การหยุดวิกฤตสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ เรื่องยากไม่ใช่วิธีรักษาแต่เป็นการกักกันการแพร่ระบาดของเชื้อมากกว่า เพราะวันนี้คนที่เป็นพาหะของเชื้ออาจจะไม่แสดงอาการและแพร่ไวรัสสู้คนรอบข้างจนลุกลามได้ หลังจากที่มหาเศรษฐีทั่วโลกพยายามใช้เงินที่มีหยุดวิกฤตนี้ Bill Gates เองก็ไม่นิ่งนอนใจ อัดฉีดเงินไปสู้เหมือนกัน และล่าสุดหนึ่งในโครงการที่เขาจัดตั้งอย่าง Bill and Melinda Gates Foundation ที่ตั้งอยู่ในเมือง Seattle ก็คิดค้นวิธีระงับไฟตั้งแต่ต้นลม โดยประกาศว่าจะปล่อยชุด Home Testing Kits ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสามารถทดสอบได้กว่า 400 การทดสอบต่อวัน หลักการตรวจจะใช้พื้นฐานมาจากวิธี Nose-swab ซึ่งเป็นการทดสอบทางการแพทย์เกี่ยวกับผู้ที่มีปัญหาด้านระบบทางเดินหายใจทั่วไปอยู่แล้ว จากนั้นจะเอาอุปกรณ์ตัวนี้ส่งไปให้กระทรวงสาธารณสุขตรวจอีกครั้งเพื่อให้แจ้งผลกลับภายใน 2 วันว่าคุณมีผลทดสอบเป็น positive หรือเปล่า ถ้าพบเชื้อ เขาจะส่งแบบทดสอบออนไลน์มาให้กรอกอีกครั้งเพื่อระบุว่าก่อนหน้านี้เราเคยมีความเคลื่อนไหวอย่างไร พบปะใครบ้าง ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้จะส่งไปให้เจ้าหน้าที่เพื่อให้แจ้งสู่บุคคลเสี่ยงติดเชื้อให้ตรวจสอบและกักกักตัวเองต่อไป Scott Dowell จาก Bill & Melinda Gates Foundation ผู้เป็นแกนนำรับผิดชอบโปรเจกต์โคโรนาไวรัสให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ the Seattle Times ว่า “แม้จะมีอะไรให้ทำอีกมาก แต่สิ่งนี้มีศักยภาพมหาศาลต่อการพลิกสถานการณ์แพร่ระบาดโรค สิ่งหนึ่งที่สำคัญจากมุมเราที่ทำได้ คือการระบุผู้ติดเชื้อเพื่อให้แยกเขาไปดูแลต่ออย่างปลอดภัยและระบุตัวผู้เกี่ยวข้องเพื่อกักกัน ป้องกันการแพร่ระบาด”
หนุ่ม ๆ หลายคนมีเวลาสำหรับออกกำลังที่จำกัด ไม่ว่าเพราะงานยุ่งหรืออะไรก็ตาม แต่ทั้งหมดทั้งมวลทุกสาเหตุมันทำทุกคนกำลังห่างเหินจากการออกกำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีการคิดค้นโปรแกรมฝึกระยะสั้นที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์สำหรับหนุ่ม ๆ ที่อยากใช้เวลาว่างหลังเลิกงานในการออกกำลัง และแน่นอนว่าในเมื่อเวลาว่างหายาก โปรแกรมนี้จึงไม่ต้องคร่ำเคร่งจนถึงขนาดที่ต้องฟิตออกกำลังแทบทุกวัน แค่ Follow-up การฝึกเลือกให้ได้อย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ (เลือกฝึกฝนร่างกายสัปดาห์ละ 2 ส่วน กระจายไปตลอด 1 เดือน หรือ 4 สัปดาห์) โดยการฝึกแต่ละครั้งกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนใครที่อยากเพิ่มความท้าทาย และมีเวลาเหลือเฟือ หากต้องการเห็นผลชัดเจนแบบสุด ๆ ก็สามารถเพิ่มวันฝึกซ้อมสูงสุดได้ถึง 4 วันต่อสัปดาห์ ตามโปรแกรมทั้ง 4 ที่เราลิสต์ไว้ให้ แต่ควรหาวันพักคั่นกลางเอาไว้ให้ร่างกายได้มีเวลาฟื้นฟูด้วย โปรแกรมนี้เหมาะสมกับใคร ? โปรแกรม Full-Body workout ที่แนะนำถูกคิดค้นขึ้นโดยเทรนเนอร์ชาวอังกฤษซึ่งเหมาะสมทั้งกับคนที่ต้องลดน้ำหนักหรือลีนไขมันออกจากกล้ามเนื้อ รวมถึงสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายโดย ที่สำคัญคือท่าที่แนะนำเป็นท่าฝึกที่ช่วยให้นักออกกำลังมือใหม่เข้าใจกลไกการทำงานของกล้ามเนื้อได้ดีมากขึ้นอีก How to Full-Body Workout โปรแกรมออกกำลัง Full-Body Workout ในแต่ละวันจะประกอบไปด้วยท่าออกกำลังเฉพาะส่วนทั้งหมด
“หมอตั้ม มาสเตอร์เชฟ” ใครหลายคนเรียกเขาแบบนั้น ด้านหนึ่งเขาคือ “นายแพทย์ดิษกุล ประสิทธิ์เรืองสุข” หมอหนุ่มไฟแรงที่ทุ่มเทสุดความสามารถให้กับการเป็นแพทย์ประจำบ้าน ณ ภาควิชาวิสัญญีวิทยา โรงพยาบาลจุฬา และอีกด้านหนึ่งเขาคือเชฟมากความสามารถที่ทำอาหารอร่อย ๆ ควบคู่ไปกับการเปิดเพจ Eat Matter ผลิตคอนเทนต์ให้ความรู้เรื่องอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงเปิดร้านกาแฟและขนมเพื่อสุขภาพไปในคราวเดียวกัน จากสายตาคนภายนอกหมอตั้มคือคนที่ประสบความสำเร็จ จนเรายินดีมอบตำแหน่ง “THE WINNER” ให้เขาได้อย่างไม่ลังเล เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนเป็นหมอ จะสามารถแบ่งเวลามาทำสิ่งที่เต็มไปด้วยแพสชัน แถมยังผสานทั้งอาชีพหลักและความฝันให้ไปด้วยกันได้อย่างน่าภูมิใจ แต่กว่าจะมาเป็น THE WINNER ในวันนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาฟันฝ่าความท้าท้าย อุปสรรค และความพ่ายแพ้มานับไม่ถ้วน อะไรคือหัวใจสำคัญที่ทำให้เขาไม่แพ้? เราอยากชวนทุกคนมารู้จัก “นายแพทย์ดิษกุล ประสิทธิ์เรืองสุข” หรือ “หมอตั้ม” ไปพร้อม ๆ กัน จากเด็กชายที่แพ้มาตลอด สู่แรงผลักดันให้ยิ่งสู้ ภาพจำของพวกเราทุกคนล้วนเข้าใจว่าคนเป็นหมอคือคนที่ประสบความสำเร็จ ชีวิตของเขาคงลิ้มรสชาติ “การชนะ” มาโดยตลอด แต่เปล่าเลย ชีวิตของหมอตั้มเริ่มจากการเรียนรู้ความพ่ายแพ้สม่ำเสมอตั้งแต่ยังเด็ก เพราะเขาไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องกีฬา เกม หรือแม้แต่เรื่องเรียนที่ก็ท้อ และแพ้มาหลายครั้งเช่นกัน แต่ยิ่งแพ้ก็เหมือนยิ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ผลักให้หมอตั้มเอาชนะให้ดีกว่าเดิม
BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ประกาศเปลี่ยน Logo หรือตราสัญลักษณ์ครั้งแรกในรอบ 23 ปีและเป็นโลโก้แบบที่ 6 ในรอบ 103 ปีแห่งการก่อตั้งแบรนด์ โดยรถยนต์คันแรกที่ติดตราสัญลักษณ์ใหม่คือ BMW Concept i4 รถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้บีเอ็มดับเบิลยูหวังจะทำให้ผู้คนเข้าถึงรถยนต์ของพวกเขามากยิ่งขึ้นในอนาคต ปี 2019 บีเอ็มดับเบิลยูเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงถึง 23.