เราเชื่อว่าหนุ่ม ๆ สายเกมเมอร์ มังงะ หรือคอหนัง sci-fi หลาย ๆ คนคงพอได้ยินชื่อเมือง ‘ไซเบอร์พังก์ (Cyberpunk)’ ผ่านหูกันมาบ้าง จุดเริ่มต้นของเมืองนี้เกิดจากนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Cyberpunk ที่บอกเล่าเรื่องราวแห่งโลกอนาคตอันไกลโพ้น จริงอยู่ที่สภาพแวดล้อมของเมืองนี้อาจห้อมล้อมไปด้วยเทคโนโลยีสุดไฮเทค หากคุณภาพชีวิตของคนในเมืองกลับตกต่ำ เพราะมีสงครามระหว่างแฮกเกอร์และความขัดแย้งทางการเมืองพ่วงมากับความเจริญ นับตั้งแต่นวนิยายเรื่อง Cyberpunk ถูกตีพิมพ์ในปี 1983 ก็มีวิดีโอเกม ภาพยนตร์ และศิลปะแขนงอื่น ๆ ที่กล่าวถึงเรื่องราวของเมืองนี้ด้วยเช่นกัน แม้แต่ศิลปะการถ่ายภาพของยุคปัจจุบัน บางผลงานยังได้อิทธิพลมาจากเมืองแห่งโลกอนาคตเมืองนี้ Tom Blachford ช่างภาพชาวออสเตรเลียใช้เวลาตั้งกล้องและจดจ่ออยู่กับการหมุนเลนส์ เพื่อให้ได้ซีรีส์ภาพถ่ายแบบกลับหัว (Upside-down) จากเส้นขอบฟ้าของเมืองเมลเบิร์นที่สะท้อนถึงเมือง Cyberpunk ในเวลาเดียวกัน “Impossible Dystopia” เป็นซีรีส์ภาพถ่ายของ Tom Blachford ที่บันทึกภาพจากดาดฟ้าความสูง 55 ชั้นใจกลางเมืองเมลเบิร์นของประเทศออสเตรเลีย เขาใช้เทคนิคการถ่ายภาพเฉพาะตัวเพื่อเพิ่มเลเยอร์ให้ตึกระฟ้าสีนีออน และสร้างภูมิทัศน์ของเมืองแบบใหม่ที่แปลกตาไปจากเดิม ช่างภาพรายนี้รู้สึกทึ่งที่ซีรีส์ภาพถ่ายของตนสามารถทำให้มุมมองภาพของผู้ชมเปลี่ยนแปลงไป ทั้งการหยอกล้อกับความลึก หลักความเป็นจริง หรือแม้แต่ยุคสมัยที่ลั่นชัตเตอร์ รวมทั้งโทนสีและองค์ประกอบต่าง ๆ ก็ทำให้ภาพที่เห็นไม่เหมือนกับเมืองเมลเบิร์น ราวกับเป็นฉาก
Vagabund Moto สำนักแต่งมอเตอร์ไซค์สัญชาติออสเตรีย เผยโฉมผลงาน Custom คันล่าสุดโดยดัดแปลงโมเดล 2 รุ่นคลาสสิกจาก BMW และตั้งชื่อให้ว่า Vagabund V12 Vagabund คือสำนักแต่งที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 โดยเป้าหมายของพวกเขาคือการคิดออกแบบสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสร้างสรรค์มอเตอร์ไซค์คลาสสิกในโลกให้สวยงามเหนือกาลเวลาและมีประสิทธิภาพ โดยครั้งนี้พวกเขาเลือกรุ่นสุดเก๋าอย่าง BMW R100 RT มาเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ด้วย 3D-Printed ซึ่งหน้าตาจะออกมาเป็นยังไงมาชมไปพร้อมกัน Vagabund V12 มีพื้นฐานจาก BMW R100 RT รถมอเตอร์ไซค์สไตล์ทัวร์ริ่งที่ผลิตระหว่างปี 1978-1996 นำมาดัดแปลงด้วย Mods ต่าง ๆ ที่ผลิตจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติเพื่อสร้าง R100 RT ออกมาเป็นรถที่มีกลิ่นอาย Street และ Cruiser ผสมรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นโครงด้านหน้าที่มาพร้อมกับไฟเลี้ยวในตัวและโครงสร้างรถส่วนท้ายที่มีไฟเบรกและชุดไฟท้ายอยู่ในตัวเหมือนกัน รวมถึง Handlebar Controls โดยทุกชิ้นส่วนทำมาจากวัสดุอลูมิเนียมเคลือบสีดำสวยงาม ยกเว้นฝาครอบล้อหลังที่ทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์ ‘V12’ คือการดัดแปลงโมเดลจากยุค
