มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะใช้ชีวิตโดยไม่เจอการหาเรื่องจากคนงี่เง่า ที่หันมาเหวี่ยงใส่เราอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ว่าจะเป็นเพราะปีชงหรือวันซวย ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดที่ทำให้ตัวเราเหนื่อยกายและใจมากมายมหาศาล ดังนั้นวิธีที่ดีกว่าคือการรู้ว่าจะรับมือจากคนแบบนี้อย่างไร เพราะการแรงมาแล้วแรงกลับไปนั้นนอกจากจะไม่ช่วยอะไร มันยังทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างไม่จำเป็นอีกด้วย ไม่ว่าจะเจอคนงี่เง่าบนท้องถนนจากการขับรถปาดกันไปมา หรือเจอคนงี่เง่าในออฟฟิศ ที่พาลจนทำให้งานของเราไม่เดิน ก่อนจะหันไปหงุดหงิดตอบโต้คนงี่เง่าแบบนั้น เรามี 3 ขั้นตอนการรับมือที่ควรทำมาแนะนำ รับรองว่ามันจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้มากกว่าในทันที เหมือนคำโบราณว่าไว้ อย่าราดน้ำมันบนกองไฟ แต่มันจะดีกว่าถ้าเราเริ่มจากการดับไฟในใจเราเสียก่อน ขั้นแรกของการรับมือกับคนงี่เง่าเข้าใจยากที่หันมาเหวี่ยงใส่เราแบบไม่มีเหตุผล คือการนิ่งสงบ ไม่ตอบโต้ เพราะการตอบโต้จะยิ่งทำให้คนงี่เง่ายิ่งบันดาลโทสะเข้าไปใหญ่ พูดอะไรก็กลายเป็นหาเรื่อง ต้องอย่าลืมว่าคนที่กำลังหน้ามืดอยู่นั้นย่อมไม่อยู่ในสติที่จะฟังเหตุผลอะไรทั้งนั้น การตอบโต้ใด ๆ จึงไม่ทำให้เกิดผลดีใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนขี้วีนที่ไม่รู้ไปหงุดหงิดอะไรมา ก็จงใช้ความนิ่งเข้าไว้ มันจะช่วยให้เราได้ยินเสียงรอบข้างมากขึ้น เป็นการสร้างสมาธิและจิตที่สงบ ช่วยให้ควบคุมตัวเองได้ดีกว่าไปในตัว และที่สำคัญที่สุดคือมันจะช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกสงบขึ้นได้ด้วยความแปลกใจที่เราไม่ตอบโต้ เพราะความนิ่งเป็นเสียงที่ตะโกนได้ดังกว่า มีความหมายมากกว่าเสียงด่ากลับมากกว่าที่เราคิด สิ่งที่สำคัญที่พวกเราหลายคนมองข้าม และมันคือกุญแจไปสู่ความสงบที่แสนสบายใจ นั่นคือการพยายามทำความเข้าใจถึงเหตุผลที่อีกฝ่ายทำพฤิตกรรมแย่ ๆ ออกมา การเข้าใจถึงเบื้องหลัง ที่มาที่ไป จะทำให้เราเข้าใจเจตนาหรือเหตุผลที่อีกฝ่ายมีพฤติกรรมนั้น ๆ และเราจะไม่รู้สึกโกรธใด ๆ แม้อีกฝ่ายจะเหวี่ยงหรือหงุดหงิดใส่เราอย่างไร้เหตุผลก็ตาม ถ้าเราเข้าใจว่าพฤติกรรมที่อีกฝ่ายมาหาเรื่องเราอาจจะมีเหตุผลจากความเครียดบางอย่าง เราอาจจะรู้สึกเห็นใจมากกว่าที่จะไปตอบโต้ อย่างเช่นเมื่อเราขับรถอยู่ดี ๆ ก็เจอคู่กรณีไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์วินหรือพี่
