ในวันที่เช้าฝนตกบ่ายแดดออกอย่างนี้ ผู้ชายอย่างเราจะปรับตัวอย่างไรถูก เปิดวันมาแบบโคตรเหงาโคตรหว่องชวนเหงาจับใจ แถมอดสงสัยไม่ได้ว่าตกลงที่เราเหงาเพราะฝนทำให้เราเหงา หรือเราเหงาด้วยเงื่อนไขอื่น ๆ อย่างความโสด ความเดียวดาย ความอ้างว้างกันแน่? โชคดีที่เราเกิดมาในยุคที่ไม่ต้องคาดเดาอะไรเองอีกต่อไปแล้ว เพราะมีงานวิจัยทางจิตวิทยาสังคมที่ศึกษากันมาตลอดหลายสิบปีที่จะช่วยให้เราเข้าใจเหตุผลว่าทำไมอารมณ์เราถึงปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพอากาศได้ดีขึ้น และเบื้องหลังความรู้สึกของผู้ชายอย่างเราที่เปลี่ยนแปลงไปมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น มา มาดูกันว่าฝนตกผมเลยเหงา หรือผมเหงาเพราะผมโสดกันแน่? ฝนตก ขาดแสงอาทิตย์ทำให้ผมติดอยู่กับความ SAD การขาดแสงอาทิตย์ในชีวิตคนเรานำไปสู่ความ SAD ที่ไม่ใช่แค่ความเศร้าแต่เป็น Seasonal Affective Disorder หรือความผิดปกติทางอารมณ์ตามฤดูกาล โดยความผิดปกติที่ว่านี้ก็มักจะเกิดขึ้นช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีแสงแดดมาให้เราอาบไล้ความร้อนแรงของชีวิต เพราะเมื่อผู้ชายสุดแข็งแกร่งอย่างเราได้สัมผัสแสงแดดน้อย ร่างกายก็จะผลิตเมลาโทนินมาก ซึ่งเมลาโทนินนี้กระตุ้นให้เกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน แถมยังลดระดับเซโรโทนินที่มีผลเรื่องความต้องการทางเพศไปอีก! จึงไม่แปลกที่พอฝนตกแล้วเราจะเหงา จะง่วง จะติดบ่วงความเศร้า แต่ไม่ใช่เพราะเราโสด (เสียใจด้วยนะ) ฝนตก อุณหภูมิลด ร่างกายผมก็หดเหี่ยว เมื่อฝนตก อุนหภูมิก็ลดต่ำลงไม่ร้อนตับแตกเหมือนก่อนฝนตก ด้วยอุณหภูมิที่ลดลงนี่เองที่เป็นตัวการทำให้การตอบสนองทางประสาทสัมผัสของเราลดประสิทธิภาพการทำงานลง ยังไม่ใช่แค่นั้น เพราะ ความคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การไหลเวียนของโลหิตทำงานได้ต่ำลงด้วย ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามาจะบอกว่ามันทำให้ร่างกายหดเหี่ยวก็คงไม่ผิดเพี้ยนไปมากนัก เพราะมันทำให้ประสิทธิภาพการทำงานทางกายภาพของเราลดลงฮวบฮาบนั่นเอง ฝนตกเป็นสาเหตุให้ผมหาอะไรยัดเข้าปากมากขึ้น! อย่างที่เราบอกไปว่าเมื่อวันฝนตก ก็มักเป็นวันที่ขาดแสงแดด และมันส่งผลให้ระดับเซโรโทนินลดลง และการที่เซโรโทนินลดลงร่างกายก็มีความต้องการคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้น!