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามภายใต้ยอดขายที่ดีขึ้นต่อเนื่องพวกเขายังคงพัฒนาตัวเองให้พร้อมเข้าสู่โลกของผู้ผลิตรถยนต์สมัยใหม่ไปพร้อมกัน แต่ก่อนที่เราจะได้รู้จักรถยนต์คันใหม่ที่จะเปิดตัวออกมาในอนาคต วันนี้คอลัมน์ THE ICONIC CARS อยากพาทุกคนย้อนกลับไปทำความรู้จักโลโก้ในอดีตทั้ง 5 ของบีเอ็มดับเบิลยู รวมถึงยนตรกรรมที่โดดเด่นในยุคสมัยของโลโก้นั้น ๆ มาดูกันว่าตลอด 103 ปี สัญลักษณ์แห่งพลังจากแคว้นบาวาเรียนี้ได้สร้างอิทธิพลต่อวงการรถยนต์ไปแค่ไหนและมีรถรุ่นอะไรที่สร้างภาพจดจำให้กับตราสัญลักษณ์ของพวกเขาบ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อมกัน Begin of BMW Logo! โลโก้ของบีเอ็มดับเบิลยูมีจุดเริ่มต้นที่ยาวนานโดยต้องย้อนกลับไปในปี 1913 หนึ่งปีก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 1 จะสิ้นสุดลง ชายที่ชื่อ Karl Rapp ตัดสินใจก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องยนต์และชิ้นส่วนเครื่องบินโดยใช้ชื่อว่า Rapp Motorenwerke ในช่วงแรกบริษัทของ Karl
การเดินทางทุกประเภทย่อมมีกฎระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นการชิดขวาเวลาขึ้นบันไดเลื่อน การเดินตามลูกศรที่ขีดไว้บนสะพานลอย ไฟเขียวไฟแดงตามแยกต่าง ๆ ที่คอยจัดการให้รถยนต์สามารถสัญจรได้เป็นระเบียบ รวมถึงการขนส่งทางท่าอากาศยานที่มีศูนย์ควบคุมการบินคอยรับผิดชอบ คอยควบคุมการจราจรทางอากาศจัดคิวการบินขึ้น-ลงของเครื่องบินให้เป็นไปอย่างราบรื่น และถ้าหอบังคับการบินบอกให้รอ เราก็ต้องรอ จะละเมิดไม่ได้เป็นอันขาด แม้การสัญจรบนน่านฟ้าจะมีหอควบคุมการบินคอยจัดตารางการขึ้นบินและลงจอด แต่บางครั้งก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ เรื่องราวกวน ๆ นี้เกิดขึ้นโดยนักบินหนุ่มชาวเยอรมันจากสายการบิน Lufthansa เที่ยวบิน LH350 บินตรงจากเมือง Frankfurt (FRA) ไปยัง Bremen (BRE) ทราบข่าวจากหอบังคับการบินว่าเครื่องบินของเขายังไม่สามารถลงจอดได้ตามเวลาปกติ ต้องบินวนอยู่กลางอากาศไปก่อน เมื่อทราบข่าวครั้งแรกว่ายังไม่สามารถลงจอดได้ นักบินคิดว่าอาจให้รอประมาณ 10-20 นาที แต่กลายเป็นว่าเขาได้รับแจ้งอีกครั้งว่าการดีเลย์ครั้งนี้อาจกินเวลาเป็นชั่วโมงขอให้บินวนรอไปก่อน สร้างความไม่พอใจให้กับกัปตันเป็นอย่างมากเพราะเขาใช้เวลาบินจาก Frankfurt มา Bremen ด้วยเวลา 45 นาที แต่กลับต้องมารอขออนุญาตลงจอดนานเป็นชั่วโมงโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย เวลาถือเป็นสิ่งมีค่าและการบินวนเฉย ๆ คือความน่าเบื่อที่กัปตันรับไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจทำบางสิ่งด้วยการพาลูกเรือและผู้โดยสารเที่ยวบิน LH350 บินเล่นชมวิวรอบเมือง Bremen พร้อมกับโชว์เทคนิคการวาดรูปในสไตล์ของตัวเองไปพลาง ๆ กัปตันชาวเยอรมันขับเครื่องบินเป็นเส้นตรงบ้าง หักหัวเครื่องบินไปทางซ้ายและขวา จนเกิดเป็นผลงานศิลปะที่ใช้เครื่องบินเป็นพู่กัน มีอากาศเป็นผืนผ้าใบ ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่จะเห็นผลงานที่เขาตั้งใจทำขึ้นได้จากจอภาพแสดงทิศทางการบินในหอบังคับการและโปรแกรมตรวจสอบการบินเท่านั้น
