กว่าศตวรรษที่มนุษย์โลกเริ่มมีความคิดเกี่ยวกับการหาแหล่งที่อยู่ใหม่เพื่อหลบหนีออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ที่ดูใกล้ล่มสลายลงไปทุกวัน สถานที่ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็หนีไม่พ้นดาวเคราะห์สีส้มบ้านใกล้เรือนเคียงของเราอย่าง ‘ดาวอังคาร’ หลังจากนั้นทุกฝ่ายต่างก็ทุ่มเทเต็มที่เพื่อให้ความฝันของมนุษยชาติเป็นจริงโดยเร็ว เมื่อเวลาเคลื่อนผ่านไป จากความฝันที่ไกลสุดเอื้อมก็เริ่มขยับเข้าใกล้ความจริงขึ้นทุกที จากคำถามว่าจะทำยังไงให้สามารถมีชีวิตรอดบนดาวอังคาร การถกเถียงต่าง ๆ ก็เริ่มเจาะประเด็นลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ จะเป็นยังไงถ้าเราเสพกัญชาบนดาวอังคาร? ฟังดูเป็นคำถามที่ไร้สาระ ถึงแม้การสร้างอาณานิคมบนดาวอังคารดูจะมีความเป็นไปได้กว่าเมื่อก่อนมาก แต่มันก็ยังห่างไกลความเป็นจริง ยากที่จะเกิดขึ้นในช่วงอายุเรา อย่างไรก็ตาม Elon Musk ผู้ก่อตั้ง SpaceX ดูจะชื่นชอบคำถามนี้ เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าเขาคือสายเขียวตัวยง Shelhamer อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์เพื่อการวิจัยของมนุษย์ที่ศูนย์อวกาศจอห์นสันในเมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัส กล่าวว่า “การสร้างอาณานิคมเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และสำคัญ ผมไม่เห็นประโยชน์ของการทำให้ร่างกายตอบสนองผิดเพี้ยน ซึ่งอาจส่งผลเสียมหาศาลในสถานการณ์ฉุกเฉิน” Neil deGrasse นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชื่อดังก็คิดเห็นไปในทางเดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องเข้าท่าเลยที่จะสูบกัญชาบนดาวอังคาร ถึงแม้ในมุมของนักวิชาการจะมองว่ามีข้อเสียมากกว่าข้อดี แต่ในมุมของผู้ที่ตั้งใจจะตั้งถิ่นฐานจริง ๆ พวกเขาอาจผลักดันให้มีการขนส่งกัญชาไปยังดาวอังคารเพื่อประโยชน์ในแง่การสันทนาการหรืออาจมีการแอบลักลอบนำเมล็ดไปปลูก Karin Kloosterman ผู้ก่อตั้ง Mars Farm Odyssey อธิบายว่าการปลูกกัญชาบนดาวอังคารนั้นง่ายกว่าการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก ดังนั้นกัญชาจึงอาจจำเป็นต่อการสันทนาการผู้ตั้งถิ่นฐานในช่วงแรก เราสามารถปลูกกัญชาบนดาวอังคารได้หรือไม่? เมื่อคุณตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคารแล้ว ตัดเรื่องการขนส่งสินค้าจากโลกไปได้เลย เพราะราคาค่าขนส่งคงแพงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ดังนั้นถ้าต้องการอะไรคุณต้องสร้างมันขึ้นมาเอง แม้กระทั่งกัญชา แต่ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์หรือสารคดีมาบ้างคงทราบดีว่าสภาพภูมิศาสตร์บนดาวอังคารนั้นเป็นอุปสรรคต่อการทำเกษตรกรรมทุกรูปแบบ ดังนั้นถ้าจะเพาะปลูกกัญชาที่นี่ จำเป็นที่ต้องทำในเรือนกระจกแบบปิดที่สร้างบรรยากาศเลียนแบบโลก นอกจากนั้นต้องมีระบบรีไซเคิลน้ำและดินที่สมบูรณ์ เนื่องจากในตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าทรัพยากรเหล่านี้บนดาวอังคารปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์หรือไม่ อย่างไรก็ตามแม้จะมีเรือนกระจกที่จำลองบรรยากาศบนโลกได้อย่างสมบูรณ์ แต่เรื่องแรงโน้มถ่วงจำลองเป็นสิ่งที่เรายังสร้างไม่ได้
บทความนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริง มีการเติมแต่งเรื่องราวเพื่อเพิ่มสุนทรียภาพ บ่ายวันหนึ่งที่อากาศร้อนระอุ ร้อนเสียยิ่งกว่าวันไหน ๆ ในรอบเดือนที่ผ่านมา เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคิมหันต์ฤดูมาเยือนอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ภายใต้แสงแดดแรงกล้า หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งกลับเดินฝ่าอุณหภูมิเกือบ 40 องศาอย่างไม่ยี่หระ สะพายกระเป๋าใบเล็ก ก่อนจะหลบหายเข้าไปในโรงแรมเก่า ๆ แห่งหนึ่ง ถ้าจะอธิบายถึงรูปลักษณ์ภายนอกของหญิงสาวคนนี้ เธอดูจะต่างไปจากสุภาพสตรีในอุดมคติตามจารีตไทยไปไกลพอสมควร ด้วยลุคที่ดูเปรี้ยวซ่า มาพร้อมผมสั้นสีบลอนด์เข้มเลยติ่งหูตามสมัยนิยม นัยน์ตาโฉบเฉี่ยวทำให้เธอยิ่งดูดุขึ้นไปอีก ถ้าไม่รู้จักกันคงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าไปทักทายเธอ ถึงแม้บรรยากาศภายนอกจะสว่างจ้าด้วยแสงแดด แต่ภายในอาคารกลับตรงกันข้าม เธอเดินฝ่าความสลัวอันอบอ้าวขึ้นไปบนชั้น 2 ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าห้อง 213 เมื่อเปิดประตูเข้าไป พบว่าภายในดูดีกว่าที่คิด สภาพห้องไม่ได้ใหม่แต่ก็ไม่ได้โทรม มีเตียงขนาดคิงไซซ์ตั้งอยู่กลางห้อง แสงแดดลอดผ่านมาทางหน้าต่างที่ไม่ได้ปิดไว้ ช่วยให้บรรยากาศไม่หดหู่จนเกินไป หลังจากจัดแจงวางกระเป๋าเรียบร้อย เธอทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง เหม่อลอยครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่ความสุขความเศร้าผสมกันได้อย่างลงตัว ทุกอย่างเงียบสงบ มีเพียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ยังส่งเสียงครางอย่างไม่ขาดช่วง เวลาผ่านไปชั่วครู่ เมื่อเข็มวินาทีเดินทางครบ 10 รอบ เธอจึงลุกขึ้นเดินจากห้อง ถึงจะเป็นโรงแรมเก่า ๆ แต่สระว่ายน้ำของที่นี่กลับโดดเด่นต่างจากบรรยากาศรอบข้าง เป็นความคอนทราสต์ที่มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด นี่คือสิ่งที่เธอหลงรักที่สุดในโรงแรมแห่งนี้ ‘ความทรงจำครั้งก่อน’ นี่คือเหตุผลที่ตอบได้ทุกคำถามของเหตุการณ์ประหลาดนี้ อากาศร้อนอบอ้าว โรงแรมเก่า ๆ และการปรากฏตัวของหญิงสาวปริศนา
หายใจไม่ทั่วท้อง ตื่นเต้นกระวนกระวาย ส่องกระจกซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อพูดถึงอาการเหล่านี้หนุ่ม ๆ คงเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะเชื่อว่าทุกคนต้องเคยเป็นก่อนออกเดต โดยเฉพาะเดตกับสาวคนที่เราหลงใหลเธอเป็นพิเศษที่ห้ามมีอะไรผิดพลาดเด็ดขาด ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบและต้องพกความมั่นใจใส่กระเป๋าไปเต็มที่ แต่เดตไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าเราจะเตรียมตัวไปดีแค่ไหนก็มักจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ โดยเฉพาะการออกเดตในหน้าร้อนที่ทุกอย่างยิ่งยากกว่าเดิม เพราะนอกจากความผิดพลาดที่อาจเกิดจากตัวเราเองแล้ว ยังมีความร้อนที่เปรียบเหมือน ‘ปีศาจสีแดง’ สุดอันตรายคอยมาคอยขัดขวางอีกทาง ปีศาจสีแดงไม่ได้แค่มาพร้อมอุณหภูมิเดือด ๆ เท่านั้น แต่ปีศาจสีแดงยังกวนใจเราในรูปแบบหยดเหงื่อท่วมกาย เรือนร่างเหนียวเหนอะหนะ กลิ่นอับไม่พึงประสงค์ และความไม่สบายตัวจนหัวร้อนตามปีศาจสีแดงได้ง่าย ๆ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มองข้ามไปได้เพราะมันคือตัวทำลายความมั่นใจและบุคลิกภาพที่ดีของผู้ชายอย่างเรา แต่ไม่ต้องห่วงไป วันนี้ UNLOCKMEN มีคัมภีร์ออกเดตในหน้าร้อนมาแนะนำ แม้การออกเดตในช่วงฤดูร้อนจะไม่ง่าย แต่ก็ทำได้ด้วย 5 วิธีต่อไปนี้ รับรองว่าเดตหน้าร้อนหรือปีศาจสีแดงแห่งความร้อนระอุตัวไหนก็ทำอะไรคุณไม่ได้แน่นอน! สุนทรียะมาพร้อมความเย็น ในช่วงอากาศดี เราอาจชวนสาว ๆ ไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง รับแดดอ่อน ๆ แต่เมื่อฤดูร้อนมาถึงและปีศาจสีแดงแห่งความระอุมากวนใจจนเหงื่อไหลท่วม การทำกิจกรรมกลางแจ้งคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่สาว ๆ จะประทับใจ แต่ก็ใช่ว่าเราจะต้องปิดประตูการออกไปเดตข้างนอกแล้วชวนเธอจมปลักอยู่ในบ้านเพียงอย่างเดียว ลองหากิจกรรมใหม่ ๆ ที่จะทั้งสร้างความตื่นตาตื่นใจและเย็นกายไปด้วยพร้อม ๆ
บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง Before Sunrise, Before Sunset, และ Before Midnight Jesse: “Oh, wow! Notre Dame…man, check that out!” Celine: Oh, wow! ข่าวเพลิงไหม้ของมหาวิหาร Notre Dame ในกรุงปารีส ทำให้เราหวนนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Before Sunset ที่เกือบจะหลงลืมไปแล้ว เราไม่มีความผูกพันกับมหาวิหารแห่งนี้เลย ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และประสบการณ์ ภาพยนตร์เรื่องจึงเปรียบเสมือนความเกี่ยวดองเดียวที่เรามีต่อ Notre Dame Cathedral ข่าวนี้ทำให้เราระลึกขึ้นได้ว่าเราเคยชอบภาพยนตร์เรื่องนี้มาก และไม่ใช่แค่ Before Sunset เท่านั้น เราหลงรักทุกเรื่องใน Before Trilogy ( Before Sunrise Before Sunset และ Before Midnight) ภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องนี้มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เราเป็นเราเช่นในปัจจุบัน ทั้งในแง่ความคิด มุมมอง และทัศนคติต่าง ๆ ภาพยนตร์ 3 เรื่องที่ใช้เวลาเพาะบ่มนานกว่า 18 ปี ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวที่
คุณรู้จักคำว่า K-POP ครั้งแรกเมื่อไหร่? สำหรับเรามันค่อนข้างเป็นความทรงจำเลือนราง เนื่องจากเวลาที่ผ่านมายาวนาน แต่ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นตอนที่เราได้ยินเพลง Begin ของ TVXQ หรือ ดงบังชินกิ ที่ทุกคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดีจากทางวิทยุ เหตุการณ์นั้นเป็นเหมือนการเปิดประตูโลกดนตรีและวัฒนธรรมอีกบานให้เรา หากนับตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้ เวลาก็ล่วงเลยมาเกินทศวรรษ แต่วงการ K-POP ก็ยังไม่หยุดนิ่งหรือหายไปไหน มีการผลัดเปลี่ยนจากรุ่นสู่รุ่น หลังจาก TVXQ ก็มีชื่อของศิลปินอีกมากมายที่แวะเวียนมาเขย่าวงการ ไม่ว่าจะเป็น BIGBANG, Wonder Girls, Girls’ Generation, Super Junior, SHINee และอีกมากมาย K-POP ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และช่วงนี้มันก็กระโดดขึ้นไปอีกขั้น จากการที่ BLACKPINK ได้ขึ้นแสดงในเทศกาลดนตรี Coachella (สามารถอ่านเรื่องราวความเป็นมาของเทศกาลดนตรีนี้ได้ ที่นี่), BTS ได้ขึ้นปกนิตยสาร Time นอกจากนั้นยังทำสถิติเป็นวงที่ขายตั๋วคอนเสิร์ตหมดเร็วที่สุดและยอดวิวใน YouTube พุ่งสูงที่สุดใน 24 ชั่วโมง สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่ในเกาหลีหรือเอเชีย อีกต่อไป แต่วัฒนธรรม K-POP ได้กระจายไปทั่วโลกแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ แต่ถ้าจะพูดถึงจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่นี้ เราอาจจะต้องย้อนกลับไปไกลสักหน่อย ในช่วงเวลาที่โลกยังไม่รู้จักกับ TVXQ ด้วยซ้ำ Seo Taiji and
บทความนี้ไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์ Delhi Crime ในยุคที่หันไปทางไหนก็เจอแต่ Game of Thrones เราที่ไม่ได้โปรดปรานซีรีส์แนวแฟนตาซีอีพิค หักเหลี่ยมชิงบัลลังก์เลยกลายเป็นชนกลุ่มน้อยไปโดยปริยาย คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง จึงจำเป็นต้องถอยออกมา เดินตามเส้นทางของตัวเองต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่งก็บังเอิญเจอซีรีส์เรื่อง Delhi Crime หลบมุมเงียบ ๆ อยู่ใน Netflix สร้างจากเหตุการณ์จริง! นี่คือคำโปรยของซีรีส์เรื่องนี้ เมื่ออ่านเรื่องย่อเพิ่มเติมเราก็จำได้ทันทีว่ามันสร้างมาจากเหตุการณ์รุมโทรมผู้หญิงบนรถบัส เป็นคดีสะเทือนขวัญในช่วงปี 2012 ที่ทั้งโลกให้ความสนใจ เพราะพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุมันล้ำเส้นความเป็นมนุษย์ไปมาก เราจึงไม่รอช้า กดปุ่มเพลย์ทันที รู้ตัวอีกทีทั้ง 7 EP ก็จบลงอย่างรวดเร็ว เราเป็นคนที่มีมาตรฐานในการดูซีรีส์ค่อนข้างสูง ถึงแม้จะดูมาเกิน 100 เรื่อง (นับเฉพาะแค่ใน Netflix) แต่ก็มีแค่ไม่กี่เรื่องที่เรากล้าพูดได้เต็มปากว่าชอบและ Delhi Crime คือหนึ่งในนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงประเด็นต่าง ๆ ในเรื่อง และอธิบายว่าทำไมทุกคนจึงไม่ควรพลาดซีรีส์เรื่องนี้ สร้างจากเหตุการณ์จริง อย่างที่คำโปรยของซีรีส์เรื่องนี้บอกไว้ ถึงแม้ นิวเดลี เมืองหลวงของประเทศ อินเดีย จะเป็นเมืองใหญ่ มีประชากรมากกว่า 20 ล้านคน แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับแทบไม่เคยได้รับความสนใจจากโลกภายนอกเลย ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเกิดคดีอะไรก็ไม่มีสื่อจากประเทศโลกที่ 1