เรื่องขนาดอาจไม่สำคัญ แต่ลีลามันส์ ๆ เป็นเรื่องห้ามพลาด ยิ่งรู้เขารู้เรารบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง โดยเฉพาะสมรภูมิสุดคลั่งอย่างสมรภูมิรักยิ่งยอมรับตัวเองมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ใจสาว ๆ มากเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าเล็กก็ยอมรับว่าเล็กเถอะ! แมน ๆ คุยกัน แล้วหาท่วงท่าสำคัญ ๆ ไปทำให้ขนาดกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญไปเลย จากงานวิจัย Am I normal? A systematic review and construction of nomograms for flaccid and erect penis length and circumference in up to 15,521 men พบว่าความยาวเฉลี่ยของน้องชายนั้นอยู่ที่ 5.16 นิ้ว เอาล่ะ ถ้าแอบเอาสายวัดมาวัดดู ๆ แล้วน้องชายของคุณดันมีขนาดเล็กกว่าค่าเฉลี่ย ก็แสดงว่าคุณมีไซส์ที่ไม่ใหญ่นัก แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งร้องไห้ฟูมฟายไป เพราะก็มีการศึกษาหลาย ๆ ชิ้นที่ยืนยันว่าผู้หญิงเห็นว่าขนาดนั้นไม่ได้สำคัญเท่าลีลา (หรือองค์ประกอบอื่น ๆ )
ผู้ชายอย่างเราล้วนแต่รู้สึกว่ามีงานล้นมือล้นหัวจนต่อให้มี 10 มืออย่างทศกัณฐ์ก็คงแอบบ่นว่าทำไม่หมดอยู่ดี ในทางกลับกัน CEO ระดับโลกอย่าง Elon Musk ล่ะ? งานผู้ชายคนนี้จะล้นมือขนาดไหน? เขาทำบริษัทอะไรบ้าง? โปรเจ็กต์กี่ล้านอย่างในหัว? แล้วเขาทำทั้งหมดนั้นในหนึ่งช่วงชีวิตได้อย่างไร? 85 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ คือเวลาชีวิตที่ Elon Musk มอบให้งาน ถ้าเรารู้สึกว่านักธุรกิจ CEO มหาเศรษฐีอย่าง Elon Musk จะใช้ชีวิตลูกผู้ชายอย่างสุขสบายบนกองเงินกองทองและบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นมาอย่างสุขสบาย เห็นทีจะคิดผิดมหันต์ เพราะไม่ใช่แค่ทำงาน แต่เขาทำงาน 80-85 ชั่วโมงต่อสัปดาห์! จินตนาการถึงการทำงานประจำของคนทั่วไปอย่างเรา ๆ กันดูหน่อยไหม? เราทำงานวันละ 8 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์ ก็เท่ากับว่าในแต่ละสัปดาห์เราทำงานเพียง 40 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ใน 40 ชั่วโมงของเราก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า การรู้สึกว่าทำงานไม่ทันจนอยากจะลาออกจากความเป็นเราอยู่ร่ำ ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ แล้ว Elon Musk ทำอย่างนั้นได้อย่างไร? นอกจากการนอนเป็นเวลาแค่ 6 ชั่วโมง
หนังจิตวิทยาระทึกขวัญเป็นหนังอีกประเภทที่ผู้คนต่างหลงใหล ด้วยการดำเนินเรื่องที่ชวนตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด แล้วยังไม่วายแทรกสอดการปะทะกันทางจิตวิทยาที่โคตรบ้าคลั่งมาให้ ก็ยิ่งทำให้หนังประเภทนี้ได้รับความนิยมอยู่ตลอด แต่ถ้าจิตไม่แข็งพอ หลังดูหนังแต่ละเรื่องจบก็อาจจะต้องจมจ่อมอยู่กับประเด็น อารมณ์ ความหวาดระแวงที่หนังพากันยัดเยียดให้อีกเป็นวัน