พูดถึงกัญชาในบ้านเราอาจเป็นเรื่องที่ต้องส่ายหน้าหนีเพราะถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ในหลายประเทศทั่วโลกกัญชากำลังถูกทำให้ถูกกฎหมายมากขึ้น ด้วยงานวิจัยทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ที่ออกมาบอกว่ากัญชานั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ตั้งแต่รักษาโรคไปจนถึงถึงช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์ กัญชาจึงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อีกต่อไป จนถึงขั้นมีมหาวิทยาลัยที่ให้ปริญญากับนักศึกษาที่เรียนเรื่องกัญชาอย่างจริงจัง ที่สหรัฐอเมริกาเองก็ใช่ว่าทุกรัฐการเสพกัญชาจะเป็นเรื่องถูกกฎหมาย แต่หลาย ๆ รัฐก็ถือเป็นเรื่องถูกกฎหมายแล้ว แต่ถ้าพูดถึงความจริงจังก็ต้องยกให้ Northern Michigan University (NMU) ที่ไม่ได้มีแค่เอกภาษาศาสตร์ เอกวิทยาศาสตร์ หรือเอกอื่น ๆ ตามปกติที่มหาวิทยาลัยควรมี เพราะที่นี่มีเอกกัญชาศาสตร์กับเขาด้วย! เทอมนี้เป็นเทอมแรกที่ Northern Michigan University มีหลักสูตร 4 ปี แล้วได้รับปริญญาในการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องกัญชาโดยเฉพาะ เรียกได้ว่านี่ก็เป็นครั้งแรกในประเทศเสรีอย่างสหรัฐอเมริกาเหมือนกัน โดยหลักสูตรกัญชาศาสตร์นี้ก็สอนทุกสิ่งเท่าที่นักศึกษาคนหนึ่งจะได้เรียนรู้จากหลักสูตรอื่น ๆ ทั่วไป ภายในหลักสูตรจะศึกษาทุกอย่างไล่ตั้งแต่วิชาเคมีและชีววิทยา (ที่ข้องเกี่ยวกับกัญชา) ไปจนถึงเรื่องการเงินและการตลาด รวมถึงเมื่อไปถึงขั้นหนึ่งพวกเขาจะได้เรียนรู้วิธีการปลูกต้นกัญชากับมือของพวกเขาเอง นอกจากนั้นยังได้เรียนรู้วิธีที่จะแยกสารประกอบส่วนที่มีค่าที่สุดของมันออกมาเพื่อการสร้างรายได้ ตอนนี้มีนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในสาขาวิชานี้จำนวน 12 คน เนื่องจากในรัฐมิชิแกนยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการ ดังนั้นพวกเขาก็จะศึกษาพืชชนิดอื่น เช่น โสม ไปพลาง ๆ ก่อนเพื่อให้เข้าใจถึงคุณสมบัติทางยาของพวกพืชได้ดียิ่งขึ้น Alex Roth คือหนึ่งใน 12 นักศึกษาที่กำลังศึกษาเรื่องกัญชาอย่างจริงจัง
ผู้ชายอย่างเราในฐานะที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยคงไม่มีใครที่ไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับแนวทางพระราชดำริเรื่องความพอเพียง แต่ความพอเพียงไม่ได้เป็นเพียงพระราชดำริที่น้อมนำมาใช้กับชีวิตเพียงด้านการเงินเท่านั้น แต่ยังน้อมนำมาใช้ได้กับทุกด้านในชีวิต กับนิทรรศการ ‘พระราชาในดวงใจ’ ก็เช่นกัน โดยเฉพาะ ‘ห้องหมายเลข ๙’ห้องที่ไม่ควรพลาดมาชม เพราะเป็นห้องที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันทรงคุณค่า ถ่ายทอดผ่านพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและวัตถุล้ำค่าที่หาชมได้ยากยิ่ง แต่มูลค่าของสิ่งของหายากเหล่านี้ไม่สำคัญเท่าคุณค่าที่ทำให้รำลึกถึงพระเมตตาแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งวันนี้ UNLOCKMEN ได้รับเกียรติจากคุณศักดิ์ชัย กาย ศิลปินและบรรณาธิการบริหาร ผู้ก่อตั้งนิตยสาร Lips ซึ่งเป็นผู้รวบรวมของมากมูลค่า แต่ทรงคุณค่ายิ่งกว่านี้ไว้ด้วยกัน ห้องหมายเลข ๙ กับคอนเซ็ปต์ Gallery & Library เรื่องราวที่บอกเล่าผ่านทางสายตาแต่ส่งตรงไปถึงความรู้สึก โดยคุณศักดิ์ชัยได้ให้คำอธิบายของคอนเซ็ปต์นี้ว่า “การเล่าเรื่องก็จะนึกถึงหนังสือ และภาพก็นึกถึงกล้อง ผมจึงอยากจำลองให้ห้องแห่งนี้เป็นทั้ง Gallery และ Library ผ่านคอนเทนต์ที่เข้าใจง่าย พอคนเห็นก็เข้าใจได้เลย ไม่ต้องตีความ เพราะเชื่อว่าทุกคนก็จะรู้สึกเหมือนกัน” ทุกสิ่งละอันพันละน้อยแต่มากด้วยคุณค่ามหาศาลที่เราเห็นในห้องหมายเลข ๙ นี้จึงล้วนมีความหมายที่ศิลปินอยากจะถ่ายทอดและสื่อสารกับผู้ที่เข้ามาชมทุกท่าน ซึ่งคุณศักดิ์ชัยก็ได้เล่าให้ฟังต่อว่าคอนเซ็ปต์และรูปแบบของห้องที่ได้จัดทำเป็นรูปวงรีรูปทรงของดวงตา และตู้จัดแสดงตรงกลางดวงตาคือหมายเลขเก้าไทย เพื่อสื่อถึง สายพระเนตรแห่งความเมตตา นั่นเอง ดังนั้นไม่ว่าใครที่ย่างกรายเข้ามาในนิทรรศการนี้ก็ย่อมสัมผัสได้ถึงสายพระเนตรแห่งพระเมตตาของในหลวงรัชกาลที่ 9 “ห้องวงรีที่ล้อมรอบไปด้วยพระบรมฉายาลักษณ์ ทำให้ในทุก ๆ ฝีก้าวที่คุณเดินอยู่ในห้องนี้ คุณก็จะสัมผัสได้ว่าท่านทรงทอดพระเนตรเราอยู่ พระองค์ท่านไม่ได้จากไปไหนเลย
ทำไมคนบางคนถึงกลายเป็นคนที่มั่งคั่งร่ำรวยจนเราโคตรอิจฉา ในขณะที่ทำไมอีกหลายคนถึงเป็นได้แค่คนธรรมดาทั่วไป? หลายครั้งที่เราตั้งคำถามนี้กับตัวเอง แต่รู้หรือไม่ว่าการเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวยบางครั้งก็ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยอย่างที่เราเข้าใจ แต่คนที่ประสบความสำเร็จทางการเงินนั้นมีนิสัยที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่น นิสัยเหล่านี้ก็ไม่ใช่นิสัยที่พิเศษจนเกินความสามารถคนธรรมดาอย่างเรา แต่เป็นนิสัยที่เราสามารถเอามาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน อยู่ที่ว่าเราจะอยากทำมันหรือเปล่า ถ้าสนใจ UNLOCKMEN ก็เอา 5 นิสัยที่คนมั่งคั่งระดับโลกมาเสนอให้คุณลองพิจารณาดูแล้ว ค้นหาแพสชั่นในการทำงาน คนมั่งคั่งร่ำรวยระดับโลกมักร่ำรวยมาจากการมีบริษัท การเป็นเจ้าของกิจการของตัวเอง ผู้ประกอบการเหล่านี้ สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันหมดก็คือมีแพสชั่นในสิ่งที่พวกเขาทำ แม้งานที่พวกเขาทำจะน่าเบื่อแค่ไหน แต่มันเป็นกระบวนการหนึ่งในการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่พวกเขาก็จะทำมันอย่างมีความหลงใหลไม่หยุดหย่อนเพื่อให้มันออกมาดีที่สุด ไม่ใช่แค่ดีพอผ่าน ๆ เงินไม่ใช่ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าถามคนที่รวยระดับโลกว่าสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคืออะไร คำตอบที่เราได้ยินจะไม่ใช่การมีเงินล้นมือ (ถึงแม้ว่าเขาจะมีมากอยู่แล้วก็เถอะ) เพราะเงินเป็นเพียงตัวขับเคลื่อนรองลงมา สิ่งที่พวกเขาอยากมีคือการขับเคลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ถ้านึกไม่ออกลองนึกถึงมาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งโซเชียลเน็ตเวิร์คชื่อดังก้องโลกดู เขาไม่ได้ต้องการเงิน แต่เขาต้องการเปลี่ยนวิธีสื่อสารของคนในโลกต่างหาก! โฟกัส! คนที่ประสบความสำเร็จหรือคนที่ร่ำรวยระดับโลกมักมีความสามารถในการโฟกัสไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนกว่าพวกเขาจะแก้มันให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ต่างจากคนอื่น ๆ ที่อาจจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อันไหนพอทำไม่ได้ก็ปล่อยให้หลุดมือไป ลองเสี่ยงดู คนรวยจำนวนมากไม่ได้เกิดมาพร้อมทางเดินที่ปูให้เขาด้วยความมั่นคงเสมอไป ยังมีเศรษฐีระดับโลกจำนวนมากที่เติบโตจากการไม่มีอะไรก่อนจะกลายมาเป็นคนร่ำรวยอย่างที่เป็นทุกวันนี้ การลงไปเสี่ยงหรืออยู่ในสภาวะที่เราอาจจะต้องแลกกับหลายสิ่งที่มีอยู่ในมือหลายครั้งก็เป็นเรื่องที่ทำให้เราเติบโตขึ้นได้อย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน อย่ากลัวความล้มเหลว คนจำนวนมากกลัวความล้มเหลว พวกเขากลัวที่จะเผชิญหน้ากับความล้มเหลวนั้นและกังวลว่าความล้มเหลวนั้นจะทำให้ชีวิตพวกเขามีประสบการณ์ที่ไม่ดี แต่คนที่มั่งคั่งร่ำรวยมักทำตรงกันข้าม พวกเขายอมรับความล้มเหลวของตัวเอง และมักมาแยกองค์ประกอบของมันเป็นส่วน ๆ ว่าพวกเขาทำอะไรผิดพลาดตรงไหน ดังนั้นการยอมรับและประเมิณความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ทำได้ยากแต่สำคัญที่คนร่ำรวยมักทำอยู่เสมอ อ่านดูแล้ว UNLOCKMEN
ตลอดช่วงเวลาตั้งแต่เกิดจนเติบโตขึ้นมา มนุษย์เราได้มีโอกาสเลือกหลายสิ่งหลายอย่างให้กับชีวิต เลือกร้านอาหารที่จะกิน เลือกหนังที่จะดู เลือกเรียนในคณะที่ชอบ เลือกจีบหญิงที่หมายปอง เลือกเป็นนายตัวเองแทนที่จะสมัครงานบริษัทใช้ชีวิตตามระบบ ฯลฯ แต่ใครจะรู้ว่าเราสามารถเลือกที่จะมีความสุขได้ด้วย จะมัวเลือกมองด้านหม่นจมความทุกข์อยู่ทำไม UNLOCKMEN พาไปดู 7 สิ่งที่คุณเลือกทำได้เพื่อให้ตัวเองมีความสุขไปพร้อม ๆ กัน เลือกออกกำลังกาย การออกกำลังกายไม่เพียงแค่ช่วยให้ร่างกายของเรารู้สึกดีเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้สมองและการเต้นของหัวใจเต้นเร็วขึ้นซึ่งเป็นตัวกระตุ้นโดปามีนให้หลั่งออกมา ซึ่งโดปามีนก็เป็นสารเดียวกับที่หลั่งตอนที่เรามีความสุข ดังนั้นอะไรจะดีไปกว่าการออกกำลังกายและมีความสุขอีก เลือกที่จะดูแลร่างกายตัวเอง เราเองที่กุมชะตาชีวิตและความสุขของตัวเองไว้ในมือ เราเลือกกินหรือไม่กินสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเราเอง ถ้าเราเลือกสิ่งดี ๆ เราก็จะได้รับร่างกายที่แข็งแรงและสมบูรณ์ ในขณะที่ถ้าเราเลือกกินสิ่งไม่ดี เราก็จะได้รับโรคภัยและความเจ็บปวดกลับมา การพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดูแลร่างกายตัวเราเองถือเป็นก้าวสำคัญแรก ๆ ที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อการเป็นคนที่มีความสุข เลือกที่จะดีต่อทุกอย่างเข้าไว้ ความคิดและการกระทำส่งผลถึงระดับจิตใต้สำนึกได้ ดังนั้นเมื่อเจออะไรในชีวิตประจำวันให้คิดถึงมันในทางที่ดีเข้าไว้ก่อน ทั้งสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตไปจนถึงสิ่งใหญ่ ๆ การคิดดีแม้แต่การคิดในใจจะช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นและอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ดี เลือกที่จะมีความสุขกับโมเมนท์เล็ก ๆ การมีความสุขกับโมเมนท์เล็ก ๆ และธรรมชาติรอบตัวให้อะไรกับเราได้มากกว่าที่คิด อาจไม่ใช่ธรรมชาติยิ่งใหญ่อะไรที่เราต้องดั้นด้นข้ามจังหวัดไป แต่อาจเป็นสวนสาธารณะในเมืองตอนที่พระอาทิตย์ไม่ได้จ้าเกินไป นั่งบนหญ้า สูดอากาศ ฟังเสียงลมและนก โมเมนท์เล็ก
คงไม่มีใครชอบการทำงานอืดเอื่อยสุดล่าช้าของคนในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นคนในทีมด้วยกัน หรือลูกน้องที่คอยรับคำสั่งจากเรา เพราะการทำงานต้องการการเคลื่อนไปข้างหน้าอยู่เสมอ จะให้มานั่งรอคนคนเดียวคงไม่ส่งผลดีแน่ แต่ในทางกลับกันคนในองค์กรที่ทำงานอย่ารวดเร็ว ฉับไว เพื่อให้ได้ชื่อว่า ‘ทำงานเสร็จรวดเร็ว’ ทั้ง ๆ ที่การทำงานนั้นบางครั้งเกิดข้อผิดพลาด หรือสร้างความบกพร่องรุนแรงไว้ให้กับองค์กรอย่างไม่ทันรู้ตัวก็ไม่เป็นผลดีเช่นกัน ปัญหาก็คือผู้คนในองค์กรต่างชื่นชมการทำงานอย่างเร่งด่วนรวดเร็วราวกับคนคนนั้นเป็นฮีโร่ขององค์กรอยู่เสมอ แม้ผลที่ออกมาจะมีความผิดพลาดตามมาก็ตาม แต่เราก็จะยกย่องว่าการทำงานรวดเร็วคือสุดยอดความเจ๋ง แถมไม่แม้แต่จะมองว่านี่แหละคือปัญหาขององค์กรอีกปัญหาหนึ่ง! ก็แน่ล่ะใครจะมองว่าการที่พนักงานคนหนึ่งหรือคนหนึ่งในทีมรีบทำงานให้เสร็จลุล่วงจะถูกนับเป็นปัญหาการจัดการในองค์กรไปด้วย แต่จากรายงานเปิดเผยว่าแต่ละองค์กรต้องสูญเสียเงินจำนวนมากไปกับการตัดสินใจหรือทำอะไรอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้ชื่อว่าเสร็จ ๆ ไปก่อน แต่ทิ้งความผิดพลาดเอาไว้ อย่างไรก็ตามคนในทีมที่ทำงานแบบเร่งด่วนก็มักจะเป็นคนคนเดียวกับที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นเราก็ต้องระมัดระวังการบอกเขามากที่สุดเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของทีมเช่นกัน วิธีต่อไปนี้จึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยจัดการคนในทีมที่ออกแนวด่วนแต่สะเพร่าได้ดีพอสมควร ช่วยให้เขามองเห็นว่าการกระทำของเขามีผลต่อคนอื่นอย่างไร หลายครั้งที่คนทำงานด่วน งานเร็ว มองเห็นแต่เป้าหมายของตัวเอง จนอยากรีบทำทุกอย่างให้เสร็จ ๆ ไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าทำงานเสร็จ แล้วปัดงานนั้นให้พ้นตัวเพื่อให้คนอื่นนั้นรับช่วงงานต่อต่อไป