ถ้าพูดถึงวงการทีวีซีรีส์ในช่วงเวลานี้ใคร ๆ ต่างก็ต้องพูดถึงสตรีมมิงของ Netflix ที่ขยันปล่อยซีรีส์น่าสนใจมาอยู่เรื่อย ๆ แม้ตอนนี้จะมีคู่แข่งหลายเจ้าเกิดขึ้นมากมายทั้ง Apple TV Plus ที่ปล่อยเรื่อง See ออกมาและได้รับคำชมอย่างล้นหลาม หรือจะเป็นทางฝั่งค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง Disney + ที่ส่งซีรีส์ภาคแยกจากมหากาพย์หนังสงครามของมวลมนุษยชาติเรื่อง Star Wars กับซีรีส์ The Mandalorian ลงสนามแย่งฐานผู้ชมกับค่ายระบบสตรีมมิงอื่น ๆ การเกิดขึ้นของระบบสตรีมมิงทำให้การรับชมทีวีซีรีส์ของผู้คนเปลี่ยนไป และในตอนนี้ Netflix ก็พร้อมประกาศสงครามกับค่ายหนังอื่น ๆ ด้วยการส่งซีรีส์ฟอร์มยักษ์ที่ใครหลายคนรอคอยกับเรื่อง The Witcher ลงสนามด้วยเช่นกัน จึงทำให้ UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโลกของ The Witcher ให้มากขึ้นว่า เพราะอะไรผู้คนทั่วโลกถึงให้ความสนใจกับซีรีส์เรื่องนี้ ? THE WITCHER เวอร์ชันนิยายและเกม ก่อนมาเป็นซีรีส์ที่คนทั่วโลกจับตามองและให้ความสนใจ The Witcher คือนวนิยายชุดแฟนตาซีจากปลายปากกาของ Andrzej Sapkowski นักเขียนชาวโปแลนด์ร่างไว้ตั้งแต่ปี 1986 ด้วยเรื่องราวน่าตื่นเต้นของหนังสือทำให้ The
เมื่อผังเมือง ทางเดินเท้า จวบจนถนนหนทางของเมืองใหญ่ออกแบบมาให้เป็นสัดส่วนและรองรับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่มากขึ้น ก็ทำให้ผู้คนนิยมขับขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในเมืองขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากจะเป็นยานพาหนะที่เอื้อประโยชน์ต่อการเดินทางในชีวิตประจำวัน สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ายังไม่ปล่อยมลพิษไปทำลายชั้นบรรยากาศเหมือนกับยานพาหนะประเภทอื่น ๆ อีกด้วย ไม่กี่วันมานี้เราเพิ่งเห็นการเปิดตัวของสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสุดเจ๋ง ‘Dragonfly Hyper Scooter’ พัฒนาโดย D-Fly Group บริษัทขนส่งในกรุงลอนดอน สกู๊ตเตอร์คันนี้ไม่เพียงได้รับสมญานามว่าเป็น “Hyper Scooter คันแรกของโลก” แต่ยังมาพร้อมพลังขับเคลื่อนจากเครื่องจักรกลอัจฉริยะ ห่อหุ้มด้วยวัสดุพรีเมียมที่แข็งแรงทนทาน ทั้งคาร์บอนไฟเบอร์ ตัวถังอลูมิเนียมเกรดเดียวกับยานอวกาศ หรือแม้แต่ไม้พาโลเนียเสริมใยคาร์บอน รูปลักษณ์ของสกู๊ตเตอร์ดีไซน์มาเป็นทรงเหลี่ยมที่ดูโฉบเฉี่ยวและมั่นคง ตัวคันบังคับออกแบบมาให้คล้ายกับรถเข็นและดูไม่ซ้ำใคร