ๆ ดังนั้นเพื่อทดสอบจิตใจสุดแข็งแกร่งของผู้ชายอย่างคุณ เราท้าให้ดูหนังจิตวิทยาระทึกขวัญ 7 เรื่องนี้ แล้วมาดูกันว่าเรื่องไหนจะทำให้คุณร้อน ๆ หนาว ๆ ได้มากที่สุดกันแน่? Side Effects (2013) นี่คือหนังจิตวิทยาที่ว่าด้วยหญิงสาวผู้เป็นโรควิตกจริตขั้นรุนแรง แล้วพบว่ายากที่ใช้รักษาอาการตัวเอง พาเธอเข้าไปอยู่ในจุดที่ต้องเผชิญกับเรื่องไม่คาดคิดมาก่อน ความโดดเด่นของ Side Effects คือการสร้างปมและคาแรคเตอร์ของตัวละครขึ้นมาให้มีความซ่อนเงื่อนคาดเดาไม่ได้ แถมยังเอาข้อมูลทางการแพทย์มาช่วยล่อลวงให้ผู้ชมอย่างเราจมลงไปในความซับซ้อนของตัวเรื่อง ที่ต่อให้มั่นใจว่าตัวเองจิตแข็งที่สุดก็ไม่อาจควานหาแรงจูงใจของตัวละครแต่ละตัวได้เลย Get Out (2017) นี่คือหนังหมาดใหม่ของปี 2017 ที่ผ่านมา บางคนอาจรู้สึกว่าเป็นหนังเกรดบีที่ไม่ลงทุนอะไรมาก จะน่าสนใจแค่ไหนกันเชียว? แต่ UNLOCKMEN ขอท้าคุณเลยว่านี่คือโคตรหนังที่หยิบจับเอาประเด็นอย่างการเหยียดสีผิวมาใช้ทบกับความน่าหวาดหวั่นของความเป็นมนุษย์ได้หลอนเต็มขั้น จนดูไปอดคิดไปไม่ได้ว่าถ้าตัวเองถูกถีบให้จมลงไปในสถานการณ์แบบนั้นเราจะดิ้นรนพาตัวเองพุ่งหลุดออกมาได้อย่างไร หนังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ระทึกขวัญ ลุ้นจนเราท้าให้ผู้ชายอย่างคุณควรดูสักครั้งในชีวิต Split (2016) แค่พล็อตเรื่องการถูกลักพาตัวไปของเด็กสาว 3 คนโดยชายผู้มี 23 ตัวตนในร่างเดียวก็กระตุ้นความหลอนระคนตื่นเต้นจนหัวใจเต้นตุบตับแล้ว อารมณ์ลุ้นระทึกตลอดเรื่อง บวกบรรยากาศชวนหายใจไม่ทั่วท้องจะยิ่งพาผู้ชายอย่างเราจมลงไปในสถานการณ์ที่แทบจะอยากทะลุจอเข้าไปช่วย จิตวิทยาและความชาญฉลาดของผู้ล่าและผู้ถูกล่าก็เชือดเฉือนกันจนเราท้าให้คุณลุ้นไปกับการล่าไปพร้อม
ผู้ชายอย่างเราเต็มไปด้วยบุคลิกภาพอันหลากหลาย บางบุคลิกภาพก็ทำให้คนตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น บางบุคลิกภาพก็ชวนให้เหม็นขี้หน้ากันได้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกัน จึงไม่แปลกเลยว่าบุคลิกภาพคืออีกสิ่งที่โคตรจะมีความสำคัญ และไว้แบ่งระดับชั้นกันกลาย ๆ ได้ตั้งแต่แรกพบสบตาว่าเราจะจัดคนนั้นไว้ในตำแหน่งไหนของชีวิต แต่คุณรู้หรือไม่ว่าบางบุคลิกภาพก็สร้างความหวาดกลัว หวั่นเกรงให้กับผู้คนรอบตัวได้ตั้งแต่คุณเริ่มย่างกรายเข้าไปปรากฏกายอยู่ข้าง ๆ เขา คุณว่าคุณมีบุคลิกภาพที่ทำให้คนอื่นหวั่นเกรงหรือไม่? นี่คือบุคลิกภาพ 6 อย่างที่บ่งบอกว่าคุณแข็งแกร่งจนคนรอบข้างกลัวเกรง โยนสิ่งเล็กน้อยทิ้งไป เพราะมันไม่ควรเสียเวลาด้วย เด็ดขาด แข็งแกร่งดั่งขุนผาเมื่อคุณตระหนักอยู่เต็มอกดีว่าสิ่งที่โคตรมีค่าที่สุดในชีวิตคือเวลา ไม่ใช่การตามเช็ดตามล้างทุกอย่างได้ดั่งใจไปทั้งหมด