ถือเป็นอีกไฮไลท์สำคัญของ SWATCH ในปีนี้เลยทีเดียว กับการเปิดตัวนาฬิกาลิมิเต็ดเอดิชั่น สวอท์ช ฟลายแมจิก (SWATCH FLYMAGIC) ปรากฏการณ์ความอัศจรรย์แห่งวงการเรือนเวลาเรือนแรกของโลกที่มาพร้อมกลไกอัตโนมัติกับนวัตกรรมใหม่ล่าสุด แฮร์สปริงนิวาครอง (Nivachron™) ที่มีคุณสมบัติไม่มีผลต่อแรงจากสนามแม่เหล็ก SWATCH FLYMAGIC เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย กับ 3 รุ่นได้แก่ BLACK SUSPENSE, RED SURPRISE และ BLUE HAWK โดยทั่วโลกมีวางจำหน่ายรุ่นละ 500 เรือน รวมทั้งสิ้นเพียง 1,500 เรือน และในประเทศไทยมีเพียง 60 เรือน โดยแบ่งเป็นรุ่นละ 20 เรือนเท่านั้น SWATCH FLYMAGIC ถือเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งโลกนาฬิกาที่น่าอัศจรรย์ ด้วยการพลิกกลไกอัตโนมัติแบบกลับด้าน รวมไปถึงเข็มวินาทีเดินถอยหลัง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการนำเสนอนวัตกรรมใหม่เช่นนี้ เป็นนาฬิกา SWISS MADE 100% ทุกเรือนได้รับการประกอบในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มาตรฐานการผลิตเดียวกับแบรนด์ชั้นนำ ด้วยวัสดุที่คัดสรรจากแหล่งที่ดีที่สุด นับเป็นเรือนแรกที่มีการติดตั้งกลไกโดยใช้แฮร์สปริง Nivachron™ ซึ่งคือนวัตกรรมวัสดุผลิตจากอัลลอยที่มีพื้นฐานมาจากไทเทเนียม Nivachron™ถูกจัดอยู่ในวัสดุประเภทโลหะ ที่มีคุณสมบัติไม่ตอบสนองต่อผลกระทบของสนามแม่เหล็กที่มีต่อกลไกนาฬิกา
พวกเราน่าจะอยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการรถยนต์จากเครื่องยนต์เผาไหม้ไปสู่พลังงานไฟฟ้า เพราะตอนนี้เรียกว่าเกือบทุกค่ายต่างนำเสนอโมเดล Full Electric Vehicle ประเดิมชัยกันใหญ่โต และล่าสุดก็มาถึงคิวของ Mini กันบ้าง หลังจากชักเข้าชักออกอยู่พักใหญ่ ก็ได้ฤกษ์อวยชัยเผยวันเปิดตัว All-Electric Mini คันแรกในเดือนมีนาคม ปี 2020 ที่จะถึงนี้แน่นอน ในขณะที่หลายค่ายนำเสนอรถ EV ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป แต่สำหรับ Mini การคงไว้ซึ่งคาแรคเตอร์ของตัวเองเป็นหัวใจสำคัญไม่แพ้พลังงานขับเคลื่อน เราจึงจะไม่ได้เห็นหน้าตาภายนอกที่มีความเปลี่ยนแปลงไปจาก Mini Cooper MY ปัจจุบันแต่อย่างใด นอกจากจะเป็นการเก็บรักษาความ Classic ของรูปโฉมเอาไว้ ต้องยอมรับว่ารูปโฉมของ Mini ก็มีความ Modern ล้ำสมัยมากพอโดยไม่ต้องเปลี่ยนลวดลาย ไฟหน้า หรือล้อขนาดใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ จะมีก็เพียงแค่ขุมพลังที่ถูกแทนที่ด้วยแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งไม่ได้เน้นแรงบ้าระห่ำอย่างที่ใครเค้าแข่งขันกัน แต่ออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานในเมืองได้อย่างสะดวกสบายมากกว่า Mini Electric จะมากับแบตเตอรี่ไฟฟ้าและมอเตอร์พลังงาน 135Kw หรือราว 181 แรงม้า ทำความเร็ว 0-100 km/h ได้ใน 7.3 วินาที ความเร็วสูงสุด
อีก 100 ปีต่อจากนี้ โลกอนาคตจะเป็นอย่างไร ย่อมไม่มีใครรู้ได้แน่ชัด แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ผู้คนในสมัยนั้นคิดว่าโลกที่เราอาศัยกันอยู่ ณ ปัจจุบันจะเป็นอย่างไรกัน และสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันตรงกับที่พวกเขาได้วาดฝันกันไว้หรือไม่ ผลงานสิ่งที่ผู้คนในปีค.