุ่นใหม่ที่แทบไม่คุ้นเคยกับมันเลย และชายผู้อยู่เบื้องหลังผู้ปลุกกระแสเทปให้กลับมา ก็มีนามว่า “เจ-ณัฐพล สว่างตระกูล” เจ คือเจ้าของร้าน Cassette Shop ย่านประดิพัทธ์ ผู้เคยสะสมไว้หลายพันม้วน มีไลฟ์สไตล์ที่ไปไหนมาไหนต้องพกวอล์กแมน, หูฟัง, พร้อมเทปคู่ใจ 5-6 ม้วนอยู่เสมอ แถมยังเคยซื้อเทปด้วยการจ่ายเงินมากถึง 10,000 บาทภายในครั้งเดียวอีกด้วย จนสุดท้ายเขาก็ได้เปลี่ยนแพชชั่นให้กลายเป็นธุรกิจ และจากธุรกิจก็กลายเป็นการปลุกวัฒนธรรมยุค 90’s ให้กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เรามาทำความรู้จักเรื่องราวของเขาให้มากขึ้นกันดีกว่าครับ สัมผัสเทปม้วนแรกของคุณพ่อ ชีวิตวัยเด็กของทุก ๆ คนก็มักจะสัมผัสประสบการณ์และเรียนรู้ทุกเรื่องราวจากคนในครอบครัว ไม่ต่างจากเจที่มีความทรงจำการสัมผัสเทปม้วนแรกมาจากคุณพ่อ “จุดเริ่มต้นตั้งแต่เด็ก ๆ เลยครับ ผมโตมากับเทปเลย เกิดมาก็เห็นเครื่องเล่นเทปเลย
การฟังเพลงให้ถูกจังหวะ ให้เข้ากับสถานการณ์ ว่ากันว่ามันสามารถช่วยปรับอารมณ์ของเราได้ไม่น้อยทีเดียว เช่น เพลงแนวแอมเบียนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาช่วยทำให้เรารู้สึกผอ่นคลาย โดยมากมักจะได้ยินในร้านสปา หรือจะเป็นเพลงที่มีเนื้อหาอกหัก แม้ว่าจะมีเนื้อหาที่เศร้าแต่กลับช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นเพราะมันเปรียบเสมือนมีเพื่อนที่เข้าใจความรู้สึกของเรา ส่วนใครที่กำลังรู้สึกขาดชีวิตชีวา รู้สึกหมดพลังที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง การฟังเพลงแนวเฮฟวี่เมทัลก็อาจจะเป็นตัวช่วยที่ดี เพราะพลังและความรวดเร็วที่ถูกถ่ายทอดออกมาน่าจะไปช่วยกระตุ้นอะดรีนาลีนให้ตื่นตัวได้ไม่ยาก ด้วยเหตุนี้เราจึงได้รวบรวม “6 เพลงเฮฟวี่เมทัลไทยยุค 80’s-90’s” มาให้ทุกคนเก็บไว้ในเพลย์ลิสต์ส่วนตัวกัน “ร็อกเกอร์” หิน เหล็ก ไฟ เราอาจจะคุ้นเคยกับเพลงดังของหิน เหล็ก ไฟ อย่าง “นางแมว”, “ยอม” หรือ “พลังร็อก” เป็นต้น แต่นั่นก็แค่น้ำจิ้มของความสุดยอดทางดนตรีในรูปแบบเฮฟวี่ เมทัล เพราะหากให้มาเทียบกับเพลง “ร็อกเกอร์” เพลงปิดอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวง (วางจำหน่ายปี 1993) บอกได้เลยว่าคนละเรื่อง เพราะเพลงนี้เรียกได้ว่าจัดจ้าน ทักษะทางดนตรีถูกปลดปล่อยกันออกมาอย่างไม่มีกั๊ก ทำให้เราได้ฟังจังหวะดนตรีสุดเร่งเร้า เช่นเดียวกับเสียงร้องของโป่ง ปฐมพงศ์ ที่พีคด้วยการโหนโทนแหลมสูงได้อย่างแสบแก้วหู ราวกับถูกวิญญาณของ Rob Halford แห่งวง Judas Priest มาประทับร่างเลยทีเดียว “คนหูเหล็ก” THE OLARN PROJECT