ย้อนไปสมัยยังเด็ก ร่างกายพลุ่งพล่านด้วยฮอร์โมนและพละกำลัง การ ‘วิดพื้น’ หรือ ‘ดันพื้น’ คือของกล้วย ๆ สามารถทำเกิน 10 ครั้งได้แบบสบาย ๆ แต่ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับแรงกายที่ลดลง เมื่อหลักไมล์ย่างเข้าสู่ช่วงวัยกลางคน ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร สิ่งที่เคยง่ายก็ไม่ง่ายอีกต่อไป ครั้งล่าสุดคุณวิดพื้นได้กี่ครั้ง? เราทำได้ 23 ครั้ง ไม่ดีไม่แย่ แต่ก็ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ เพราะเกณฑ์อันตรายที่ทางงานวิจัยของ Havard ระบุไว้คือ ผู้ชายวัยกลางคนที่ไม่สามารถวิดพื้นได้ถึง 10 ครั้งมีโอกาสเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดหัวใจสูงกว่าคนทั่วไป ในทางตรงกันข้ามถ้าสามารถวิดพื้นได้เกินกว่า 40 ครั้ง โอกาสที่คน ๆ นั้นจะป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจในอีก 10 ปีข้างน่าจะลดลงถึง 97% เลยทีเดียว ส่วนมนุษย์แข็งแรงระดับกลางอย่างเราที่วิดพื้นอยู่ในเกณฑ์ 21-30 ครั้ง ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะผลวิจัยของ Havard บอกว่าคนที่อยู่ในระดับนี้จะมีความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคหัวใจในอัตรา 1/4 ของคนที่ไม่สามารถวิดพื้นได้ถึง 10 ครั้ง สาเหตุหลักที่การวิดพื้นได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพในอนาคต เนื่องจากการออกกำลังกายในรูปแบบนี้สามารถใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการทำนายปัจจัยด้านสุขภาพได้เป็นอย่างดี แม่นยำยิ่งกว่าการออกกำลังในรูปแบบอื่น ๆ เนื่องจากการวิดพื้นนั้นใช้กำลังจากกล้ามเนื้อแทบทุกส่วนของร่างกาย “การค้นพบของเรามีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการวิดพื้นเป็นแนวทางใหม่ที่ใช้ในการประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหัวใจได้อย่างแม่นยำและไม่มีค่าใช้จ่าย”
ถึงจะเป็นแนวดนตรีที่เข้าถึงไม่ง่ายนัก แต่จากความโด่งดังของ Lorde, Dua Lipa, Lana Del Rey, หรือแม้กระทั่ง Cigarettes After Sex ที่มาเปิดคอนเสิร์ตในบ้านเราหลายต่อหลายครั้ง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความนิยมของ Dream Pop ได้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในแนวดนตรีกระแสหลักไปแล้ว อย่างไรก็ตาม Dream Pop ไม่ใช่ของใหม่แกะกล่อง ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ประวัติศาสตร์ของมันยาวนานมาตั้งแต่ช่วงยุค 80 วันนี้ UNLOCKMEN เลือกพูดถึง 10 อัลบั้ม Dream Pop ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจบุัน อ้างอิงจากการจัดอันดับของ Pitchfork Floating Into the Night (1989) Artist: Julee Cruise ย้อนไป ณ ยุคบุกเบิกของ Dream Pop อัลบั้ม Floating Into the Night ของศิลปินสาวจาก ไอโอวา สหรัฐอเมริกา Julee Cruise คือหนึ่งในอัลบั้มที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด เมื่อ Falling หนึ่งในเพลงจากอัลบั้มนี้ได้รับเลือกจาก David Lynch ให้เป็นเพลงเปิดของ Twin Peaks ซีรีส์แนวลึกลับสืบสวนที่ดังที่สุดในยุคนั้น