ศ. 1900 ทำนายอนาคตในอีก 100 ปีข้างหน้านี้ เกิดขึ้นโดยบริษัทช็อกโกแลตสัญชาติเยอรมัน Hildebrands ได้ไอเดียทำโปสต์การ์ดทำนายอนาคต จากผู้คนในสมัยวิคตอเรียน ว่าวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีได้หมุนโลกเราไปถึงไหนแล้วบ้าง มีทั้งที่สมจริง และบางไอเดียที่หลุดโลกไปในปัจจุบัน ซึ่งเราเดาว่าแม้แต่บริษัทเองก็คงไม่คาดฝันว่า Postcard วันนั้ย จะกลายเป็น Reference ในยุคก่อนได้แบบนี้ ดังนั้นไปดูกันเลยว่าพวกเขาทำนายอะไรกันไว้บ้าง และมันจะเป็นไปอย่างที่คนในยุค 1900 จินตนาการไว้หรือไม่ ทางเท้าเลื่อนได้ ทางเท้าที่สามารถเคลื่อนที่ได้ เพื่อร่นระยะทางและเวลาที่ผู้คนจะใช้ในการเดิน ซึ่งในปัจจุบันแม้เราจะยังไม่ถึงขั้นมีทางเท้าบนท้องถนนที่เคลื่อนที่ได้แบบนี้ แต่เราสามารถเห็นเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงสิ่งนี้ได้ในอาคารทั่วไป หรือที่เราเรียกมันว่า บันไดเลื่อน นั่นเอง ตึกเคลื่อนที่ด้วยระบบราง 100 ปีก่อนมีคนจินตนาการว่าพวกเราน่าจะสามารถยกตึกทั้งตึกเดินทางไปกับเราได้ จากไอเดียของการใช้หัวรถจักรมาเคลื่อนอาคารไปตามราง ทว่าในปัจจุบันไอเดียนี้ก็ยังค่อนข้างห่างไกลจากความเป็นจริงไปนิด แต่ก็เคยมีการย้ายบ้านด้วยวิธีที่คล้ายคลึงกันมาแล้ว ตามในวีดีโอด้านล่างนี้ การถ่ายทอดภาพและเสียงจากโรงละคนสู่บ้านเรือน ไอเดียที่แม่นยำว่ามนุษย์ยุคเราจะทำได้ การแสดงในโรงละครที่สามารถถ่ายทอดออกไปได้ทั้งภาพและเสียง นี่คือสิ่งที่เราได้เห็นในชีวิตประจำวันของสมัยนี้ แต่สิ่งที่เหนือความความคิดของคนยุคก่อน คงไม่รู้ว่าปัจจุบันการ
อะไรเป็นตัวตัดสินว่าร้าน Omakase Sushi ร้านไหนให้ประสบการณ์ดีที่สุด? รสชาติอาหารและความสดของวัตถุดิบถือเป็นปัจจัยสำคัญแน่นอน โดยเฉพาะสำหรับอาหารประเภท Sushi แต่เมื่อมันเป็นร้านระดับ Omakase ยิ่งต้องมีความเป็นศาสตร์และศิลป์เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า แต่แค่นั้นยังไม่พอ ร้าน Omakase ที่ดียังต้องมีครบทั้งเรื่องราว บรรยากาศ การนำเสนอ ความผ่อนคลายของพนักงาน การตกแต่ง จุดที่ตั้ง ไปจนถึงราคาที่รู้สึกได้ว่าคุ้มค่า ทุกข้อล้วนเป็นสิ่งที่ร้าน Omakase Sushi ที่ดีควรจะมีครบ และหนึ่งในร้านอาหารญี่ปุ่นที่เราพึ่งจะได้สัมผัสมา และคิดว่าเป็นร้านที่ตอบโจทย์ได้ครบทุกข้อ ก็คือร้าน SUSHIYOSHI อันโด่งดังระดับ Michelin 2 ดาว ที่ขึ้นชื่อและโด่งดังอยู่ใน Osaka มากว่า 28 ปี ใครเคยพยายามไปทานที่ร้านนี้จะรู้ดีว่าต้องจองคิวนานเป็นสัปดาห์ แต่ล่าสุด Master Chef และเจ้าของกิจการคนปัจจุบัน Chef Nakanoue Hiroki ก็ได้พาตัวเองมาเปิดร้าน SUSHIYOSHI ถึงกลางเมืองกรุงเทพแล้วเรียบร้อยในโรงแรม W Hotel Bangkok นับเป็นสาขาที่ 3 ต่อจาก Hong Kong
