เชื่อว่าหลายคนที่ชื่นชอบในวัฒนธรรม Chicano culture (Mexican-American culture) ดนตรี รอยสัก รวมไปถึงคนที่เคยดูภาพยนตร์สารคดีอย่าง LA Originals คงจะรู้จักศิลปินชายเดี่ยวที่มีชื่อว่า ‘MISTER CARTOON’ หรือ Mark Machado กันอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะมีฝีไม้ลายมือในการสักที่เรียกได้ว่าเป็นระดับตำนานแล้ว เขายังมีผลงานออกแบบ Collaboration กับแบรนด์ดังระดับโลกขึ้นหิ้งเอาไว้มากมาย วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับชายผู้นี้ แถมยังมีข่าวดีสำหรับแฟน ๆ ของ ‘MISTER CARTOON’ ชาวไทยโดยเฉพาะมาฝากอีกด้วย ส่วนข่าวดีนั้นจะเป็นอะไร ไปติดตามดูกันได้เลย ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของชายคนนี้กันหน่อย MISTER CARTOON หรือชื่อจริงคือ Mark Machado ศิลปินสัก และศิลปินกราฟฟิตี้ระดับโลก เกิด โต และอาศัยอยู่ที่ Los Angeles, Califonia ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่ออายุได้ 8 ขวบ เขาก็ค้นหาพรสวรรค์ของตัวเองจนพบ นั่นก็คือการวาดรูป และทำให้เขาเริ่มต้นวาดรูปอย่างจริงจังจากนั้นเป็นต้นมา เมื่ออายุได้ 12 ปี ก็เริ่มหาเงินเลี้ยงตัวเองได้จากการใช้
ถือว่าเป็นครั้งแรกและที่แรกในโลกเลยทีเดียว สำหรับอีเว้นท์เปิดตัวสุดยิ่งใหญ่ ต้อนรับการกลับมาอีกครั้งของ ‘MSX’ มินิไบค์แนว Sport ที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 ตลอดกาลจากฮอนด้า โดยในคราวนี้ได้ฤกษ์เปิดตัว Generation ใหม่ล่าสุดของเจ้า ‘MSX’ นั่นก็คือ ‘New Honda GROM’ จัดขึ้นที่ Centerpoint Studio Thailand เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา วันนี้จึงพลาดไม่ได้ที่ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปดูกันว่า ภายในงานเปิดตัว ‘New Honda GROM’ ที่ผ่านมานี้มีสิ่งน่าสนใจอันแน่นมากแค่ไหน เริ่มกันที่ผู้บริหารของทางบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เล่าถึงคอนเซ็ปต์ของ ‘New Honda GROM’ ที่ให้คำนิยามว่า ‘Mod It Yourslef’ แต่งใหญ่…ใส่ให้สุด หรือเรียกสั้นๆ ว่า M.I.Y. โดยที่มาที่ไปของคอนเซ็ปต์นี้ ต้องการจะสื่อความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำว่า ‘GROM’ ซึ่งหมายถึง ‘จิ๋วแต่แจ๋ว’ หรือที่บ้านๆ อาจจะใช้คำว่า ‘เล็กพริกขี้หนู’ นั่นเอง
หลังจากที่เราเคยได้นำเสนอ Culture สุดแสบของแว๊นชาวยุ่น หรือ Bozosoku ที่หลายคนให้ความสนใจไปแล้ว แม้มันจะเป็นสังคมที่แปลกประหลาดในสายตาคนส่วนใหญ่ แต่วัฒนธรรมที่ดูรุนแรงขัดต่อกฎหมายเหล่านั้น ยังมีผู้หญิงที่คลั่งไคล้จนกลายเป็น Culture คล้าย ๆ กันที่เรียกว่า “Sukeban” (スケバン) อยู่ด้วย เช่นเดียวกับ Bozosoku ถ้าหากใครอ่านหนังสือการ์ตูนหรือดูซีรีส์ญี่ปุ่น ก็คงจะเคยเห็นนักเรียนญี่ปุ่นสาวแสบซ่าบ้าบิ่นไม่แพ้ผู้ชาย