Treat Pain And Reduce Stress With Music เราพอทราบกันมาสักพักแล้วว่า Music therapy มันช่วยบำบัดอาการตกหลุมอากาศของชีวิตได้แบบยอดเยี่ยม เพราะดนตรีมันส่งผลกับอารมณ์และความคิดของเราผ่านตัวโน้ตแต่ละตัวได้อย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะเป็นความถี่ จังหวะ ประเภทของดนตรี ช่วยเยียวยาร่างกายของเราได้จริง ๆ Daniel J. Levitin, PhD เขาบอกมา ซึ่งคุณหมอเนี่ยศึกษาเกี่ยวกับ Music Therapy โดยเฉพาะจาก McGill University ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ของดนตรีที่ส่งผลต่อสุขภาพของเราทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ตัวอย่างเช่น การศึกษาของ Mona Lisa Chanda, PhD พบว่าดนตรีช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และลดความเครียดของเราได้ แถมยังพบอีกว่าการฟังเพลงช่วยคลายความกังวลก่อนผ่าตัดได้ดีกว่าการใช้ยา ทั้งการฟังและเล่นดนตรี ช่วยเพิ่มการสร้าง Antibody Immunoglobulin A ของร่างกาย ซึ่งมันจะช่วยโจมตีไวรัสแปลกปลอม และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันอย่างที่บอกไป แค่นั้นยังไม่พอ ยังช่วยลดระดับฮอร์โมน Cortisol ในตอนที่เรามีความเครียดได้ด้วย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมดนตรีถึงเกี่ยวข้องกับการผ่อนคลาย (Trends in Cognitive Sciences, April, 2013)
กระแส Cyberpunk ที่กลับมาแรงแซงโค้งในวงการหนังอีกครั้งช่วงนี้ ชัดเจนสุด ๆ ก็ต้อง Blade Runner 2049 ที่แฟน ๆ แนว Sci-FI ต่างประทับใจและยกให้เป็นหนังขึ้นหิ้งในดวงใจกันเป็นแถบ (แม้หนังจะไม่ทำเงินก็ตาม) ทำให้เราได้กลับมาเห็นความ Sci-Fi ในแวดวงบันเทิงอีกครั้ง เมือง Dystopia ยานพาหนะหน้าตาสุดล้ำ โฮโลแกรม และไฟนีออนสีสันแสบตา จะกลับมาเล่าเรื่องราวสุดล้ำเกินจินตนาการ ให้หนุ่ม ๆ อย่างเราได้เติมเต็มความบันเทิงแบบอิงวิทยาศาสตร์กันอีกครั้ง UNLOCKMEN ชวนมาดูซีรีส์ Sci-Fi 5 เรื่องล้ำ ๆ ดูกันเพลิน ๆ สำหรับคนเวลาน้อยที่อยากจะเก็บสักวันละตอนสองตอน แต่อย่าเพลินจนลืมเวลานอนละหนุ่ม ๆ Altered Carbon พระเอกสุดเท่ของเรา เป็นยอดนักฆ่ามือฉกาจ ที่ถูกเศรษฐีปลุกขึ้นมาเพื่อให้สืบคดีฆาตกรรมคดีหนึ่ง ซึ่งก็คือของเขาเอง Action-Thriller ดูเพลิน ๆ มันส์ ๆ กับพล็อตเรื่องสุดล้ำ เรื่องราวของโลกอีกหลายร้อยปีข้างหน้า ที่เราจะเก็บความทรงจำ ความคิด Consciousness ของเรา เอาไว้ใน Platform แบบดิจิทัล