การทำแบบนั้นไม่ได้มีอะไรผิดต่อการทำงานส่วนตัวแต่อย่างใด (ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด) แต่ในฐานะการทำงานเป็นทีมการทำแล้วปัด ๆ ส่งไปไม่มีผลดีต่อความร่วมมือกันเป็นแน่ ดังนั้นต้องทำอย่างไรเพื่อให้เขาเห็นว่านี่คือการทำงานเป็นทีม เป้าหมายคือเป้าหมายของทีมร่วมกันไม่ใช่งานของเขาคนเดียวที่ทำแล้วจบไป ที่สำคัญคนในทีมต้องรู้จักชมผลงานของเขาในแง่กระบวนการการทำ ไม่ใช่ชมแค่ผลงานของเขาที่เขาทำเสร็จแล้ว และชี้ให้เห็นว่าการทำงานของเขาไม่ได้มีค่าแค่ต่อตัวเอง แต่ส่งผลในฐานะความเป็นทีมอย่างไร ให้เขาระบุผลของการกระทำของเขาออกมา บางทีการชี้ให้เห็นอาจไม่มากเพียงพอ เราอาจต้องช่วยกระตุ้นให้เขาเห็นว่าการกระทำของเขาส่งผลกระทบอะไรตามมาบ้าง เพราะเขาอาจเห็นแต่ข้อดีที่ทุกคนชมเขา (หรือเขาเห็นเอง) ว่าเขาทำงานเสร็จเร็ว ตัดสินใจได้ด่วนกว่าคนอื่น แต่เขาไม่เคยมองเห็นว่าข้อผิดพลาดที่เกิดจากการทำงานเร็วเกินไปคืออะไร ดังนั้นเราต้องกระตุ้นให้เขาหาให้เจอให้ได้ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมันคืออะไร มันเกิดจากอะไร
คนพูดคำหยาบมันชั่ว มันเป็นคนไม่ดี บ่อยครั้งที่เราได้ยินคำกล่าวหารุนแรงแบบนั้น แต่มันเป็นไปตามนั้นเสมอไปจริงหรือ? UNLOCKMEN ต้องขอสารภาพว่าหลายครั้งที่เราอยู่กับคนที่สนิทใจและอยู่ในบริบทที่เรารู้ว่าอยู่ในกาลเทศะที่เหมาะสม การพูดคำหยาบบ้างก็สร้างบรรยากาศที่บรรยากาศแบบสุภาพให้ไม่ได้ อย่างไรก็ตามก่อนที่จะหาว่าเราเข้าข้างคำหยาบแบบลอย ๆ วันนี้ UNLOCKMEN ขอชวนอ่านว่าคำหยาบช่วยลดความเจ็บปวดของเราได้อย่างไร? Melissa Mohr ผู้เขียนหนังสือชื่อที่มีคำขึ้นต้นสุดหยาบคายว่า Holy Sh*t: A Brief History of Swearing หรือ ประวัติศาสตร์สังเขปของคำหยาบ (คำหยาบตอนขึ้นต้น UNLOCKMEN ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วกัน) โดยเขาศึกษามาไว้คำหยาบไม่ได้มีผลถึงระดับการทำงานของร่างกายของคน (ไม่ใช่แค่ระดับจิตใจเท่านั้น) เพราะเวลาเราพูดหรือได้ยินคำหยาบ ๆ คาย ๆ ความนำไฟฟ้าบนผิวหนังเราจะเกิดความเปลี่ยนแปลง ซึ่งไอ้ความนำไฟฟ้าบนผิวหนังนี่เองที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวด นอกจากนั้นยังมีการทดลองที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร NeuroReport ซึ่งทำการทดลองโดยให้กลุ่มตัวอย่างเอามือจุ่มลงไปในน้ำเย็นจัดโดยรอบแรกจุ่มลงไปแล้วไม่พูดอะไร ในขณะที่รอบที่สองให้สบถคำหยาบคายออกมาได้ เช่น แม่ง โคตรเย็นเลยว่ะ (หรือจะหยาบคายกว่านี้ก็แล้วแต่) ผลปรากฏว่าแทบทั้งหมดของกลุ่มตัวอย่างเห็นตรงกันว่าเวลาได้สบถคำหยาบคายออกมามันรู้สึกเจ็บปวดน้อยกว่าไม่สบถ ที่สำคัญพวกเขายังสามารถเอามือจุ่มลงในน้ำเย็นจัดนั้นได้นานขึ้นมากกว่าเกือบหนึ่งนาที อย่างไรก็ตามคำหยาบก็ยังดูเป็นเรื่องชวนให้วงการดีเบตในหมู่นักวิจัยยังคงเบือนหน้าหนี (ก็แน่ล่ะ เพราะมันเป็นคำหยาบที่ใคร ๆ ก็รังเกียจนั่นเอง) แต่นักจิตวิทยาอย่าง Richard Stephens จากมหาวิทยาลัย Keele