บุคลิกภาพนี้คือการไม่ยอมเสียเวลาให้กับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คุณมองปราดเดียวอย่างเด็ดขาดก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปยุ่งด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรหรือคนแบบไหนก็ต้องหวั่นเกรงเพราะรู้ว่าจะทำให้คุณวอกแวกไม่ได้เลย มองปราดเดียวก็เห็นทางออก ในขณะที่ปัญหาต่าง ๆ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และผู้คนรอบตัวของคุณกำลังนั่งบ่นว่าทำไมสิ่งนั้นถึงเกิดขึ้น สิ่งนี้ถึงแก้ไม่ได้ แต่คุณคือคนคนเดียวที่มองออกว่าทางแก้ปัญหานั้นคืออะไร บุคลิกภาพแบบนี้มันเปล่งประกายออกมารอบ ๆ ตัวเลยว่าปัญหาทั้งหลายอย่าเสียเวลามากล้ำกรายคุณ และทำให้คนรอบตัวคุณเกรงใจที่จะนำปัญหามาให้คุณอีกด้วย ปากตรงกับใจ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ในวันที่ใครจะพูดอะไรก็อ้อมกันไปกันมา กลัวนั่นกลัวนี่ไปหมด แต่การที่คุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่กลัวที่จะพูดอะไรออกไปอย่างที่ใจคิด ตรง ๆ แมน ๆ แต่ไม่ขวานผ่าซากจนไม่รู้จักมารยาทก็ทำให้คุณเป็นคนหนึ่งที่น่ากลัวเกรงในสังคมที่คิดว่าทุกคนจะเอาใจตัวเองด้วยการพูดอะไรดี ๆ เท่านั้น อาวุโสด้วยอายุสมอง แม้คุณจะเป็นคนที่อายุไม่ได้มากนักในวงสนทนาทั้งหลาย แต่ใคร ๆ
“คนที่ชีวิตเขาสมบูรณ์แบบดีพออยู่แล้ว เขาไม่ต้องพึ่งพาโซเชียลมีเดียแจตลอดเวลาหรอกว่ะ” คุณยังเป็นคนหนึ่งที่เชื่อแนวคิดทำนองนี้แบบไม่ลืมหูลืมตาอยู่หรือเปล่า? UNLOCKMEN อยากกระซิบบอกอย่างสุภาพและมีเหตุผลว่า “นี่ปี 2018 แล้วครับ” โลกกำลังหมุนไปข้างหน้าอย่างเร็วไวไม่หยุดยั้ง ไม่มีความถูกต้องหนึ่งเดียวให้เราเสพอีกต่อไป และโซเชียลมีเดียก็ไม่ใช่ผู้ร้ายทำลายชีวิตอย่างที่เราเชื่อเท่านั้น ความเชื่อที่ว่าถ้าจะให้งานรุ่ง ต้องทิ้งโซเชียลมีเดียให้ร่วงกราวลงไปเท่านั้น มันจะยังเวิร์คอยู่จริง ๆ หรือ? วันนี้ UNLOCKMEN เอาเหตุผลที่ว่าทำไมเราไม่ควรทิ้งโซเชียลมีเดียไว้ข้างหลังถ้าอยากก้าวสุดพลังเรื่องงานไปข้างหน้าได้ไกลกว่าคนอื่น แต่ในฐานะที่ UNLOCKMEN คือเว็บไซต์ที่พาผู้ชายทุกคนก้าวเข้าสู่อณาจักรแห่งคอนเทนต์หลากหลาย ผู้ชายทุกคนคงไม่แปลกใจว่า “โธ่ ก็เป็นเว็บไซต์ที่อยู่บนโลกออนไลน์ ก็ต้องเชียร์โซเชียลมีเดียอยู่แล้วล่ะสิ” เราอยากให้วางความคิดที่เคยมีแล้วทำใจร่ม ๆ เพราะโซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นจอมวายร้ายอย่างที่เราเคยเข้าใจเสมอไป จากการศึกษาพบว่าแค่เฉพาะโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊กได้สร้างวงอุตสาหกรรมตลาดงานขนาดยักษ์ โดยมีตำแหน่งงานกว่า 4.5 ล้านตำแหน่งถือกำเนิดขึ้นภายใต้การมีอยู่ของโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่นี้ แต่เดี๋ยวก่อน เราไม่ได้มาโฆษณาตลาดงานให้เฟซบุ๊กแต่อย่างใด แค่อยากบอกผู้ชายทุกคนอย่างใจ ๆ ว่า เฮ้ย โซเชียลมีเดียมันก็มีผลดี ๆ ต่อสัญชาตญานการทำงานของมนุษย์อยู่เหมือนกัน ด้านหนึ่งถึงจะร้าย แต่ภายในคือ “ตัวตน” อีกรูปแบบ “โห เล่นโซเชียลมีเดียขนาดนั้น ระวังเถอะเจ้านายจะมาคอยเช็ค แล้วไม่รับเข้าทำงานเอา!” เราก็ไม่อยากปฏิเสธวิธีคิดแบบนั้นเลยและอยากจะบอกด้วยซ้ำว่านั่นคือเรื่องจริง! แต่การที่มันเป็นเรื่องจริงไม่ได้แปลว่ามันมีแต่ข้อเสีย เพราะแนวคิดว่าโซเชียลมีเดียมีผลต่อการทำงานของเรานั้นคือแนวคิดที่โคตรจะสมเหตุสมผลและเป็นความจริงที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ๆ ในแต่ละวินาทีที่โลกหมุนไป
UNLOCKMEN กล้าพูดเลยว่ามีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่พอหอบงานไปทำที่ร้านกาแฟแล้วดันโฟกัสกับงานที่ตัวเองทำได้มากกว่าทำที่ออฟฟิศตัวเอง หรือผู้ชายสายฟรีแลนซ์ก็ไม่เว้นกับเขาด้วย พอจะทำงานที่บ้านก็เกิดอาการเตียงดูดให้นอนอยู่กับที่เสียอย่างนั้น แต่พอกระเด้งตัวไปร้านกาแฟแถวบ้านทีไรงานพุ่งเป็นไฟทุกที งานนี้เราไม่ได้คิดไปเองเพราะมันมีเหตุผลเบื้องหลังอยู่จริง ๆ งานนี้บอกเลยว่าความเข้าใจเรื่องเสียงของเรา ๆ ที่เคยถูกสอนสั่งมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวน้อย ๆ ว่าความเงียบทำให้เกิดสมาธิอาจจะต้องถูกพับเก็บเอาไว้ก่อน เพราะงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นออกมาบอกว่าเจ้าเสียงที่อยู่โดยรอบเราอย่าง Ambient Noise ที่เหมาะแก่การคิดงานอย่างสร้างสรรค์ให้พุ่งกระฉูดหรือการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพชนิดไฟพุ่งนั้นไม่ใช่เสียงเงียบ ๆ อย่างที่เราเคยเข้าใจ แล้วเสียงแบบไหนหรือระดับไหนกันแน่ที่เป็นมิตรแก่การทำงานของเรา? ก็เหมือนว่าเราจะรู้ดีทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อ่านงานวิจัยถึงได้เลือกร้านกาแฟเป็นที่สิงสถิตย์เพราะร้านกาแฟมีเสียงรบกวนในระดับปานกลางประมาณ 70 เดซิเบล (ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของเราได้ดีกว่าเสียงที่เงียบกว่านี้เมื่อเปรียบเทียบกับเสียงประมาณ 50 เดซิเบล) ดังนั้นในร้านกาแฟที่มีเสียงรบกวนหน่อย ๆ แต่ไม่มากเกินพอดีจึงส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพการทำงานของเราได้มากกว่าการทำงานในออฟฟิศหรือห้องสมุดที่ทุกคนต่างพากันเงียบสนิท จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทุกวันนี้มีเว็บไซต์จำนวนมากที่ทำเสียง Ambient Noise เลียนแบบเสียงร้านกาแฟออกมาเพื่อให้เรากดเปิดฟังได้แม้อยู่ในที่ทำงานหรือที่บ้านเพื่อสร้างบรรยากาศหลอกร่างกายของเราว่า เฮ้ย นี่ฉันกำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟในเสียงที่เหมาะสมจริง ๆ เพราะฉะนั้นตั้งใจทำงานและสร้างสรรค์อะไรดี ๆ ออกมาได้แล้ว ถ้าชาว UNLOCKMEN อยากลองว่ามันได้ผลเท่ากับการไปนั่งร้านกาแฟจริงไหมก็ลองกดเปิดฟังไป ทำงานไปดู (ฟัง Ambient Noise) อย่างไรก็ตามเรื่องเสียงก็ไม่ใช่แค่เรื่องเดียวที่ทำให้เราตั้งใจหรือโฟกัสกับงานได้มากกว่าปกติที่ร้านกาแฟ แต่การได้ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ก็เป็นอีกผลหนึ่งที่ท้าทายให้เราอยากแสดงศักยภาพออกมาให้คนอื่นได้เห็น (แม้จริง ๆ