ซึ่งอยู่ในลุคตรงข้ามกับสาวนักเรียนญี่ปุ่นที่ใส่กระโปรงสั้น ถุงเท้ายาวตึง หน้าตาใส ๆ อย่างสิ้นเชิงกันมาบ้างอย่างแน่นอน ความดิบเถื่อนจะว่าไปมันก็อาจจะเป็นแฟชั่นของวัยรุ่นสาวชาวญี่ปุ่นในยุคหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่ทว่ามันถูกถ่ายทอดกันมาอย่างจริงจังจนกลายเป็น Culture ที่อยู่คู่กับวัยรุ่นสาวที่มีความซ่า และกล้าที่จะทำอะไรบ้า ๆ เหมือนผู้ชายทำ จนขนาดว่า “Sukeban” ตัวเจ๊ ๆ บางคน แสบถึงขึ้นผู้ชายยังกลัวจนหัวหดกันเลยทีเดียว “What is Sukeban” Sukeban ถูกใช้เป็นคำจำกัดความของกลุ่มวัยรุ่นหญิงล้วนที่ก๋ากั่น พฤิตกรรมขัดกับศีลธรรม หรืออาจจะเรียกว่าเป็น Bosozoku ในเวอร์ชัน Girl Gang ก็ได้ คำนี้เกิดขึ้นครั้งแรกช่วงปี 1960 โดยสาวเหล่านี้ จะเป็นสาวมัธยมที่ห้าว ก้าวร้าว
ในปัจจุบันนี้หน้ากากอาจกลายเป็นสิ่งที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อรวมไปถึงฝุ่น PM 2.5 ซึ่งใคร ๆ เขาก็ทำกัน แต่หากมองย้อนกลับไม่กี่ปีที่ผ่านมา การใส่หน้ากากคงไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไปที่ใคร ๆ ก็ใส่กัน โดยเฉพาะในกลุ่มนักดนตรีระดับโลกทั้งหลาย ที่ส่วนใหญ่จะมาถึงจุดที่เรียกว่าโด่งดังได้นั้น อาจจะต้องใช้ใบหน้าอันหล่อเหลาเข้าช่วยบวกกับความต้องการให้คนทั่วไปจดจำใบหน้าของตัวเองได้ซึ่งก็ไม่ได้ผิดแปลกอะไร เพียงแต่มันอาจใช้ไม่ได้กับวงดนตรีทั้ง 8 วงนี้ เพราะนอกจากพวกเขาเลือกจะใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองแล้ว การปกปิดตัวตนและใบหน้าให้ลึกลับกลับช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จ และเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้นอีก วันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่าพวกเขาเหล่านี้ว่าจะเป็นวงอะไรกันบ้าง ทำไมพวกเขาต้องใส่หน้ากากทุกครั้งที่ออกสู่สาธารณชน 1. The Residents 44 ปี มาแล้วสำหรับวงดนตรีที่ชื่อว่า The Residents กับการเก็บตัวตนสุดลึกลับของพวกเขาเอาไว้ภายใต้หน้ากาก The Residents ก่อตั้งขึ้นในโรงเรียนมัธยม Shreveport รัฐ Louisiana และขยับขยายย้ายถิ่นไปมีชื่อเสียงอยู่ที่ California อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงรักษาความลึกลับของหน้าตาที่แท้จริงเอาไว้ภายใต้หน้ากากรูปลูกตากับหมวกนักมายากลมาเสมอ เพราะเขาต้องการให้คนสนใจที่ผลงานเพลงมากกว่าที่จะมาสนใจที่ตัวพวกเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมา The Residents ปล่อยผลงานเพลงออกมาแบบบ้าพลังถึง 40 ชุด รวมไปถึง Multimedia Collection อีกมากมาย 2. Slipknot วง