ในปีค.ศ. 1964 Reg Spiers นักกีฬาพุ่งแหลนชาวออสเตรเลีย ผู้หมดหวังจากความพยายามแข่งเพื่อชิงตั๋วไปแข่งกีฬาโอลิมปิกที่โตเกียวในปีนั้น กำลังติดอยู่ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เขาไม่มีแม้แต่เงินที่จะซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน และด้วยความที่เขาอยากกลับไปให้ทันวันเกิดของลูกสาว ทำให้ Spiers ตัดสินใจแพ็คตัวเองใส่ลังไม้ และส่งกลับบ้านผ่านไปรษณีย์ Reg Spiers ได้ติดทีมชาติมาแข่ง Commonwealth Games (กีฬาที่รวมเอาชาติในเครือจักรภพมาแข่งกัน) ในปีค.ศ. 1962 แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บรบกวน ส่งผลให้เขาเสี่ยงจะไม่ได้ไปร่วมแข่งโอลิมปิกในปีค.ศ. 1964 ที่โตเกียว จนต้องมารักษาตัวในประเทศอังกฤษ ด้วยความหวังว่าเขาจะหายจากอาการบาดเจ็บได้ทัน ทว่าเมื่อเขารู้ดีว่าโอกาสไปแข่งโอลิมปิกนั้นหมดลงแล้ว Spiers ได้ตัดสินใจไปเข้าทำงานในสนามบิน เพื่อหาเงินให้ได้พอซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับออสเตรเลีย แต่ทุกอย่างได้พังลง เมื่อกระเป๋าเงินของเขาถูกขโมยไป ทำให้เงินที่เก็บสะสมมาโดยตลอดหายไปทั้งหมด และที่บ้านยังมีทั้งภรรยากับลูกสาวรอเขาอยู่ โดยเฉพาะลูกสาวที่กำลังจะครบวันเกิดในไม่ช้านี้ ทำให้ Spiers ค่อนข้างรีบเร่งและกระวนกระวายหาทางกลับไปให้ทัน โชคยังดีที่เขาทำงานอยู่ในฝ่ายที่ดูแลสินค้าบรรทุกส่งออก ซึ่งทำให้เขาทราบข้อมูลเรื่องขนาดสูงสุดของกล่องที่สามารถส่งผ่านเครื่องบินได้ การเก็บเงินปลายทาง และเขายังได้เคยเห็นการขนส่งสัตว์ผ่านวิธีนี้อีกด้วย นั่นได้จุดประกายความคิดให้กับ Spiers ว่า ‘ถ้าสัตว์เหล่านี้ทำได้ เขาก็ต้องทำได้’ Spiers ได้ขอให้ John McSorley เพื่อนนักกีฬาพุ่งแหลนที่อยู่อาศัยกับเขาในลอนดอน ได้ช่วยสร้างกล่องขนาด
มนุษย์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่ออกเดินทางผจญภัยไปในสถานที่ใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครเคยไปมาก่อน และเมื่อ 50 ปีที่แล้วก็เช่นกัน มีมนุษย์ 3 คน ที่กำลังจะเดินทางไปสถานที่ๆ ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ ดวงจันทร์บริวารของโลกเรานั่นเอง สามคนที่ว่านั้นก็คือ Neil Armstrong, Buzz Aldrin และ Michael Collins นักบินอวกาศในภารกิจอพอลโล 11 ที่ได้ออกเดินทางพร้อมเป้าหมายในการลงจอดบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก การเตรียมพร้อมทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยดีแล้ว และลูกเรือทุกคนก็มีความมั่นใจว่าภารกิจนี้จะต้องประสบความสำเร็จ ทว่าถึงจะมั่นใจ แต่พวกเขาก็ประสงค์ที่จะทำประกันชีวิตเอาไว้ก่อนจะออกเดินทางอยู่เช่นกัน ซึ่งบรรดาบริษัทประกันก็ทราบดีถึงความเสี่ยงในอาชีพของบรรดานักบินอวกาศ ทำให้โอกาสในการเอาประกันของพวกเขานั้นมีอยู่น้อยมาก และยังมีราคาสูงกว่าเงินเดือนของพวกเขาเสียอีก (ตอนนั้น Neil Armstrong มีรายได้จากการเป็นนักบินอวกาศราว $17,000 แต่ค่าเบี้ยประกันชีวิตที่มีความเสี่ยงสูงจะไม่ได้กลับมานั้น ถูกตั้งไว้สูงถึง $50,000 ต่อปี ซึ่งเทียบเป็นมูลค่าเงินในปัจจุบันก็มากกว่า $300,000 หรือมากกว่าปีละ 9 ล้านกว่าบาทไทยเลยทีเดียว) แน่นอนว่าช้อยส์นี้ไม่ได้ถูกเลือกโดยนักบินอวกาศทั้งสาม แล้วพวกเขาใช้วิธีไหนกันล่ะ ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่าจุดประสงค์ของการทำประกันในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการที่ครอบครัวของพวกเขาจะได้มีเงินก้อนเอาไว้ใช้ ในกรณีที่ภารกิจประสบความล้มเหลว และพวกเขาไม่สามารถกลับโลกมาได้ แต่ในเมื่อทำประกันชีวิตไม่ได้ พวกเค้าก็เกิดปิ๊งไอเดียหาเงินให้กับครอบครัวของพวกเค้าได้อีกทาง นั่นคือการสร้างมูลค่าให้ของใกล้ตัวอย่างการเซ็น Postcard ระหว่างที่นักบินทั้ง 3
ในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโลกของเรากำลังเผชิญกับปัญหาพลาสติกที่ล้นโลกอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในเมืองต่างๆ ที่ประสบปัญหาขยะล้นเมือง หรือตามท้องมหาสมุทร ที่เรามักจะเห็นภาพของขยะพลาสติกลอยเกลื่อนบนผิวน้ำ และอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตอยู่ได้อีกด้วย แต่ล่าสุดนักวิจัยชาวเม็กซิโกได้ค้นพบวิธีที่จะแปรรูปใบของกระบองเพชร ให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับพลาสติกที่ใช้งานตามท้องตลาดในปัจจุบัน พร้อมๆ กับสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ รวมทั้งไม่มีสารพิษตกค้าง ทำให้เป็นมิตรกับการเก็บรักษาสิ่งต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น Sandra Pascoe Ortiz นักวิจัยผู้ค้นพบวิธีทำพลาสติกจากต้นกระบองเพชร ได้เปิดเผยวิธีแปรรูปของเธออย่างคร่าวๆ กับทาง BBC โดยเริ่มจากตัดใบของต้นกระบองเพชรออกมา หั่นเอาหนามและเปลือกที่หุ้มโดยรอบออก จากนั้นนำไปเข้าเครื่องปั่นเพื่อคั้นเอาน้ำออกมา ก่อนจะนำไปแช่เย็นไว้ในตู้เย็น หลังจากนั้นก็ผสมเข้ากับสารตามสูตร ซึ่งสารที่ผสมลงไปเหล่านี้จะปลอดสารพิษอีกด้วย หลังจากนั้นก็นำมารีดให้เป็นแผ่นบางๆ ทิ้งไว้จนแห้ง และก็จะได้เป็นวัตถุที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับพลาสติกนี้ขึ้นมา ซึ่งในปัจจุบันกระบวนการนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น 10 วันด้วยกัน โดยจะมีการผลิตอยู่ในภายห้องแล็ปของเธอ ความพิเศษของวัตถุชนิดนี้อยู่ที่มันสามารถย่อยสลายในธรรมชาติได้ภายใน 1 เดือน หลังจากที่มันถูกฝังลงดิน และในน้ำจะใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น ส่วนถ้ามันเข้าไปอยู่ในร่างกายของคนหรือสัตว์ ก็สามารถถูกดูดซับได้โดยไม่เป็นภัยต่อร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างดี เนื่องจากในปัจจุบันปริมาณพลาสติกขนาดเล็กหรือ Microplastic ที่มนุษย์ได้รับเข้าไปต่ออาทิตย์นั้นมีมากถึง 5 กรัมด้วยกัน เทียบเท่ากับการบริโภคบัตรเครดิต 1 ใบ/สัปดาห์เลยทีเดียว ในปัจจุบันเธอกำลังวิจัยสายพันธุ์ของต้นกระบองเพชรมากกว่า 300 สายพันธุ์ เพื่อเลือกหาสายพันธุ์ที่มีคุณสมบัติดีที่สุดมาใช้ในการผลิต
เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ สองประเทศที่ถูกแบ่งแยกกันอันเนื่องมาจากสงคราม และยังคงอยู่ในภาวะที่เตรียมพร้อมจะรบกันได้อยู่เสมอ เนื่องจากสงครามเกาหลี ที่เกิดขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1950-1953 นั้นยังไม่ได้สิ้นสุดลงอย่างแท้จริง ทว่ามีเพียงแค่สัญญาหยุดยิงระหว่างสองฝั่งเท่านั้น ที่ถูกลงนาม ณ วันที่ 27 กรกฏาคม ค.ศ. 1953 นั่นทำให้ซีกเหนือและใต้ของเกาหลีได้ถูกแบ่งกันที่บริเวณเส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ ซึ่งเป็นบริเวณที่กำลังจากทั้งสองฝั่งได้มาเผชิญหน้ากัน และเมื่อสัญญาหยุดยิงได้ถูกลงนามแล้วนั้น ทหารและกองกำลังจากทั้งสองฝั่งต้องถอยหลังออกจากจุดเผชิญหน้าไปฝั่งละ 2 กิโลเมตร ซึ่งทำให้เกิดเป็นเขตปลอดทหารหรือ Demilitarized Zone (DMZ) กว้าง 4 กิโลเมตร และกินระยะยาว 250 กิโลเมตรด้วยกัน โดยมีเส้นแบ่งเขตแดนตั้งอยู่ที่กึ่งกลางของ DMZ แม้ในเขตๆ นั้นจะเป็นเขตปลอดทหารสมชื่อ แต่บริเวณโดยรอบนั้นกลับมีกองกำลังจากทั้งสองประเทศอยู่เป็นจำนวนมาก จนเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ๆ มีการติดอาวุธและมีทหารประจำการอยู่มากที่สุดในโลกเลยทีเดียว และมีเพียงจุดเดียวในบริเวณ DMZ ที่ทั้งสองฝั่งสามารถมาเผชิญหน้ากันได้โดยตรง นั่นก็คือบริเวณเขตรักษาความปลอดภัยร่วม หรือ Joint Security Area (JSA) ที่ JSA นั้นเป็นสถานที่ๆ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอยู่มากมาย ไล่ตั้งแต่ การส่งตัวเชลยสงครามผ่านสะพานที่ไม่สามารถย้อนกลับ หรือ
SWATCH (สวอท์ช) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ จัดงานปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟเปิดตัวคอลเลคชั่นไฮไลท์แห่งปี ‘BIG BOLD’ จากไอเดียสุดขบถ สู่นาฬิกาดีไซน์สุดคูลที่แฝงกลิ่นอายสายสตรีท เพื่อเหล่าผู้กล้าที่จะแตกต่าง และไม่กลัวที่จะแสดงความเป็นตัวเอง จัดเต็มความสนุกสนานด้วยปาร์ตี้มันสุดเหวี่ยงจากดีเจชื่อดังและสตรีทแดนซ์โชว์ที่มาร่วมสร้างสีสันภายในงาน พร้อมด้วยเหล่าสตรีทไอคอนแถวหน้าของเมืองไทย อย่าง ปิ๊น อนุพงศ์ (ปิ๊น Carnival), บ็อบ วรากฤช (บ็อบ V.A.C. Thailand), จี๊ด เมืองสิริขวัญ, บอล กันตพัฒน์ (บอล SneakaVilla) และเหล่าบรรดาแฟชั่นไอคอนที่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ณ Swatch Flagship Store, Central World ชั้น 1 จักรพันธ์ ญาณประสิทธิ์เวทย์ ผู้จัดการแบรนด์ SWATCH ประเทศไทย กล่าวว่า “แบรนด์นาฬิกา “สวอท์ช”เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนแนวคิดในแบบคนรุ่นใหม่ที่ปฏิวัติรูปแบบนาฬิกาสวิสที่ทั่วโลกรู้จัก ความไม่หยุดนิ่งในการพัฒนา เพื่อให้ก้าวทันโลกด้วยไอเดียที่สร้างสรรค์และสดใหม่รวมถึงยังสนับสนุนทุกแรงบันดาลใจของการใช้ชีวิต ในแง่ของศิลปะและกีฬา การเปิดตัวคอลเลคชั่น BIG BOLD นี้ นับเป็นการตอกย้ำถึงแนวคิดที่สำคัญของแบรนด์อย่างการหยิบวัฒนธรรมย่อยอย่างสตรีทคัลเจอร์มาถ่ายทอดลงบนเรือนเวลาได้อย่างลงตัวเพื่อสนองความต้องการของกลุ่มคนที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และด้วยที่มาจากไอเดียสุดขบถของนาฬิกา คอลเลคชั่นนี้ ทำให้