งานต่อให้เรารักแค่ไหน แต่ทำไปทำมาเมื่อมันเริ่มวนลูปเดิม ๆ เจอปัญหาเก่า ๆ ที่แก้แล้วแก้อีกก็ยังวนกลับมาไม่หยุด คนเราก็ต้องมีเบื่อบ้าง หรือบางคนอาจจะเบื่อจนอยากร้องตะโกนโวยวายทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วรู้ว่าต้องไปทำงาน ถ้ามันจะเบื่อขนาดนั้นแล้วล่ะก็ UNLOCKMEN เห็นว่าไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลยไปแล้วคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ UNLOCKMEN เสนอว่ามันพอมี 5 วิธีเล็ก ๆ น้อยให้ลองทำดูเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง งานมีไว้ทำแค่ที่ทำงาน แม้จะดูเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน แต่ถ้าชีวิตเดินทางมาถึงจุดที่การต้องตื่นไปทำงานทุกวันทำให้คุณรู้สึกเหมือนโลกจะแตกสลาย หรือถ้าโลกแตกสลายลงก็ยังดีกว่าต้องแบกร่างไร้วิญญานไปทำงานแล้วล่ะก็ นี่ก็อาจเป็นกลยุทธแรก ๆ ที่คุณไม่ควรมองข้าม คุณเข้างานตรงเวลาก็ควรเลิกงานตรงเวลา ปล่อยให้งานอยู่แค่ที่ทำงานเท่านั้น ทันทีที่คุณเลิกงานคุณควรปล่อยวาง เลิกคิดว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไร มีอะไรที่คั่งค้าง แล้วใช้เวลากับการพักผ่อนให้เต็มที่ อีเมลงานก็ปล่อยไว้ก่อนเพื่อรักษาสุขภาพจิตของตัวเองสักระยะ แล้วค่อยมาเช็คอีเมลทันทีที่เวลาเริ่มงานตอนเช้าเริ่มต้นก็ไม่เสียหาย สมองคุณจะได้แยกแยะให้ชัดเจนว่าเวลาไหนคือเวลางาน เวลาไหนคือเวลาที่ได้พักผ่อนเต็มที่เพื่อชาร์จพลังไว้สู้กับงานในเวลางานได้อย่างเต็มกำลังนั่นเอง ออกไปพักผ่อนเสียบ้าง อีกสาเหตุที่อาจทำให้คุณรู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับการทำงานเหลือเกิน อาจเป็นเพราะว่าคุณรู้สึกว่าชีวิตนี้ของคุณมันไม่มีอะไรหลงเหลือให้รอคอยอยู่อีกแล้วนอกจากงาน งาน และงาน ถ้าเป็นช่วงที่คุณมีไฟเหลือเฟือ ตะลุยงานได้ไม่มีวันหยุดหย่อนก็ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะคุณจะพร้อมกระโจนใส่งานได้อย่างโคตรบ้าคลั่ง แต่ไม่ใช่กับช่วงหมดไฟ UNLOCKMEN แนะนำว่าคุณต้องการการพักผ่อนอย่างถึงที่สุด อาจจะลาไปพักร้อนสัก 3-4 วันยาว ๆ หรือจะชอบใช้วันหยุดทีละเล็กละน้อย ลาเพิ่มจากวันเสาร์อาทิตย์ไปเลยสัปดาห์ละวัน ก็ได้พักผ่อนแทบทุกอาทิตย์ไปอีกแบบ แต่เรารับรองได้ว่าการชักปลั๊กการทำงานไปพักผ่อนที่จะทำให้คุณลืมเรื่องงานไปได้ชั่วคราวจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้นหลายระดับ หารางวัลไว้หลอกล่อตัวเอง