นอกจากจะหมุนแฮนด์ได้แบบรถมอเตอร์ไซค์แล้ว ยังใช้เทคโนโลยีการบังคับเลี้ยวแบบ Full-Tilt ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรถแข่ง Formula 1 ช่วยปรับปรุงรัศมีการเลี้ยวและขับขี่ผ่านโค้งหักศอกได้อย่างราบรื่น Dragonfly Hyper Scooter มีวางจำหน่ายทั้งหมดสองรุ่น คือรุ่น 3 ล้อ และรุ่น 4 ล้อ โดยในรุ่น 4 ล้อจะใช้ระบบช่วงล่างแบบปีกนกคู่ ที่ทำให้รัศมีวงเลี้ยวแคบลงและช่วยให้การควบคุมรถแม่นยำยิ่งขึ้น Dragonfly Hyper Scooter ทำงานด้วยมอเตอร์ Dual-powertrain ที่ให้กำลังส่ง
แม้หลายคนจะใช้วันหยุดเพื่อนนอนตายเพื่อชาร์จแบตตัวเอง แต่บางคนข่มใจไว้ไม่ไหว ติดงาน ก็กระสับกระส่ายเพราะไม่ชอบทิ้งเวลาว่างไว้เฉย ๆ หรือมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็อยากใช้ให้คุ้มค่าเพื่อพัฒนาตัวเองเพื่อให้อนาคตหน้าที่การงานสดใส วันนี้เราจึงอยากแบ่งปัน 3 วิธีการพัฒนาสายงานตัวเองช่วงวันหยุดเพื่อคนอยากใช้เวลาว่างให้คุ้มที่ได้จาก Caroline Castrillon ผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการที่เป็นนักเขียนของ Forbes หยุดยาวนี้ใครว่างนั่งจิ้มมือถือเฉย ๆ บอกเลยว่าสามารถแบ่งเวลามาใช้พัฒนาตัวเองตามรอยนี้ ไม่ผิดหวังแน่นอน การอัปเดตโพรไฟล์งาน เชื่อว่าคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่าการอัปเดตโพรไฟล์ส่วนตัวใน Resume หมายถึงกำลังหางานใหม่ แต่เราอยากให้มองว่าทุกวันนี้พนักงานทุกคนเหมือนแบรนด์ เราต้องรู้จักพรีเซนต์ตัวเองเพื่อสร้างคุณค่า เพราะถ้าเราไม่อัปเดตข้อมูลประสบการณ์หรือผลงานเราให้โลกเห็นเลย โอกาสที่จะทำให้เราโดดเด่นกว่าคนอื่นมักมาในรูปแบบการตั้งรับ ทั้งที่จริง ๆ เราสามารถรุกได้ก่อนเพื่อให้บริษัทที่กำลังตามหาคนคุณสมบัติเดียวกับเราติดต่อมา เช่น การสร้างประวัติใน Linkedin เพราะเป็นแพลตฟอร์ม Resume ระดับโลกที่ทำให้คุณมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับบริษัทข้ามชาติ เป็นต้น แค่แบ่งเวลา 30 นาทีวันหยุดหรือน้อยกว่านั้นมาเข้าเว็บไซต์เพื่ออัปเดต Resume ให้เป็นปัจจุบันตามเว็บไซต์ออนไลน์ หรือถ้าให้ดีใครที่ยังไม่มี Linkedin ลองเข้าไปสมัครดูได้ หมายเหตุ เคล็ดลับการอัปเดต Resume ให้มีประสิทธิภาพควรระบุคำอธิบายที่กระชับสั้นได้ใจความ ตรงตามคุณสมบัติไว้ด้วย เพราะบริษัทที่กำลังหาคนมีศักยภาพเหมาะสมอาจจะไม่มีเวลาอ่านข้อความโดยละเอียด หรือหลายแห่งเริ่มใช้ AI สำหรับสแกนผู้สมัครแล้ว ดังนั้นอะไรที่เยิ่นเย้อเข้าใจยากมักจะถูกปัดตกไปก่อน ลงทุนกับการสร้างเน็ตเวิร์กแบบธรรมชาติ หยุดทั้งที