ถ้าให้พูดถึงแบรนด์ที่การตลาดไม่ธรรมดาจนทำให้สินค้าที่มีแบรนด์ของตัวเองประทับอยู่ดูดีและติดลมบน ใครหลายคนก็คงนึกถึง Apple แบรนด์เทคโนโลยีผู้ผลิต iPhone, iPad, MacBook ไว้ให้เราซื้อมาใช้ก็ชอบออกกิจกรรมสนุก ๆ คืนกำไรให้กับลูกค้าแถมยังได้โปรโมตเทคโนโลยีของตัวเองไปพร้อมกัน โดยครั้งนี้คืองานประกวดภาพถ่ายโหมดกลางคืน แคมเปญท้าทายเหล่าผู้ใช้ iPhone ซึ่งถูกพูดถึงบนแฮชแท็ก #NightmodeChallenge เชิญชวนช่างภาพมืออาชีพ มือสมัครเล่น ไปจนถึงคนทั่วไปร่วมส่งผลงานประกวดภาพถ่ายโหมดกลางคืนด้วยเงื่อนไขง่าย ๆ เพียงไม่กี่ข้อ เช่น ผู้ส่งภาพเข้าแข่งขันจะต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป พนักงานของ Apple จะไม่มีสิทธิเข้าร่วมการแข่งขัน รวมถึงเงื่อนไขสำคัญ ภาพที่ส่งเข้าประกวดจะต้องถ่ายด้วย iPhone 11 iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pho Max เท่านั้น คณะกรรมการตัดสินประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากสัญชาติทั้งสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร จีน และสิงคโปร์ นอกจากนี้ Apple ยังอนุญาตให้ใช้แอปพลิเคชันแต่งภาพ ปรับแสง ใส่ฟิลเตอร์ได้ โดยผู้ชนะ 6 รางวัล แบรนด์จะซื้อภาพที่ชนะและนำรูปไปแสดงบนทุกช่องทางในโซเชียลมีเดียรวมถึงสามารถนำไปแสดงในนิทรรศการได้ iPhone
เห็นสีที่คุ้นตากับปุ่ม A B และปุ่มบังคับด้านข้างขาแว่นแบบนี้ คงจะคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากแว่นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเกมบอยที่เราคุ้นเคยชัวร์ ๆ แต่ถ้าคิดว่า UNLOCKMEN จะเลือกแค่แว่นธรรมดา หน้าตาวินเทจนำมาเปลี่ยนเปลือกข้างนอกให้หล่อเฉย ๆ บอกเลยว่าเราคงไม่คัดมาบอกต่อแน่นอน The Mutrics GB-30 คือแว่นตาสไตล์เรโทรประดิษฐ์ขึ้นโดยบริษัท Mutrics เป็นบริษัทดำเนินธุรกิจด้าน AI+IoT ที่อยากออกแบบอุปกรณ์ให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์หนุ่ม Urban สายเกมเมอร์ สายบันเทิง สายข้อมูล สารพัดเรื่องที่เราอยากจะ Geek ไปพร้อมโลกดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยฟังก์ชันที่ทำให้เราใช้ชีวิตได้สบายและสนุกขึ้น แว่นเดียวเฟี้ยวฟ้าวได้เพราะฟังก์ชันเหล่านี้ เหตุผลที่เราถูกใจแว่นตาชิ้นนี้เพราะมันรวมฟังก์ชันความบันเทิงแน่น ๆ โดยไม่ลดประสิทธิภาพด้านการมองเห็น ถ้าให้อธิบายให้ชัด เราจะแบ่งมันออกเป็นด้าน ๆ ดังนี้ แว่นตาที่ดี ตัดแสงฟ้า ขาบาง ๆ ใส่แนบหน้าและข้างศีรษะสบาย ๆ กัน UV 400 ได้ 100% เปลี่ยนเลนส์ได้ มีเลนส์กันแดดแถมให้ในกล่อง แว่นตาที่ใช้งานได้รอบด้านในชีวิตประจำวัน มีระบบ Headphone สำหรับฟังได้ผ่านขาแว่น ด้วยระบบ open
คุณออกกำลังกายครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ? คำตอบของหลายคนอาจเป็น 1 สัปดาห์ 1 เดือนหรืออาจหลายเดือน รู้ตัวอีกทีร่างกายที่เคยเคลื่อนไหวได้อย่างกระฉับกระเฉงก็เริ่มช้าลง ส่วนกล้ามเนื้อแขนและหน้าท้องก็ถูกแทนที่ด้วยไขมันไปซะแล้ว แต่ถึงจะรู้แบบนั้นหลายคนก็ไม่สามารถบอกให้ตัวเองเริ่มออกกำลังอย่างจริงจังได้สักที ด้วยเหตุผลนี้เอง UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับการตั้ง Workout Plan Goal หรือหาเป้าหมายเพื่อออกกำลังที่สอดคล้องกับความต้องการของตัวเองซึ่งสามารถตั้งขึ้นได้อย่างอิสระ แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลไหนมาสนับสนุน วันนี้เรามาแนะนำ 5 Workout Plan Goal ที่ผู้ชายนิยมใช้กระตุ้นตัวเองมีไฟในการออกกำลังแต่จะมีเหตุผลอะไรบ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อมกัน Get A Six-Pack เอากล้ามท้อง..