นับตั้งแต่วันแรกที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคตจนกระทั่งเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งปี เราในฐานะพสกนิกรชาวไทยที่เกิดและเติบโตมาภายใต้ร่มพระบารมีคงไม่มีวันใดที่ไม่น้อมรำลึกถึงพระองค์ท่าน UNLOCKMEN เชื่อว่าภาพพ่อหลวงของปวงชนชาวไทยคงแจ่มชัดอยู่ในใจ แต่จะดียิ่งกว่าถ้าเราได้อ่านหนังสือเพื่อกระตุ้นเตือนความทรงจำและน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นให้ยังกระจ่างชัดในใจยิ่งขึ้น นี่จึงเป็น ‘เรื่องราวของในหลวง รัชกาลที่ 9’ จากหนังสือ 5 เล่มที่ UNLOCKMEN เห็นว่าผู้ชายอย่างเราควรอ่าน พระราชอารมณ์ขันจากพระโอษฐ์ ตลอดระยะเวลา 6 ทศวรรษที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จขึ้นครองราชย์ เราในฐานะพสกนิกรชาวไทยภายใต้ร่มพระบารมีได้เห็นพระราชกรณียกิจมากมายเป็นล้นพ้น รวมถึงการทรงงานหนักที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของพระองค์ท่าน แต่พระองค์ท่านก็ยังทรงมีพระราชอารมณ์ขัน ซึ่งถูกรวบรวมไว้ในหนังสือ ” พระราชอารมณ์ขันจากพระโอษฐ์” เล่มนี้ที่เราจะได้ระลึกถึงและปลาบปลื้มใจไปพร้อม ๆ กัน พระราชนิพนธ์เรื่องทองแดง หนังสือพระราชนิพนธ์เรื่องทองแดงเป็นพระราชนิพนธ์ที่เป็นสารคดีเล่าเรื่องทองแดงสุนัขทรงเลี้ยง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเล่าถึงประวัติที่มาของทองแดงอย่างละเอียด การได้อ่านพระราชนิพนธ์เรื่องทองแดงจึงทำให้เราได้ชื่นชมพระเมตตาของในหลวง ร.9 ที่ทรงมีให้แก่สุนัขทรงเลี้ยง แม้จะเป็นเพียงสุนัขข้างถนนมาก่อน นอกจากนั้นเราจะได้เห็นความเฉลียวฉลาดของคุณทองแดงและความสัมพันธ์ของพระองค์ท่านกับสัตว์ทรงเลี้ยงอีกด้วย ของขวัญแด่พ่อ ในฐานะพสกนิกรชาวไทยที่อาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร เราล้วนมีความทรงจำเกี่ยวกับพระองค์ท่านในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ในวันที่เราต้องการรำลึกถึงพระองค์ท่านเพื่อใช้เป็นแรงใจในการก้าวช้ามช่วงเวลาอันโศกเศร้าไปได้ การได้นึกถึงพระองค์ท่านจากความทรงจำถือเป็นการเยียวยาอย่างหนึ่ง ‘ของขวัญแด่พ่อ’ คือหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวของราษฎรที่เคยมีโอกาสถวายสิ่งของแก่พระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้เป็นที่รัก นี่จึงเป็นการรวบรวมความทรงจำอันเป็นประวัติศาสตร์ส่วนบุคคลถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชผู้เป็นศูนย์รวมจิตใจคนไทยทั้งชาติ กลางใจราษฎร์ : หกทศวรรษแห่งการทรงงาน หากจะกล่าวถึงหนังสือที่กล่าวถึงเรื่องราวพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ครบถ้วนที่สุด ‘กลางใจราษฎร์ : หกทศวรรษแห่งการทรงงาน’ จะเป็นหนังสืออีกเล่มที่ผู้ชายอย่างเราไม่ควรพลาด รวมถึงอีกหลายประเด็นที่เราไม่อาจหาอ่านได้จากที่ไหน เช่น
ในวันที่พ่อหลวงของเราเสด็จสวรรคตไปแล้ว แม้ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เราจะยังคงอยู่ในบรรยากาศแห่งความเศร้าโศก แต่ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า โดยเฉพาะการก้าวต่อไปตามรอยแนวทางพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท นับเป็นอีกหนทางการพาชีวิตก้าวไปอย่างมีจุดมุ่งหมายสำหรับผู้ชายอย่างเราทุกคน UNLOCKMEN