ใกล้วันหยุดยาวเข้ามาทุกทีบางทีก็สร้างความกังวลใจให้กับผู้ชายที่ Work Hard Play Hard มาตลอดอย่างเรา ๆ ว่าจะบาลานซ์ความต้องการของชีวิตยังไงดี จะเก็บงานมาทำอย่างบ้าคลั่งเพราะถือเป็นช่วงกอบโกยเวลางาน หรือจะพักผ่อนให้เต็มที่แล้วค่อยมาแฮงค์ ๆ งง ๆ กับงานทีหลัง ไม่ต้องกังวลให้เสียเวลาอีกต่อไป UNLOCKMEN เอาวิธีใช้วันหยุดอย่างมีประสิทธิภาพสไตล์คนประสบความสำเร็จมาฝากกัน ชาร์จแบตตัวเองซะ การที่เราทำงานหนักมาตลอดทั้งปีทำให้เราเสียพลังงานไปมากมายเท่าไหร่ ไหน ๆ นี่ก็วันหยุดทั้งทีลองใช้โอกาสนี้ในการชาร์จแบตที่ร่อยหรอลงไปจำนวนมากให้กลับมาเต็มเปี่ยมสู้กับปีใหม่อย่างสุดพลังดีกว่า แถมช่วงวันหยุดก็เป็นช่วงที่มีงานน้อยไปจนถึงไม่มีงานเลย ใช้เวลาตรงนี้ให้คุ้มที่สุดเถอะ แพลนเพื่อวันข้างหน้าที่จะมาถึง การให้หยุดทำงานเพื่อชาร์จแบตก็ไม่ได้แปลว่าให้หยุดคิดหยุดวางแผนไปด้วย ไอ้งานน่ะวางไว้ก่อนได้ แต่การแพลนว่าจะทำอะไรคร่าว ๆ หลังวันหยุดเป็นเรื่องที่ดีเพื่อไม่ให้อีกด้านที่ร่ำร้องจะทำงานของเรารู้สึกผิดกับการพักผ่อนจนเกินไป และยังช่วยให้ชีวิตการทำงานหลังวันหยุดเต็มไปด้วยประสิทธิภาพอีกต่างหาก ปิดตัวจากการทำงานเสีย แม้เราจะคิดแพลนการทำงานไว้ล่วงหน้า แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะรับการติดต่อจากเพื่อร่วมงานได้ตลอดเวลา การที่เรายังติดต่อกับเพื่อนร่วมงาน (เรื่องงาน) จะทำให้เราไม่มีสมาธิกับการพักผ่อน อย่ารู้สึกผิด เพราะนี่คือวันหยุด! เปลี่ยนเอาเวลามาแพลนตัวเองให้มาก คิดโปรเจ็กต์ดี ๆ ไว้เสนอบอส รับรองว่าแค่ไม่ติดต่อกับที่ทำงาน (เรื่องงาน) ในช่วงวันหยุดไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแน่ ๆ ใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อน ช่วงเวลาที่ผู้ชายอย่างเราทำงานแทบบ้าคลั่งก็คงแทบไม่มีเวลาให้เพื่อนและครอบครัวเลย การได้หยุดยาว ๆ สักทีจึงควรหาเวลาแบ่งไปให้ครอบครัวหรือเพื่อนของเราบ้าง เพราะคนกลุ่มนี้คือคนที่รู้จักเราดีที่สุด กลับไปฟังเสียงของเขาบ้างว่าปีที่ผ่านมามีอะไรดี ๆ
อยู่คนเดียวเพลิน ๆ สไตล์หนุ่มโสดก็ดูเมามันได้เต็มที่ แต่บางทีข้างกายมันก็เหงาเกินไปจนต้องตะโกนบอกฟ้าบอกลมดัง ๆ ว่า “โปรดส่งใครมารักฉันที อยู่อย่างนี้มันเหงาเกินไป” แต่ตะโกนเท่าไหร่ก็เหมือนฟ้าจะไม่ได้ยิน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องลงมือด้วยตัวเอง และนี่คือ 5 หนทางที่ UNLOCKMEN ขอแนะนำให้หนุ่มโสดทุกคน อย่าจมอยู่กับที่ บางทีสถานที่เดิม ๆ ก็ทำให้เราเจอแต่กับคนเดิม ๆ ถ้าไม่อยากเจอแต่อะไรเดิม ๆ ก็ต้องพาตัวเองไปในที่ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยไปบ้าง เพื่อที่จะได้เจอคนใหม่ โอกาสที่จะพบรักแท้ครั้งใหม่อย่างที่คุณคาดไม่ถึง