หลังจากทำงานหลังขดหลังแข็งมาตลอด 11 เดือน ในที่สุดปฏิทินก็วนมาถึงเดือนธันวาคม (สักที) นอกจากเดือนนี้จะเป็นเดือนตัดสินว่าผลกำไรที่ทำมาตลอดหนึ่งปีของบริษัทคุณเป็นอย่างไร ธันวาคมยังเป็นเดือนสุดท้ายก่อนจะก้าวสู่ศักราชใหม่แห่งปี 2020 ตลอดเกือบปีที่ผ่านมาคงต้องยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรานั้นก้าวหน้า พัฒนา และเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่วิธีการทำงานที่คุ้นชินของปีนี้ ก็อาจเปลี่ยนไปสู่รูปแบบใหม่เพื่อให้สอดรับกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัยของปีหน้าก็ได้ หนุ่มมนุษย์เงินเดือนอย่างเราจึงต้องเรียนรู้ เตรียมรับมือ และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในปี 2020 โปรดจำให้ขึ้นใจ เพราะนี่คือ 3 แนวโน้มการทำงานที่จะเปลี่ยนไปในปีหน้า! ระบบเศรษฐกิจเสรีและความยืดหยุ่นในการทำงาน ในปีที่ผ่านมานี้เราเห็นการเติบโตของระบบเศรษฐกิจเสรี หรือ Gig Economy อย่างต่อเนื่อง ระบบเศรษฐกิจประเภทนี้มุ่งเน้นไปที่การทำงานแบบโปรเจกต์ระยะสั้นและถือเป็นตลาดที่เชื่อมต่อกับผู้ใช้บริการโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น Airbnb, Alibaba หรือแม้แต่ Uber Gig Economy ไม่เพียงช่วยให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทรัพยากรและเวลา หากยังช่วยให้นายจ้างและผู้รับเหมาอิสระได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ แถมไลฟ์สไตล์การทำงานที่ยืดหยุ่นของพนักงานยังช่วยเสริม Work-life Balance ให้พวกเขาทำงานอย่างมีความสุขอีกด้วย ผลสำรวจจาก Global Workplace Analytics และ FlexJobs เผยว่าระบบเศรษฐกิจเสรีและการทำงานที่ยืดหยุ่น ส่งผลให้การทำงานแบบระยะไกลมีอัตราการเติบโตสูงถึง 91% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และในปี
PLATFORM 66 งานสตรีตเฟสติวัลครั้งแรกของประเทศไทยเพิ่งผ่านพ้นไป อีเวนต์ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและผู้คนที่หลงใหลการสร้างสรรค์แฟชั่นสไตล์ใหม่ ๆ โดยงานนี้ CASIO G-SHOCK ขนทัพนาฬิการุ่นหายากและนาฬิกา LIMITED EDITION มาจัดแสดงในงานอย่างเนืองแน่น การเปิดตัวครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการพูดคุยกับ คิคุโอะ อิเบ ชายผู้ก่อตั้ง G-SHOCK และนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกกาลเวลา โดยเขาเดินทางมาร่วมเปิดตัวและพูดถึงแรงบันดาลใจของนาฬิกา G-SHOCK Metal Face GM-5600 หน้าเหลี่ยม และเอกลักษณ์ความเป็น ORIGINS ของ G-SHOCK พร้อมเผยแรงบันดาลใจ FROM PASION TO INNOVATION ร่วมกับ ปิ๊น-อนุพงศ์ คุตติกุล ผู้ก่อตั้งแบรนด์สตรีตชั้นนำของประเทศไทยอย่าง CARNIVAL สำหรับความร่วมมือสุดพิเศษในการสร้างคอลเลกชัน G-SHOCK x CARNIVAL™ GM-5600 LIMITED EDITION ที่มีขายเพียง 150 เรือนทั่วโลก ในงาน PLATFORM 66 ที่แรกและที่เดียวอีกด้วย โดยนาฬิการุ่นลิมิเต็ดนี้ โดดเด่นด้วยดีไซน์สุดเท่ ออกแบบใหม่ด้วยกรอบสเตนเลสสตีลสีเงินและสายเรซินสีดำด้าน