ใช้ชีวิตตอนกลางวันมันก็ไม่เป็นอะไร ยังรู้สึกใช้ชีวิตได้แบบปกติ แต่พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเมื่อไหร่ อาการแพ้กลางคืนคืบคลานเข้ามาหาทุกที ในคืนที่เหงา ๆ หันไปไม่เจอใครแบบนี้ อะไรจะดีไปกว่ามีเพลงที่เข้ากับบรรยากาศมาอยู่เป็นเพื่อน UNLOCKMEN ชวนมาฟัง 20 เพลงในคืนเหงาที่จะไม่ปล่อยให้เราเหงาเพียงคนเดียวอีกต่อไป แม้จะเหงามากเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบไขว่คว้าใคร เอาไว้เราพร้อมที่จะมีใครสักคนจริง ๆ จะดีกว่าเลือกใครเข้ามาในชีวิตเพื่อคลายเหงา ให้เพลงอยู่เป็นเพื่อนเราดีกว่า เพราะอีกไม่นานก็จะเช้าแล้ว idealism – Wanna know มาเริ่มต้นกันด้วย Lo-Fi ลอย ๆ ที่ชวนให้เรารู้สึก Relax ไปกับเพลงนี้ ที่มีเนื้อเพลงมาจาก Do I Wanna Know – Arctic Monkeys ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง ซึ่งความพิเศษของเพลงนี้คือ Ambient เสียงจากธรรมชาติ ที่ยิ่งทำให้เพลงนี้ชวนให้ Relax เข้าไปใหญ่ Bon Iver – Watch อีกผลงานดี ๆ จาก Bon Iver ที่จะอัลบั้มไหน ๆ ก็ยังแฝงความเหงาเอาไว้ในน้ำเสียงแทบทุกเพลง โดยเฉพาะเพลงนี้ที่ยิ่งทวีความเหงาให้เราได้ด้วย
เจอหน้าที่ไรก็ไม่อยากจะมอง เบื่อหน้าจนไม่รู้จะหันหนีไปทางไหนดี มีคนเกลียดขี้หน้าอยู่ใกล้ตัวแบบนี้ มีแต่ชวนให้อารมณ์ขึ้นทุกคร้ังที่นึกถึง หงุดหงิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา UNLOCKMEN ขอแนะนำทางออกดี ๆ เอาไว้ดีลกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้า ทางออกแบบ Positive ไม่ชวนให้เสียอารมณ์ ไม่บั่นทอนสุขภาพจิต อย่าปล่อยให้ความเกลียดชังบั่นทอนคุณมากเกินไป เพราะมันอาจะเป็น Mind Game จากอีกฝั่งก็ได้ ที่ปั่นหัวให้คุณโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มาลอยตัวอยู่เหนือปัญหาไปด้วยกันดีกว่า ฝึกการควบคุมความเกรี้ยวกราด ใครมันกระตุ้นต่อมเกรี้ยวกราดของเราได้ดีเท่าคนที่เราเกลียดขี้หน้าล่ะ นั่นหมายความว่า เรารู้ลิมิตความเกรี้ยวกราดของตัวเองได้จากศัตรูเนี่ยแหละ ว่าถ้าตัวเราเองเปิดโหมดฉุนเฉียวเมื่อไหร่ เราจะกลายร่างเป็นปีศาจร้ายได้ถึงเลเวลไหน หรืออาจจะเป็นแค่ความฉุนเฉียวเพียงเล็กน้อยก็ได้ มันขึ้นอยู่กับเรานี่แหละที่จะควบคุมมันได้มากแค่ไหน พอมันเป็นอย่างงั้นแล้ว ตรงนี้มันก็กลายเป็นจุดอ่อนของเราอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าศัตรูรู้ว่าทำให้เราเดือดได้ อาจจะยิ่งสุมไฟให้เราเป็นบ้า เพื่อให้เราเสียศูนย์ในการคุมอารมณ์ไปเลย ลองเปลี่ยนจากความฉุนเฉียวเมื่อเจอหน้า ให้เป็นบททดสอบการควบคุมอารมณ์ของเรา ยังไม่ได้ต้องลดลงปุบปับก็ได้ แค่ให้เราไม่บ้าจี้ไปตามเกมที่ฝั่งนู้นปั่นหัวเราก็พอ กระตุ้นให้เราอยากก้าวผ่านคำดูถูก คนเกลียดขี้หน้ากัน คงไม่ได้มีคำชมออกจากปากถึงกันอยู่บ่อย ๆ หรอก การได้ยิน Hate Speech จากคนที่ไม่ถูกกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แม้จะชวนหงุดหงิดไปบ้าง ก็อย่าเก็บเอามาคิดในแง่ลบให้มันบั่นทอนตัวเอง ลองเปลี่ยนเป็นพลังเอาไว้ลบคำสบประมาทดูสิ หากเราโดนสบประสาทเรื่องความสามารถ หรือปมด้อยใด ๆ เป็นโอกาสดีด้วยซ้ำที่เราจะได้เห็นจุดบอดของตัวเอง แล้วเอามันมาพัฒนาตัวเองเพื่อเป็นการตอกกลับฝ่ายนั้นว่าเราเปลี่ยนได้ ง่าย
ผู้ชายแมน ๆ อย่างเราที่ไม่เคยกลัวอะไรในชีวิตจริง อาจจะต้องมาหวั่นไหว ไม่กล้าปิดไฟนอน พ่ายแพ้ให้กับความสยองขวัญสั่นประสาท ของหนังหรือซีรี่ส์ก็ได้ อยากทดสอบตัวเองกันหน่อยมั้ย ? UNLOCKMEN ขอแนะนำ 5 ซีรี่ส์เขย่าขวัญสั่นประสาท ที่จะให้เรามาดูกันว่าผู้ชายอย่างเราจิตแข็งกันแค่ไหน ซึ่งมีทั้งความสยองแบบทางกายภาพ และทางจิตใจ หลากหลายแนวที่เราคัดมาให้ในลิสต์นี้ American Horror Story เนื้อเรื่องคือความสยองขวัญของอเมริกัน ที่ถ่ายทอดออกมาแบบอเมริกันจ๋ามาก แต่ละซีซั่นจะไม่เหมือนกัน คือแต่ละซีซั่นจะมีเนื้อเรื่องของมันเองไปเอง เหมือนไปเปิดจักรวาลใหม่ของตัวเอง โดยใช้นักแสดงชุดเดิม อาจมีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปบ้าง นั่นทำให้ใครที่ติดตามมาตั้งแต่ซีซั่นแรก ๆ จะรู้สึกผูกพันกับตัวละครและอินกับเนื้อเรื่องไปได้ง่าย ๆ ตอนนี้มีหลายซีซั่นจนตามไม่ทันแล้ว ขอเรียงลำดับคร่าว ๆ ให้ดูว่าแต่ละซีซั่นมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไรบ้างตามลำดับ House With A Murderous Past ครอบครัวที่ซื้อบ้านที่มีเรื่องลี้ลับแฝงมาเป็นของแถมด้วย และมันกำลังกลืนกินครอบครัวนี้ไปเรื่อย ๆ Insane Asylum นักข่าวสาวที่เข้าไปทำข่าวในโรงพยาบาลบ้าแห่งหนึ่ง แล้วความอยากรู้อยากเห็นของเธอดันทำให้เธอติดกับดักบางอย่าง จนไม่อาจจะถอนตัวได้แล้ว Coven Of Witches เรื่องไสยศาสตร์ แม่มด มนต์ดำ ที่เนื้อเรื่องจะค่อนข้างหนักไปทาง Culture
สกิลลื่นไหลตอนเจอปัญหาเฉพาะหน้า เป็นอะไรที่เฉพาะตัวอยู่เหมือนกัน เพราะแต่ละคนก็มีวิธีที่ต่างกันไป บางคนมุดซ้ายมุดขวา หลบปัญหาไปได้แบบดิจิทัล แต่บางคนก็ได้แต่ยืนขาแข็ง อุทานในใจซ้ำ ๆ หลายสิบรอบว่า “ซวยแล้วกู!” ไม่ว่าคุณจะเป็นแบบไหน UNLOCKMEN ชวนเพิ่มเติมสกิลลื่นไหล เมื่อเจอปัญหาตึงเครียด ไม่ว่าจะเป็นกับครอบครัว คนรัก หรือแม้แต่ในที่ทำงาน โชว์แมนแบบเหนือชั้น ด้วยการลอยตัวเหนือปัญหา ให้เห็นไปเลยว่าใครคุมเกมอยู่ คุมภาษากายให้ดี