กิจกรรมใหม่ ๆ ก็ต้องมา กิจกรรมใหม่ ๆ ต้องมาไม่ได้หมายความว่าทำกิจกรรมอะไรก็ได้ แต่สาวที่เราชอบเป็นแบบไหนก็ให้ไปหากิจกรรมแบบนั้นทำ ชอบสาวหุ่นดีรักสุขภาพก็ลองพาตัวเองไปออกกำลังกาย ชอบผู้หญิงทำอาหารก็ลองไปเข้าคอร์สทำอาหารดู รับรองนี่จะเป็นรสชาติชีวิตอีกแบบที่คุณไม่เคยพบเจอ ให้แอปพลิเคชั่นหาคู่อยู่ข้างคุณ อย่าดูถูกพลังของเหล่าแอปฯ หาคู่ทั้งหลาย เพราะถ้าใช้ให้ถูกวิธี บางทีรักแท้ก็ซ่อนตัวรอให้เราหาเจออยู่ในนี้เช่นกัน แต่การใช้ก็ต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ ผสมความจริงใจจากเรา ไม่ใช่มองหาคู่นอนชั่วข้ามคืน อย่างนั้นอะไรก็คงช่วยคุณไม่ได้! อะไรไม่ดีโยนทิ้งไป เราต่างคนต่างรู้อยู่แล้วว่าตัวเองมีนิสัยอะไรที่ต้องการการปรับปรุงแก้ไขขั้นเร่งด่วน อาจจะปากไวเกินไป ขี้เมาเกินไป ไม่เอาการเอางานเกินไป นิสัยที่เราก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ดีเหล่านี้อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่เรายังโสด ถ้ารู้อย่างนี้ก็โยนทิ้งมันไปเสีย เพื่อการเป็นคุณคนใหม่และความรักครั้งใหม่ที่จะเข้ามา เปิดใจเข้าไว้
บ่อยครั้งที่ผู้ชายอย่างเราหวังว่าโชคจะเข้าข้างเราบ้าง หรือตัดพ้อน้อยใจว่าทำไมฟ้าถึงไม่มีตาเห็นเรา แล้วมอบสิ่งดี ๆ ให้ แต่ UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าเลิกขอจากโชคชะตาฟ้าลิขิตเถอะ! เพราะความสำเร็จไม่ใช่เรื่องโชคชะตา แต่คือเรื่องสองมือสองขาของเราเอง และ UNLOCKMEN เชื่อว่า 5 นิสัยต่อไปนี้จะทำให้คุณได้ไปต่อในหนทางแห่งความสำเร็จแน่นอน 1.เป้าหมายต้องชัด อย่าให้อะไรพัดความฝันเราได้ นิสัยอย่างแรกที่จะทำให้เราเข้าใกล้ความสำเร็จในชีวิตคือการมีเป้าหมายที่ชัดเจน อย่าปล่อยให้ความคลุมเครือไม่ชัดเจนพัดพาคุณออกจากหนทางแห่งความสำเร็จไปไหนไกล ดังนั้นจะทำอะไรอย่าลืมแปะป้ายในสมองตัวโต ๆ ว่าเราต้องการอะไรที่สุด? และพุ่งชนมันให้สุดชีวิต 2.ลำดับความชัดเจนของชีวิต เอาให้เครื่องติดสุดพลัง บ่อยครั้งที่เป้าหมายเราไม่ได้มีเป้าหมายเดียว โดยเฉพาะการเป็นผู้ชายที่ Work Hard Play Hard ด้วยแล้ว ความสนใจเรามีล้นมือเต็มไปหมด แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะไปด้วยกันไม่ได้ ลองลิสต์ดูว่าในความสนใจ 10 อย่าง อะไรคือ 3 อย่างที่เราชอบที่สุดและมันไปในทิศทางเดียวกันอย่างไรได้บ้าง แล้วก็มุ่งทำมันควบคู่กันไปในทิศทางเดียวกันให้ได้ดี 3.ความล้มเหลวคือบทเรียน เราอาจจะกลัวความล้มเหลวจนไม่ได้ทำอะไรเลยก็เป็นได้ จริงไหม? ดังนั้นอย่ากลัวที่จะทดลองทำอะไรใหม่ ๆ แค่เพราะกลัวความล้มเหลว อย่าลืมว่าความล้มเหลวคือบทเรียนหนึ่งที่จะสอนให้เรารู้ว่าจะไม่เดินกลับไปผิดพลาดในทางเดิม ๆ อีก ดังนั้นรู้ไว้เลยว่าอย่าไปกลัวมัน สิ่งสำคัญคือการได้เรียนรู้ต่างหาก 4.ทักษะต้องรอบด้าน เพื่อผลงานที่เราหวัง แม้ความฝันจะมีเพียงหนึ่ง