นาฬิกาถือเป็นไอเทมที่อยู่คู่กับเหล่าสุภาพบุรุษมาอย่างยาวนาน บางคนมองว่านาฬิกาคือสิ่งที่ต้องพกติดตัวไปทุกที่เพื่อบอกเวลา บางคนมองว่านาฬิกาเป็นแฟชั่น และหลายคนชื่นชอบสไตล์รวมถึงดีไซน์ที่เฉพาะตัวของแต่ละแบรนด์ ด้วยมุมมองที่แตกต่างทั้งหมดทำให้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับนาฬิกาแบรนด์ Hublot ที่หยิบวัสดุสุดล้ำค่าอย่างแซฟไฟร์มาสร้างสรรค์ให้กลายเป็นเรือนเวลาร่วมสมัยที่ตอบโจทย์ใครหลายคน Hublot (อูโบลท์) แบรนด์นาฬิกาสวิตฯ ก่อตั้งโดย Carlo Crocco เมื่อปี 1980 ถือเป็นนาฬิกาแบรนด์แรกที่ริเริ่มเอาแผ่นยางธรรมชาติมาทำเป็นสายนาฬิกาเพื่อใช้กับตัวเรือนทำจากทองคำ ซึ่งการนำยางมาเป็นส่วนประกอบของนาฬิกาเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตแบรนด์อื่นในช่วงเวลานั้นมองว่าไม่น่าจะมีใครชอบและต้องขายไม่ออกอย่างแน่นอน ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ผู้คนชื่นชอบไอเดียสายนาฬิกาแบบยางของ Hublot แต่แบรนด์ก็ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างเท่าไหร่นักจนปี 2004 เมื่อ Jean-Clsude Biver ขึ้นมารับตำแหน่ง CEO พร้อมกับสร้างคอลเลกชันเรือนเวลาชื่อว่า Big Bang นาฬิกาสปอร์ตโครโนกราฟบอกเวลาอย่างแม่นยำ โดยมักใช้วัสดุหลายอย่างมาผลิตทั้ง ทองคำ เหล็ก และอัญมณี พร้อมกับการกระโดดเข้าสู่วงการกีฬาด้วยการเป็นผู้สนับสนุนสโมสรฟุตบอลชื่อดังจากเกาะอังกฤษ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2008 ด้วยการริเริ่มอะไรหลาย ๆ อย่างและยังไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ทำให้ในที่สุดจากแบรนด์นาฬิกาน้องใหม่นอกสายตากลายเป็นนาฬิกาแบรนด์ดังที่คนเล่นจะต้องรู้จัก แถมตอนนี้ Hublot ก็เตรียมสร้างสรรค์สิ่งใหม่อีกครั้งด้วยเรือนเวลาจากวัสดุราคาสูงอย่างแซฟไฟร์ในคอลเลกชัน ‘Spirit of Big Bang Sapphire’ เรือนเวลาคอลเลกชัน
ย้อนกลับไปในปี 1994 ชายคนหนึ่งชื่อว่า James Jebbia ได้เริ่มต้นสร้างแบรนด์เสื้อผ้าเล็ก ๆ ของตัว เพราะมีความตั้งใจที่อยากจะทำแฟชั่นขึ้นมาตอบสนองไลฟ์สไตล์สำหรับคนที่หลงใหลในกีฬาสเก็ตบอร์ดอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งใครจะคิดว่าจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ นี้ กาลผ่านไป 20 กว่าปี ปัจจุบันเสื้อผ้าของเขากลายเป็นสุดยอดแบรนด์ของโลก จนหลาย ๆ คนพยายามถอดเคล็ดลับความสำเร็จ แต่ก็ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN กำลังจะมาพูดถึงแฟชั่นที่มากกว่าแฟชั่นอย่าง Supreme Supreme เริ่มต้นจากร้าน underground เล็ก ๆ โดย James Jebbia