‘ศิลปะ’ คือหนึ่งในคำที่มีความหมายกว้างที่สุดในโลก ไม่มีคำนิยามตายตัว มีมากมายหลายแขนง บ้างก็มีไว้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ บ้างก็มีไว้เพื่อสื่อความหมายอะไรบางอย่าง บ้างก็มีไว้เพื่อตีความ แต่ศิลปะแขนงที่เราจะพูดถึงวันนี้ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น เพียงแต่ต้องใช้ความสามารถขั้นสูงของศิลปินผู้สร้างสรรค์ ‘Hyper Realistic’ คือศิลปะที่มุ่งเน้นความสมจริง เน้นรายละเอียดทุกรูขุมขน จนยากที่จะแยกออกว่ามันคือภาพวาดหรือภาพถ่าย ศิลปะแขนงนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากยุค 70 ในประเทศสหรัฐอเมริกาและภาคพื้นยุโรปโดยศิลปินผู้บุกเบิกคือ Carole Feuerman, Duane Hanson, และ John De Andrea บนหลักการแห่งสุนทรียศาสตร์ของแสงเสมือนจริงเพื่อแสดงออกถึงความเคลื่อนไหวของศิลปินหัวขบถสมัยใหม่ วันนี้ UNLOCKMEN มีภาพตัวอย่างบางส่วนมาให้ดู รับรองว่าเห็นแล้วตกตะลึงแน่นอน Pencil Drawings by Diego Fazio Acrylic Paintings by Jason de Graaf Oil Paintings by Pedro Campos Oil Paintings by Robin Eley Sculptures by Ron Mueck Oil Paintings by
ณ ที่แห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา UNLOCKMEN มีสนทนากับ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ศิลปินมาดเท่จากค่าย ME Records ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ในขณะที่คุณฮิวโก้กำลังเดินเลียบเจ้าพระยาพร้อมกีตาร์คู่ใจ ขณะที่กำลังยืนมองเขาจากด้านหลังความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัวเรา ทางเดินเลียบเจ้าพระยาที่ร้อนระอุด้วยแสงแดด แออัดด้วยผู้คน ก็เปรียบเหมือนเส้นทางบนถนนสายดนตรีที่ยาวนานของเขา และแน่นอนว่ามันไม่ได้มีแค่ความราบรื่น หลังจากถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่เราจะได้นั่งละเลียดสนทนากับเขา เดินทางบนถนนสายดนตรีมากี่ปีแล้วครับ? “ถ้าเป็นทางการก็น่าจะประมาณ 19 ปีครับ” แล้วจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ดนตรีของคุณฮิวโก้มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาไปอย่างไรบ้าง? “มันน่าจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัยมากกว่า เพราะว่าสิ่งที่เราต้องการหรือสิ่งที่เราชอบมันเปลี่ยนไปตามอายุ ความก้าวร้าวของวัย 20 กับ 30 ปลาย ๆ มันไม่เท่ากัน การเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราสนใจ ก็ต่างกัน เสียงที่เราได้ยินก็เปลี่ยนไป แต่มันก็มีแกนบางอย่างที่ไม่เปลี่ยน เป็นธรรมดาของพัฒนาการมนุษย์ ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงแต่ก็ยังเหลือแก่นความเป็นตัวตนอยู่” 19 ปีถือว่านานมาก อะไรที่ทำให้คุณฮิวโก้ยังยืนหยัดอยู่ตรงนี้ได้? “อธิบายยาก มันเป็นความรู้สึกตอนที่เราฟัง ความรู้สึกตอนที่เราร้อง หรือตอนที่เราแสดงกับวง มันเป็นอะไรที่ผมยังหาสิ่งอื่นมาแทนไม่ได้ในความสะใจ ความสบายใจนี้ ความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีต่อหน้าคนดู มันไม่มีอะไรจริงกว่านี้แล้ว โอกาสที่จะพลาด แรงกดดัน ความคาดหวังของคนดู ตัวเราเอง และเพื่อน ๆ