คืนมา อยากมีกล้ามท้อง หนึ่งในเป้าหมายยอดฮิตที่ผู้ชายอย่างเราใช้กระตุ้นให้ตัวเองให้ออกกำลัง หลังจากรู้ตัวว่าเริ่มมีพุงมาเยี่ยมเยือน หนุ่ม ๆ ที่บอกตัวเองให้ลุกขึ้นมาออกกำลังเพื่อสร้าง Six-Pack อาจเริ่มด้วยท่าออกกำลังง่าย ๆ เกี่ยวกับท้องเช่น Sit-up หรือ Plank ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่การออกกำลังเพื่อเบิร์นไขมัน หรือสร้างกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่ท้าทายมากขึ้น อย่างไรก็ตามแม้เราจะตั้งเป้าหมายและบอกตัวเองว่าเรื่องสำคัญคือการสร้าง Six-Pack แต่ในทางปฏิบัติจริงเพียงแค่เราหมั่นออกกำลังให้มีความต่อเนื่องเป็นประจำเพื่อทำให้ไขมันหน้าท้องลดลงได้บ้าง ไม่ต้องถึงขั้นขึ้นกล้ามท้องชัดเหมือนนายแบบก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วเกินครึ่งทางแล้ว Build Strength อยากเพิ่มความแกร่ง ฉันอยากแกร่งขึ้น ถึงไม่ใช่พระเอกในมังงะแต่เชื่อว่าผู้ชายหลายคนมีความคิดนี้ติดตัวอยู่แน่นอน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราแกร่งขึ้นเพื่อหาเรื่องหรือท้าทายคนอื่น แต่กลับกันหลายคนอยากมีร่างกายที่แข็งแรงไว้สำหรับปกป้องครอบครัว
“ยานัตถุ์หมอมี แก้ฝีแก้หิด ยานัตถุ์หมอชิตแก้หิดแก้ฝี” ประโยคทดสอบการอ่านที่เราพูดเล่นกันมาตั้งแต่เด็กประโยคนี้ คงทำให้ผู้ชายหลายคนพอคุ้นชื่อ “หมอมี” กันอยู่บ้าง แม้ยานัตถุ์จะไม่ได้มีสรรพคุณช่วยแก้หิดหรือแก้ฝี แต่หมอมีที่ปรากฏในประโยคชวนลิ้นพันนี้มีตัวตนอยู่จริง หมอมีคือหมอยาชื่อดังผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาสมุนไพรจีนในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งตอนนี้บ้านเก่าแก่อายุร่วม 125 ปีของเขา ถูกเนรมิตให้กลายเป็นร้านอาหารไทยชาววังที่ซ่อนบาร์ลึกลับเอาไว้ในชั้นใต้ดิน Philtration สปีกอีซี่บาร์ในห้องปรุงยาเก่าของหมอมี ใต้โครงสร้างบ้านไม้สีขาวของร้านอาหารบ้านหมอมี เป็นที่ตั้งของ ‘Philtration’ บาร์ลับในห้องใต้ดินที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของหมอมีและศาสตร์แห่งการปรุงยาของเขา ก้าวแรกที่ผลักประตูไม้เก่าเข้าไปด้านในก็สัมผัสได้ถึงความมืดมิดและแสงไฟสลัวรางที่รอต้อนรับเราบริเวณทางเดินทรงเกือกม้า แต่เมื่อเดินงมไปตามแสงไฟส้มริบหรี่จนสุดทางกลับไม่พบประตูทางเข้าแต่อย่างใด พบเพียงชั้นไม้ปริศนาที่ดูมีเงื่อนงำ เรายืนนิ่งพินิจพิเคราะห์อยู่สักพักและใช้เวลาไม่นานนักก็หาวิธีเข้าไปข้างในได้สำเร็จ ภายในร้านเป็นห้องโถงไม้เก่าแก่ที่ดูลึกลับไม่ต่างจากทางเข้า โดดเด่นด้วยแสงไฟสีเหลืองอมส้มส่องสว่างท่ามกลางความมืด พื้นห้องมีกระเบื้องลายแปลกที่นำเข้าจากอิตาลีเมื่อหลายร้อยปีก่อนทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า