สเต็ปแรกของการเอาอีกฝ่ายให้อยู่หมัด แม้อีกฝ่ายกำลังเดือดเป็นภูเขาไฟพร้อมปะทุอยู่ตลอดเวลาก็ตาม นั่นคือ “อย่าแสดงท่าทีหยาบคาย” ซึ่งเป็นคนละอย่างกับการพูดจาหยาบคาย (ซึ่งก็ไม่ควรเช่นกัน) ในเวลาที่เรารู้สึกไม่พอใจ แม้จะไม่ได้แสดงออกเป็นคำพูดที่รุนแรง แต่มันอาจจะเผลอสื่อออกมาทางภาษากายโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ อย่างอาการเบสิก ๆ เช่น ตาขวาง เบะปาก มองบน กอดอก เชิดหน้า มันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าคุณกำลังแข็งกระด้างใส่เขา และกำลังเอาอีโก้ขึ้นมานำหน้า ซึ่งมันไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่นอน แม้ว่าอีกฝ่ายจะหัวเสียแค่ไหน หรือเขาจะแสดงออกแบบก้าวร้าวแค่ไหน เราไม่จำเป็นต้องไหลไปตามเขา เราต้องโชว์การคุมเกมด้วยการคุมตัวเองก่อน ทั้งแววตา และท่าทาง ต้องแสดงออกแบบเป็นมิตร ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเรากำลังเปิดรับความคิดเห็นของเขา หลีกเลี่ยงการแสดงออกที่แข็งกระด้าง แสดงออกว่าคุณพร้อมรับฟัง และแก้ปัญหานี้ด้วยความจริงใจ ไม่ปิดกั้น ไม่ใช่ว่าทำเป็นเหมือนฟัง แต่ตั้งกำแพงเอาไว้แล้ว
หมดไฟ แก้ยังไงดี ติ๊ดๆๆๆ ติ๊ดๆๆๆ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นจากสมาร์ทโฟนที่ตั้งอยู่ข้างเตียง คุณลืมตาขึ้นมา ลุกขึ้นนั่ง และคิดกับตัวเองว่า ไม่ไปทำงานได้ไหม เหนื่อยจัง เมื่อไหร่จะเสาร์-อาทิตย์ซักที ก่อนจะลุกจากเตียงอย่างช้าๆมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำเพื่อทำภารกิจส่วนตัวตอนเช้าให้เสร็จสิ้น และเดินทางไปทำงานต่อไป คุณมาถึงที่ทำงานด้วยสภาพซอมบี้ เดินเอื่อยเฉื่อย ทำทุกอย่าง ๆ ช้า ๆ หรือทำทุกอย่าง ๆ รวดเร็วโดยความไม่เต็มใจ อันเนื่องมาจากสภาพความกดดันที่ได้รับมาจากสิ่งที่เรียกว่ากำหนดส่งงานที่บีบเข้ามาทุกที ทำไมงานของฉันมันถึงน่าเบื่อขนาดนี้ ทำไมฉันถึงไม่มีแรงบันดาลใจในการทำงานเหมือนเก่า ทั้งๆที่นี่ก็เคยเป็นงานที่ฉันรู้สึกว่า มันสนุก มันเติมเต็ม มันทำให้ฉันเติบโตในช่วงแรกๆนี่หน่า ถ้าคุณมีคำถามเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ในความคิดบ่อยๆ มันอาจไม่ใช่สัญญาณที่ดีซักเท่าไหร่ เพราะนั่นบ่งบอกว่าคุณกำลังอยู่ในสภาวะของการหมดไฟในการทำงาน (Burnout) นั่นเอง หมดไฟ ได้ไงกัน! ส่วนผสมสำคัญของการดับไฟเกิดขึ้นมาจาก 3 ส่วนสำคัญคือ ความเหนื่อยล้าทางร่างกาย การสูญสิ้นซึ่งความกระตือรือร้นในสิ่งที่ทำ (พูดง่าย ๆ คือไม่รู้ว่ากำลังทำมันไปทำไม) และสุดท้ายการไม่พึงพอใจในประสิทธิภาพการทำงานของตัวเอง (เช่น ทำมากแต่ได้น้อย ทำงานซ้ำซ้อน เสียเวลา ทำไปไม่ได้ใช้ ทำทำไมวะ! เป็นต้น) ซึ่งทั้ง 3 ส่วนผสมที่ว่านี้ไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกันก็ได้