การสื่อสารเป็นสิ่งที่คำคัญต่อการใช้ชีวิตในสังคม แต่อาจจะด้วยความทันสมัยของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารให้ง่ายขึ้น จากการสื่อสารในสมัยก่อนที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากันเท่านั้น กลายเป็นโทรศัพท์ที่ได้ยินแต่เสียง จนทุกวันนี้เราสื่อสารกันผ่านตัวอักษรเท่านั้น แม้จะบอกว่า เมื่อก่อนเราก็ใช้ตัวอักษรในการสื่อสารทางจดหมายเหมือนกัน แต่ความแตกต่างระหว่างลายมือ กับการพิมพ์นั้น มีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกันซ่อนอยู่ นั่นคืออารมณ์ของผู้เขียน เราอาจจะสังเกตลายมือของผู้เขียนได้ว่า เขารีบร้อน โกรธ หรือรู้สึกอะไรอยู่ได้ แต่การพิมพ์ข้อความผ่านโทรศัพท์อย่างปัจจุบันไม่สามารถจับต้องอะไรได้เลย ดังนั้น มันคงจะเป็นเรื่องยากถ้าหากเราจะรับรู้ถึงความรู้สึกใครสักคนอย่างแท้จริงผ่านการสื่อสารในสมัยนี้ นอกจากการเจอตัวเป็น ๆ ที่เราอาจจะพอเข้าใจถึงเบื้องลึกของบุคคลนั้น ๆ ได้ ด้วยวิธีการสังเกตภาษากาย วันนี้เราจึงจะมาแนะนำวิธีการอ่านภาษากายที่สามารถบอกคุณได้ว่า คนที่คุณกำลังสื่อสารด้วยกำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่มาให้ได้เรียนรู้กัน The Body Language ว่ากันว่าภาษากายมีความเฉพาะเจาะจงที่ชัดเจนต่อความรู้สึกของคนเรามากที่สุด ดังนั้น หากใครที่รับรู้การสื่อสารทางภาษากายได้ ก็เท่ากับว่าคุณสามารถอ่าน และรู้ถึงเบื้องลึกข้างในจิตใจคู่สนทนาได้ด้วย หากคุณรู้ภาษากายคุณจะได้ความจริงจากผู้ที่สื่อสารกับคุณอยู่เพิ่มมากขึ้น จากเดิมจะมีโอกาสเพียง 10% เท่านั้น ที่คุณจะสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างของคู่สนทนา เช่นอาจจะหลุดพูดออกมาเอง พูดแล้วฟังดูไม่น่าเป็นไปได้อย่างแน่นอน หรือ ที่เราเรียกว่าไม่เนียน ส่วนการสังเกตจากน้ำเสียง และความเร็วในการพูดนั้น สามารถจับพิรุธ และความรู้สึกจริง ๆ ได้ 40% ซึ่งก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นักจับโกหก หรือคนที่เรียนจิตวิทยามาใช้สังเกตความผิดปกติในบุคคลต้องสงสัย ส่วนสิ่งที่จะบอกความจริงที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้คู่สนทนาได้มากที่สุด ถึง 50%
หากใครที่เป็นนักขี่ก็คงจะรู้ดีว่า การเลือกรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจสักคันนั้น ไม่ใช่แค่การเลือกยานพาหนะที่พาเราจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ซึ่งถ้าหากจะพูดในแง่ของฟังก์ชั่นมันก็คงใช่ แต่ถ้าหากพูดถึงในแง่ของแพชชั่น ของความหลงใหลแล้วล่ะก็ คงต้องบอกว่า มันมีความละเอียดละออกว่านั้นเยอะ เพราะการเลือกรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจสักคัน มันต้องคำนึงถึงหลากเหตุหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน รูปแบบการใช้งาน เรื่องของดีไซน์ ซึ่งทุกอย่างล้วนมีความชอบแตกต่างกันไปในแต่ละคน ดังนั้น เมื่อเราเห็นรถจักรยานยนต์คันโปรดของใครสักคน เราก็คงจะพอเดาได้ทันทีว่าคนคนนั้นมีรสนิยมอย่างไร