กรุงเทพฯ เป็นแหล่งรวมร้านอาหารหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น ไปจนถึง ฝรั่งเศส แต่หลายคนมักไม่รู้จัก UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำร้านอาหารฝรั่งเศสที่สามารถพาคนรู้ใจไปสร้างความประทับใจผ่านมื้ออาหารด้วยกันได้ La Vie Bistronomy La Vie ห้องอาหารฝรั่งเศสที่อยู่บนชั้น 11 ของโรงแรม VIE Hotel Bangkok ที่เสิร์ฟอาหารสไตล์ Bistronomy หรือ French Casual Fine Dining ที่ทานง่ายและทำจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพ โดยแต่ละเมนูถูกรังสรรค์ในครัวเปิดที่คนทั่วไปสามารถรับชมเชฟปรุงอาหารได้ แถมยังมีไวน์ให้เลือกหลายชนิดอีกด้วย เราสามารถดื่มเคล้ากับอาหารฝรั่งเศสรสชาติดีในบรรยากาศหรูหราสไตล์โมเดิร์นของห้องอาหารได้อย่างลงตัว Google Maps Facebook Website Water Libary (Chamchuri Square) ห้องอาหาร Fine Dining ระดับมิชลินไกด์ที่มีจุดขาย คือ รวบรวมน้ำแร่จากหลายประเทศทั่วโลก เช่น ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ อิตาลี นอร์เวย์ หรือ ญี่ปุ่น จนเหมือนเป็นห้องสมุดน้ำ
เสื้อสูทนับเป็นไอเทมที่ผู้ชายต้องให้ความสำคัญกับมัน เพราะสูทที่ดีย่อมทำให้เกิด First Impression ที่ดี และจะทำให้เราถือไพ่เหนือในหลายสถานการณ์ เช่น การเจรจาธุรกิจ หรือ การไปออกงานอีเวนท์ทางการต่าง ๆ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำร้านสูทที่สามารถการันตีได้ทั้งในเรื่องของคุณภาพ และดีไซน์ที่ทันสมัยพร้อมทำให้ผู้ชายทุกคนมีความโดดเด่นขึ้นในทุกสถานการณ์ The Decorum The Decorum ร้านขายเสื้อผ้าสไตล์ Classic Menwear ที่เกิดจากชาย 2 คนที่มีแพสชั่นในการแต่งตัวสไตล์คลาสสิก ได้แก่ ศิรพล ฤทธิประศาสน์ (กาย) และ วรงค์ ภัทรชัยกุล (บอล) ร้านนี้จะนำเข้าสินค้ามาจากต่างประเทศ และสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นของที่เจ้าของร้านเลือกมาตามความชอบของตัวเอง และมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น สูท เบลเซอร์ เชิ้ต รองเท้า เนกไท สำหรับใครที่ต้องการชุดแบบ bespoke ทางร้านยังมีบริการตัดชุดสูทด้วย เรียกได้ว่าเป็นร้านเครื่องแต่งกายผู้ชายแบบครบวงจร Address: 3 Ari Samphan 5 Alley, Khwaeng Samsen Nai,
หากจะให้พูดถึงรายการท่องเที่ยวในบ้านเราแน่นอนว่ามีตัวเลือกให้ชมอย่างมากมาย แต่ถ้าจะให้พูดถึงรายการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เชื่อว่าชื่อของ The Gaijin Trips น่าจะติดท็อปลิสต์ของใครหลาย ๆ คน หนุ่มหน้าหล่อชาวบางแสนนามว่า “เบนซ์” ได้นำเสนอรูปแบบเล่าเรื่องการท่องเที่ยวของตัวเองที่สะดุดหูทุกคนที่ได้ยิน ราวกับว่าเรากำลังนั่งฟังดนตรีโพสต์ร็อกบรรเลง บรรยากาศเนิบ ๆ เคลิ้ม ๆ ชวนฝันแต่กลับน่าฟังอย่างน่าประหลาดใจ แถมเรื่องราวในแต่ละคลิปยังเต็มไปด้วยความเรียลแบบไร้แผนเดินทางถือเป็นจุดขายที่ชวนให้ทุกคนต้องติดตาม เพราะคุณจะไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างเดินทาง Unlockmen ขอพาทุกคนไปรู้จักตัวตนของเบนซ์ให้มากขึ้นกับ ZERO TO HERO : “เบนซ์ The Gaijin Trips” การเดินทางที่ไร้แผนกับผลตอบแทนคือประสบการณ์อันล้ำค่า ชีวิตวัยเยาว์เอากิจกรรมมาก่อนเรื่องเรียน “ผมเป็นเด็กที่เรียนได้บ๊วยตลอดเลยครับ ไม่โหล่ก็รองโหล่ แต่จะเด่นพวกกีฬา กิจกรรมต่าง ๆ มากกว่า ผมเป็นนักกีฬาโรงเรียน เล่นบาส เล่นบอล วอลเลย์ ตะกร้อ ได้แชมป์บ้างอะไรบ้าง อีกอย่างหนึ่งก็คือวิชาศิลปะ ที่เราจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ชอบวาดรูป ชอบลงสี ผมจะเด่นตรงด้านนี้ “พอโตขึ้นมาแล้วมาเรียนสามัญช่วงมัธยมปลาย ผมรู้สึกว่ามันมีความวิชาการ มีความตึงเตรียด จนสุดท้ายเราก็ลาออกจากโรงเรียนมาเลย โต๋เต๋อยู่ช่วงหนึ่ง มาช่วยพ่อแม่ทำงานที่บ้านค้าขาย