ผู้ชายอย่างเราแม้จะถูกสร้างมาให้แข็งแกร่งแบบเต็มร้อย แต่คนมันไม่ใช่ก้อนหิน ก็ต้องมีมุมอ่อนแอกันบ้าง จะว่าไป สิ่งที่จะทำให้เราอ่อนแอมันมีสักกี่อย่างกัน บางคนอาจน้อยจนนิ้วบนมือเดียวนับแล้วยังเหลือ บางคนอ่อนไหวมากหน่อยก็ต้องยืมมือเพื่อนมานับนิ้ว UNLOCKMEN ขอเพิ่มหนังอีก 5 เรื่องนี้เข้าไปให้หนุ่ม ๆ ได้นับด้วย กับหนังสุดจี๊ดขยี้อารมณ์ ที่เราคัดมาให้แบบหลากหลายแนว มาดูกันว่าผู้ชายอย่างเรา จะเสียอาการให้กับหนังเรื่องไหนกันบ้าง The Green Mile (1999) Director : Frank Darabont เกาะกระแสเรื่องโทษประหารกันหน่อย กับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เป็นเรื่องราวของ Paul Edgecomb (Tom Hanks) พัศดีที่ประจำการอยู่ที่ชนบทที่ห่างไกลสักที่ ในช่วงที่ทุกคนยังเหยียดสีผิว ยังมีชนชั้นแรงงานแบบทาสอยู่ เขาทำงานได้แบบสบาย ๆ มาตลอด แต่แล้วต่อมสำนึกผิดชอบชั่วดีของเขาถูกกระตุ้นขึ้นมาด้วยนักโทษประหารผิวสีคนหนึ่ง ที่รูปร่างใหญ่โตกว่าคนอื่น ซึ่งคดีติดตัวของเขาคือคดีฆาตกรรม เราคงพอนึกออกแล้วว่าเขาดูน่ากลัวขนาดไหน แต่เรื่องที่ทำให้ Paul รู้สึกขัดกับจิตสำนึกคือ ความอ่อนโยนของเขา เขาเป็นมิตรกับทุกสิ่งรอบข้าง แม้แต่แมลงตัวเล็กตัวน้อย ยิ่ง Paul อยู่กับเขานานเท่าไหร่ ยิ่งสัมผัสถึงปาฏิหาริย์จากเขาได้เรื่อย ๆ จนเกิดขึ้นถามในใจว่าเขาเป็นแพะหรือไม่ ? เรื่องนี้อาจจะดูเอื่อย ๆ หรือน่าเบื่อในช่วงแรก ๆ
สำหรับผู้ชายขี้อายหลายคน อาจจะรู้ตัวกันอยู่แล้วว่าเรามันขี้อายแค่ไหน แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าอะไรที่มันยังฉุดรั้งเราไว้ ทำให้เราก้าวข้ามความขี้อายไปไม่ได้ซะที ให้มองจากมุมของตัวเองมันก็ยาก เหมือนอะไรที่มันอยู่ใกล้มาก ๆ เรามักจะมองไม่เห็น ลองมาสำรวจตัวเองกับ UNLOCKMEN ที่จะพามาดูจุดอ่อนของหนุ่มขี้อาย ที่เป็นเหมือนกับดักที่ทำให้เราก้าวข้ามไปไม่ได้สักที มาดูกันว่าเรามีข้อไหนบ้าง แล้วกำจัดมันไปให้พ้นทาง อาจถึงเวลาที่เราจะได้เฉิดฉายสลัดภาพหนุ่มขี้อายออกไปได้แล้ว เอาแต่เก็บไอเดียดี ๆ ไว้กับตัวเอง ไม่ต้องตกใจไป มันเป็นปกติของหนุ่มขี้อายเอามาก ๆ หลายคนก็เป็นแบบนี้นี่แหละ เราอาจพลาดการแชร์สกิล โชว์ความเจ๋งของตัวเองหรือความรู้ดี ๆ ไป เพราะความไม่มั่นใจในตัวเอง ที่ทำให้เราคิดว่าคนอื่นเขาก็รู้เหมือนเรานั่นแหละ หรือคนอื่นเขาไม่ได้อยากจะรู้เรื่องของเราสักหน่อย