ผู้คลุกคลีกับวงการเสื้อผ้าสตรีตแวร์มาพอสมควร เพราะเขาเคยหาบแร่ขายของวินเทจจนขยับขยายมาเปิดร้าน multi-store นำเข้าเสื้อผ้าจากประเทศอังกฤษมาขายในอเมริกา ก่อนที่จะรู้สึกอิ่มตัวและอยากสร้างแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งเขาได้ไปเจอตึกว่างในทำเลถนนย่าน Lafayette จากความคิดเพียงว่าน่าจะเป็นสถานที่เหมาะสำหรับเป็นจุดนัดพบของเหล่าสเก็ตเตอร์เท่านั้น ขณะนั้นเอง James Jebbia ยังคงทำงานควบคู่อยู่กับแบรนด์ Stüssy พร้อมเปิดร้านเล็ก ๆ ที่ชื่อ Supreme โดย James กล่าวว่าเขาแค่รู้สึกว่าชื่อนี้มันเท่ดีส่วนโลโก้ที่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์อย่าง Box Logo นั่นได้แรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะของ
2 ปีก่อนตอนที่ตัดสินใจว่าจะทำงานด้านออนไลน์แทนออฟไลน์ เพราะรู้ปรากฏการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงของวงการสื่อสารมวลชน จำได้ว่าสื่อออนไลน์ที่เป็นที่รู้จักในตลาดมีอยู่เพียงไม่กี่เจ้าในวันนั้น ส่วนมากมักเป็นบริษัทใหญ่หรือองค์กรที่อยากผันจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ 700 กว่าวันที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่า “สื่อ” วันนี้แตกต่างจากที่เราคิดไปโดยสิ้นเชิง เพราะเบื้องหลังของคอนเทนต์ไวรัลที่มีคนติดตามหลักแสนหลักล้านวันนี้ อาจเกิดขึ้นจากคนเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเครื่องเดียวเท่านั้น อินเทอร์เน็ตกับความไฮเทคของเทคโนโลยีบีบช่องว่างที่เคยกว้างให้แคบ และระยะห่างที่หดตัวทำให้ทุกคนต้องวิ่งนำขึ้นไปอีกสเต็ปก่อนจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หาเครื่องมือใหม่มาเพื่อสร้างความยั่งยืน นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ “Data” กลายเป็นคีย์เมสเสจมาตลอดหลายปี เริ่มจากวงการธุรกิจและบริการ จนถึงตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า “สื่อ” เองก็จำเป็นต้องใช้เครื่องมือนี้แล้ว และถ้าใครไม่มี…อีกไม่นานอาจจะเกมก่อนเจ้าอื่นไม่รู้ตัว เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ Gilad Lotan รองประธานและหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ข้อมูลจากสื่อใหญ่อย่าง BuzzFeed เว็บไซต์สื่อระดับโลกจากสหรัฐฯ ที่มีผู้ใช้หน้าใหม่เยี่ยมชมจำนวนกว่า 200 ล้าน ประเด็นการใช้ Data และบทบาทหลังจาก Specialist ด้านข้อมูลอย่างเขาเข้ามาทำงานได้ 3 ปีและใช้เทคโนโลยีด้านข้อมูลหนุน BuzzFeed ขึ้นเป็นผู้นำ ที่งาน Digital Thailand BigBang 2019 ที่ผ่านมา จริง ๆ แล้วการเข้ามาของ Gilad นับว่าสร้างความเปลี่ยนแปลงและความแข็งแรงกับมีเดียอย่าง BuzzFeed มาก เพราะส่วนตัวเขามีพื้นความสามารถด้าน Data