จึงขอน้อมนำพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาไว้เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงต่อไป “การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง และครอบครัวช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ที่ประหยัดเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 31 ธันวาคม 2502 “การดำรงชีวิตที่ดีจะต้องปรับปรุงตัวตลอดเวลา การปรับปรุงตัวจะต้องมีความเพียรและความอดทนเป็นที่ตั้ง ถ้าคนเราไม่หมั่นเพียร ไม่มีความอดทน ก็อาจจะท้อใจไปโดยง่าย เมื่อท้อใจไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองแน่ ๆ ” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ครูและนักเรียน โรงเรียนจิตรลดา 27 มีนาคม 2523 “ถ้าทำงานด้วยความตั้งใจที่จะให้เกิดผลอันยิ่งใหญ่ คือความเป็นปึกแผ่นของประเทศชาติ ด้วยความสุจริตและด้วยความรู้ความสามารถด้วยจริงใจ ไม่นึกถึงเงินทองหรือนึกถึงผลประโยชน์ใดๆ ก็เป็นการทำหน้าที่โดยตรงและได้ทำหน้าที่โดยเต็มที่” พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ ศึกษาธิการจังหวัดทั่วประเทศ 13 ธันวาคม 2511 “ความรู้ในวิชาการ เป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้ และทำให้เป็นคนที่มีเกียรติ เป็นคนที่สามารถ เป็นคนที่มีความพอใจได้ในตัวว่า ทำประโยชน์แก่ตนเองและแก่ส่วนรวม นอกจากวิชาความรู้ ก็จะต้องฝึกฝนในสิ่งที่ตัวต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับสังคม สอดคล้องกับสมัยและสอดคล้องกับศีลธรรมที่ดีงาม
กาแฟกลายเป็นเครื่องดื่มที่มักตกเป็นผู้ต้องหาอยู่เสมอ โดนหาว่าเป็นของสิ้นเปลืองบ้าง โดนบอกว่าถ้าไม่กินกาแฟเป็นเวลา 10 ปีจะเอาไปซื้อบ้านซื้อรถได้บ้าง แต่กาแฟก็มีข้อดีของมันเหมือนกัน นอกจากทำให้ตื่นตัวในบ่ายอันชวนง่วงจนแทบจะหลับคาโต๊ะทำงานแล้ว ล่าสุดงานวิจัยยังบอกด้วยอีกว่ากาแฟทำให้เราอายุยืน! งานวิจัยที่ที่พูดถึงมีชื่อว่า Higher coffee consumption associated with lower risk of early death โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 20,000 คนที่อาศัยอยู่แถบเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งดื่มกาแฟอย่างน้อย 4 แก้วทุก ๆ วัน คำถามที่พวกเขาใช้สำรวจก็เป็นคำถามเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ สุขภาพ นิสัยการดื่มกาแฟ ทั้งนี้พวกเขาก็ไม่ได้สำรวจกันสั้น ๆ แต่ตามสำรวจกันถึง 10 ปี กลุ่มตัวอย่างจำนวน 20,000 คนมีอายุเฉลี่ย 37 ปี และระหว่าง 10 ปีที่มีการติดตามสำรวจมี 337 คนที่เสียชีวิต ทีมวิจัยพบว่าเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ หรือดื่มน้อย คนที่ดื่มกาแฟมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตก่อนวัย ต่ำกว่าถึง 64% การดื่มกาแฟเพิ่ม 2 แก้วต่อวันมีความสัมพันธ์ต่อการเสี่ยงที่จะเสียชีวิตลดลง 22% นอกจากนั้นประโยชน์ของกาแฟจะส่งผลดีที่สุดกับคนที่อายุมากกว่า 45