เราไม่จำเป็นต้องพูดออกไปหรอก ถ้าทำแบบนี้อยู่ รีบเลิกแบบด่วน ๆ เพราะการคิดแทนคนอื่น มันไม่เวิร์คเอาซะเลย โดยเฉพาะการทำงานแบบ teamwork การหยิบไอเดียของตัวเองออกมาให้คนอื่นได้เห็นของดีที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา อย่ามัวคิดว่าคนอื่นเขารู้อยู่แล้วว่าเราคิดอะไรอยู่ ไม่มีใครรู้หรอกจนกว่าเราจะพูดออกมา คิดเยอะอย่างเดียว แต่ไม่บอกความต้องการของตัวเอง มันง่ายแหละที่จะปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงไปในปัญหา โดยไม่คิดแก้อะไร แค่ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามอารมณ์แบบนั้น ไม่ทำแม้กระทั่งถามตัวเองว่าจริง ๆ ต้องการอะไร หากมีปัญหาแค่กับเรื่องส่วนตัว ตีกันในหัวตัวเอง มันไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก หากมีปัญหาที่ต้องดีลกับคนอื่นด้วย แต่ไม่กล้าที่จะบอกไปตรง ๆ ว่าตัวเองต้องการอะไร ปล่อยให้คนอื่นเดาเอาเอง หรือเออออไปตามสถานการณ์ มันก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
มองไปทางไหนก็พาให้รู้สึกเบื่อไปหมด ยิ่งหมดไฟในใจแล้ว ต่อให้เปลี่ยนไปนั่งทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้มีไฟขึ้นมาเอาซะเลย ปลุกไฟจากภายนอกอาจไม่ช่วยเท่าไหร่ ลองหันมาปลุกไฟในใจให้กลับมาลุกโชนอีกครั้งจะดีกว่า UNLOCKMEN ชวนคุณมาดู 5 หนังที่จะให้คุณได้เจอมุมมองใหม่ ๆ ในการทำงาน เผื่อว่าจะมีเรื่องไหน สะกิดความคิดของเราให้เกิดไฟขึ้นมาได้อีกครั้ง ต่อให้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้เราได้ข้อคิดอะไรบางอย่างผ่านตัวละครหลากหลายแนวที่พร้อมจะมาเล่าเรื่องราวชีวิตการทำงานของตัวเองให้ฟัง The Secret Life of Walter Mitty (2013) Director : Ben Stiller เรื่องราวยอดฮิตที่เราอยากให้ดูจริง ๆ สำหรับใครที่รู้สึกอุดอู้เหลือเกิน เมื่อก้าวพ้นประตูออฟฟิศเข้าไปสู่โลกของการทำงานแบบลูปเดิม ๆ มาผจญภัยไปพร้อม ๆ กับ Walter Mitty (Ben Stiller) หนุ่มออฟฟิศที่เบื่อชีวิตไม่แพ้กับเรา ๆ ที่ทำงานในบริษัทนิตยสาร LIFE แต่แล้วเมื่อโลกหมุนไป สื่อสิ่งพิมพ์ไม่อาจคงอยู่ได้เหมือนแต่ก่อน LIFE จึงจะผันตัวไปทำสื่อออนไลน์แทน เมื่อฉบับสุดท้ายมาถึง เขาดันทำภาพถ่ายที่ต้องใช้ในเล่มหายไป เรื่องราววุ่นวายมันเกิดขึ้นตรงนี้ เขาต้องออกไปตามหาช่างภาพของภาพใบนั้น การออกตามหาช่างภาพครั้งนี้ เขาต้องเดินทางไปเจอเรื่องราวผจญภัยแบบที่ชีวิตของหนุ่มออฟฟิศจืด ๆ คนนึงไม่เคยพบเจอมาก่อน โดยในเรื่องจะเล่นกับความช่างฝันของเขา ให้เราได้เดาเอาเองว่าฉากนี้คือเรื่องจริงหรือจินตนาการของเขา