บวกกับผนังบางส่วนที่บอกร่องรอยแห่งกาลเวลาได้อย่างดีเยี่ยม ทว่ามีเพดานทรงโค้งแบบสมัยใหม่เข้ามาช่วยรับน้ำหนักของโครงสร้างเดิม และเสริมกลิ่นอายร่วมสมัยจากเฟอร์นิเจอร์หนังและบาร์ไม้ทอดยาวที่ตั้งตระหง่านกลางร้าน จากตำรายาสมุนไพรสู่สูตรค็อกเทลที่ไม่เหมือนใคร เมนูค็อกเทลของ Philtration ถ่ายทอดตัวตนของหมอยาเลื่องชื่อคนนี้ออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เพราะทางร้านจะเน้นเสิร์ฟ herb cocktails ที่ครีเอตขึ้นจากสมุนไพร เครื่องเทศ และผลไม้เป็นหลัก ปริมาณเหล้าที่ใช้จึงไม่ได้หนักแน่นหัวรุนแรงมากนัก หากสร้างสมดุลให้รสเหล้าและหลากวัตถุดิบอย่างลงตัว เพื่อให้ค็อกเทลแต่ละแก้วคงสรรพคุณทางยาที่เอื้อประโยชน์ต่อสุขภาพของนักดื่ม เราประเดิมแก้วแรกด้วย ‘Sam Kok’ ค็อกเทลวรรณกรรมเพชรน้ำเอกของโลกที่ได้ Saint James Rum เป็นเบส สมทบด้วยบรั่นดีรสเข้ม Giffard Apricot
การจัดอันดับประเทศที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกประจำปี 2020 ถือเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงมากพอสมควร ประเทศที่เคยอยู่อันดับสูงอย่างฮ่องกงกับสิงคโปร์ถูกแซงอันดับขึ้นมาด้วยหลายสาเหตุ บางประเทศมีราคาที่ดินและค่าครองชีพถูกลงจากวิกฤตการเมือง บางประเทศมีประท้วงยาวนาน จนทำให้อันดับปีนี้น่าสนใจไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว การจัดอันดับประเทศค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกจัดโดยนิตยสารธุรกิจของสหรัฐฯ CEOWORLD จากการรวบรวมข้อมูลทั้งดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีค่าครองชีพ ค่าสาธารณูปโภค ราคาที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย เสื้อผ้า ค่ารถแท็กซี่ ค่าบริการการขนส่งสาธารณะ กำลังซื้อมวลรวมของประชาชนในประเทศ และนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์วัดกับประเทศค่าครองชีพสูงมากเป็นปกติอยู่แล้วอย่างมหานครนิวยอร์ก เพื่อจัดอันดับว่าประเทศใดมีภาพรวมแพงที่สุด การใช้นิวยอร์กเป็นเกณฑ์มาตรฐานการประเมินถือว่าเป็นธรรมเนียมที่ทำมานานหลายปี ปกตินิวยอร์กมีคะแนนดัชนีอยู่ที่ 100 ดังนั้นประเทศใดมีคะแนนสูงกว่า 100 จะถูกจัดว่าเป็นประเทศค่าครองชีพสูง และผลจากการสำรวจกว่า 132 ประเทศ ได้ผลสรุปออกมาว่า 5 ประเทศดังต่อไปนี้มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกประจำปี 2020 อันดับ 5: DENMARK ดัชนีค่าครองชีพ: 83 ดัชนีการเช่า: 31.92 ดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติน้อยอย่างประเทศเดนมาร์กขึ้นมาเป็นอันดับ 5 ในปีนี้ อาจเป็นเพราะเดนมาร์กมีพื้นที่ชายฝั่งทะเลส่วนใหญ่เป็นสันทรายกว้าง ส่วนพื้นที่บริเวณอื่นก็เป็นธารน้ำแข็ง ที่ดินจึงมีราคาสูงไม่แพ้กับประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น แม้จะมีที่พักอาศัยไม่มากเท่าไหร่นัก แต่เดนมาร์กเป็นรัฐสวัสดิการขนาดใหญ่จัดเต็มสวัสดิการแก่ประชาชน แถมยังเป็นประเทศที่ติดอันดับการมีรายได้เข้าประเทศมากเป็นอันดับต้น