เช่นเดียวกับ คือ คุณสัน–สรวิศิษฎ์ บรรจงลักษมี สุภาพบุรุษที่ผู้ชายสาย Vintage ทั้งหลายรู้จักกันดี และการันตรีได้อย่างเต็มปากเลยว่า คนนี้เขา Vintage ตัวพ่อของจริง ที่ชื่นชอบ และเป็นเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ BMW สาย Vintage อยู่หลายคัน คุณสัน–สรวิศิษฎ์ บรรจงลักษมี หลายคนที่อยู่ในสาย Vintage คุ้นกับชื่อนี้เป็นอย่างดี เพราะจริง ๆ แล้ว เขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้ก่อตั้งร้าน Smiths Vintage Club ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่ของคนที่ชื่นชอบ และหลงใหลในรถมอเตอร์ไซค์สไตล์ Vintage ซึ่งก็แน่นอนว่า การที่คนเราจะทำอะไรเป็นอาชีพจนประสบความสำเร็จได้นั้น จุดสำคัญมันต้องเริ่มต้นจากตัวตนที่แท้จริงของเราก่อน และตัวตนที่แท้จริงของเราก็จะถูกถ่ายทอดออกมาเป็นไลฟ์สไตล์ เป็นความชอบให้คนภายนอกได้เห็น ซึ่งคุณสันเองก็ได้ใช้ความชอบ และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแบบของตัวเองนี่แหละ
หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์แผ่นดินไหว เราต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่รอด?
คนเราทุกคนมักจะรู้สึกว่า ความสุขของเรานั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสถานการณ์ภายนอก หรือเวลาที่เราได้อะไรบางอย่างตามความคาดหวัง แต่นั่นมันเป็นเหมือนการรอคอยให้ถูกหวย ซึ่งเราทำได้เพียงแค่ลุ้น และไม่สามารถควบคุมให้มันเกิดขึ้นด้วยตัวเองเอง มีหลายต่อหลายคนพูดเอาไว้ว่า ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะมัวแต่รอ ดังนั้น มันจะดีกว่าไหม? ถ้าเราจะเลิกรอให้ความสุขมันเดินเข้ามาหาโดยที่เราไม่รู้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่ และเปลี่ยนเป็นฝ่ายที่จะเดินเข้าหามันเองซะเลย How to Stay Happy No Matter What เราจะทำอย่างไรให้ความสุขมันคงอยู่กับเราไปตลอด? หลายคนคงเคยมีคำถามแบบนี้เกิดขึ้นมาในหัวกันแน่นอน แต่จะมีเพียงสักกี่คนกัน ที่ลงมือค้นหาคำตอบอย่างจริงจัง และได้คำตอบที่ถูกต้อง แต่วันนี้ชาว UNLOCKMEN ทุกคนจะไม่ต้องเสียเวลาไปลองผิดลองถูกค้นหาคำตอบที่ว่านั้นเอาเองกันให้ปวดกบาล เพราะเราได้นำเอา 6 วิธี ที่จะทำให้คุณกลายเป็นคนที่มีความสุขทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม มาฝากกับชาว UNLOCKMEN ทุกคนถึงที่ หากใครที่อยากรู้ว่า ทำอย่างไรชีวิตถึงจะมีความสุขความสุขตลอดเวลาล่ะก็ นี่คือคำตอบที่จะช่วยคุณได้อย่างแน่นอน Don’t look for happiness — Radiate it เรารู้ดีว่ามันคงเป็นเรื่องยาก ถ้าหากจะให้คนเราแสดงออกว่ามีความสุข ทั้ง ๆ ที่ชีวิตเต็มไปปัญหา และเราก็คงไม่กล้าพูดว่า ปัญหาของใครเล็กน้อย ปัญหาของใครใหญ่หลวงกว่ากันแน่ ๆ
ตั้งแต่ปี 1905 เป็นต้นมา บริษัท Rolex SA ก็ได้ผลิตนาฬิกาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และความหรูหราที่เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของโลกมาโดยตลอด แน่นอนว่า การที่คุณกดเข้ามาดูบทความที่เรากำลังเขียนอยู่นี้ คุณต้องรู้อยู่แล้วว่าเรากำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร ที่เราเขียนบทความนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า ก่อนที่คุณจะนำเงินจำนวนไม่น้อยไปให้กับคนแปลกหน้า เพื่อแลกกับนาฬิกาในฝันมาสักเรือนนั้น คุณจำเป็นต้องมีความชัวร์ และมั่นใจได้ว่า มันเป็นของแท้เท่านั้น เพราะการซื้อนาฬิกาอย่าง Rolex มันไม่ใช่เพียงแค่การซื้อเรือนเวลา แต่มันเป็นการลงทุนที่จะทำให้คุณมีผลกำไรต่อในอนาคต และยังเป็นทรัพย์สมบัติที่คุณสามารถส่งต่อไปให้กับลูกหลานของคุณได้อีกด้วย สรรพคุณของนาฬิกาอย่าง Rolex มีมากมายขนาดนี้ แน่นอนว่าใครก็ต้องอยากได้เป็นธรรมดา เพียงแต่ว่าจะมีสักกี่คนที่รู้ว่า Rolex ที่คุณกำลังจะซื้อนั้น เป็นของจริงแน่นอน ไม่ใช่ของปลอมจากเสิ่นเจิ้น ดังนั้นวันนี้ เราจึงนำเอาวิธีง่ายๆ ที่จะบอกได้ว่า Rolex ที่อยู่ตรงหน้าคุณนั้น มันเป็นของเก๊ หรือของจริง มาให้ได้ดูกัน The Weight การที่จะยอมให้ลูกค้าจ่ายเงินจำนวนมากได้นั้น ย่อมต้องแลกมาด้วยคุณภาพที่สมราคาด้วยเช่นกัน ดังนั้น นาฬิกาอย่าง Rolex จึงเลือกใช้แต่วัสดุที่มีคุณภาพ และดีที่สุดเท่านั้น ในการผลิตนาฬิกาของพวกเค้า ไม่ว่าจะเป็น อัญมณี, ทองคำ หรือ สแตนเลสสตีล 904L
ยอมรับมาเถอะว่าเราต้องเคยเห็นหนังผู้ใหญ่ผ่านตามาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งคงจะเคยเห็นฉากการใช้เชือกในการพันธนาการร่างกาย บางคนอาจจะดูแล้วไม่ได้คิดอะไร แต่เราว่าถ้ามองข้ามเรื่อง SEX ไป จะเกิดคำถามและสงสัยเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นและเหตุผลของมันกันอย่างแน่นอนว่า มันคืออะไร? ทำไมถึงต้องทำแบบนี้? ไอ้ความน่าสนใจ และน่าสงสัยที่ว่านี้ ก็คือการนำเชือกมามัดสานกันบนเรือนร่างของหญิงสาว ซึ่งมีชื่อเฉพาะของมันเรียกว่าว่า “Kinbaku (緊縛)” หรือ “Shibari (縛り)” หากใครสงสัย และอยากรู้เรื่องราวความ Erotic นี้แบบจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่แค่ดูผ่าน ๆ แล้วนั่งสาว ๆ ไปเรื่อยเปื่อย ขอบอกเลยว่า ห้ามพลาดบทความนี้ที่จะทำให้ทุกคนเข้าถึงการมัดสุดสยิวกันถึงต้นกำเนิดกันเลยทีเดียว The Origins of Kinbaku มาดูที่ต้นกำเนิดของ “Kinbaku (緊縛)” การมัดสุดสยิวนี้กันเลยดีกว่า คนทั่วไปต่างก็รู้ว่า เรื่องของงานฝีมือ และความคิดสร้างสรรค์นั้น ชาวแดนปลาดิบถือว่าขึ้นชื่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะงานประเภทการพับ การห่อ การผูก เรียกได้ว่า จะทำออกมายังไงก็ดู Art ไปซะหมด ลองดูการมัดข้าวกล่อง หรือของฝากต่าง ๆ น่าจะพอนึกภาพออก