ในอนาคต คนอาจใช้รถยนต์กันน้อยลงกว่าเดิมก็ เพราะตอนนี้มีหลายบริษัทที่ทำการพัฒนารถยนต์บินได้ ซึ่งสามารถแทนที่การเดินทางแบบเก่าได้ หนึ่งในนั้น คือ PHRACTYL บริษัทสตาร์ทอัพในประเทศแอฟริกาใต้ ที่เปิดตัวอากาศยานชื่อว่า Macrobat ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากนก และเกิดขึ้นมาเพื่อเอาชนะพื้นที่ที่เข้าถึงยากด้วยพาหนะทั่วไป อากาศยานคันนี้มีรูปร่างเหมือน นกกระทุง (pelican) และเป็น eVTOL หรือ ยานพาหนะไฟฟ้าที่บินขึ้นและลงจอดได้ในรูปแบบแนวดิ่ง มันมาพร้อมกับปีกที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าและใบพัด และมีล้อที่ถูกแทนที่ด้วยขาที่มีลักษณะคล้ายกับขาของนกซึ่งมีการติดตั้งสายพานไว้ที่เท้า เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบินขึ้นและลงจอดในแนวดิ่ง และทำให้พาหนะสามารถลงจอดที่ไหนก็ได้อย่างปลอดภัยไร้อุปสรรค์ รถบินคันนี้จะมีการเคลื่อนไหวเหมือนนก คือ เอียงไปข้างหลัง 45 องศา ทั้งตอนบินขึ้นและลงจอด มันสามารถ take off ได้แบบไม่ต้องใช้รันเวย์ โดยตอนบิน จะมีการกางปีกทั้งสองข้างและใบพัดจะหมุนด้วยความเร็วสูง จากนั้นขาทั้งสองของเครื่อองบินจะย่อลงเพื่อให้เกิดแรงในการกระโดดบิน จนเมื่อเครื่องลอยฟ้าแล้ว ขาทั้งสองข้างจะถูกพับเก็บเพื่อลดแรงต้านอากาศ และทำให้เครื่องบินบินได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับ Macrobat จะเป็นเครื่องบินขนาดเล็กสามารถรองรับนักบินได้ 1 คน สามารถเดินทางได้ไกลราว 150 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถบรรทุกน้ำหนักของผู้โดยสารและสัมภาระรวมกันสูงสุดได้ 150 กิโลกรัม อย่างไรก็ตาม
รอยสักถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน มีทั้งสักเพื่อบ่งบอกสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ หรืออย่างในบ้านเราที่สักเพื่อการใช้วิชาคาถาอาคม แต่ในปัจจุบันมันได้พัฒนากลายเป็นแฟชั่นสวยงามที่คนมากมายนิยมชมชอบ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย ส่วนใครที่มีแพลนที่จะสักหรือยังลังเล Unlockmen มี 6 ขั้นตอนเตรียมตัวก่อนโดนเข็มมาฝากเพื่อเพิ่มความพร้อมของคุณให้มากยิ่งขึ้น 1.เลือกลายที่ชอบกับตำแหน่งที่ใช่ ขั้นตอนแรกเบสิคมาก ๆ ก่อนที่จะเกิดลวดลายบนร่างกายเราเองก็ต้องคัดสรรค์สิ่งที่ชื่นชอบซะก่อน ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพต่าง ๆ หรือตัวอักษร หรือจะเป็นงานแบบโอลด์สคูลหรือนิวสคูล ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละบุคคล นอกจากนั้นยังต้องดูตำแหน่งบนร่างกายให้เหมาะสมอีกด้วย หากคุณทำงานที่เคร่งเรื่องรอยสักก็ควรสักไว้ใต้ร่มผ้า แต่ถ้าหากคุณไม่มีอะไรผูกมัดก็ซัดส่วนที่คุณอยากได้เลย 2.หาร้านตรงสเป็กและเชคความปลอดภัย ปัจจุบันมีช่างสักให้เลือกเป็นจำนวนมาก แต่ละคนก็มีความโดดเด่นและความถนัดที่แตกต่างกันออกไป แล้วยิ่งในยุคโซเชียล มีเดีย ถือเป็นโชคดีของบรรดาลูกค้าที่จะได้มีโอกาสได้ดูงานและรีวิวตามช่องทางต่าง ๆ เช่น Instagram หรือ Facebook ทำให้ช่วยตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากจะดูร้านที่ถูกใจแล้วการตรวจสอบความสะอาดของร้านไม่ว่าจะเป็นการดูแลอุปกรณ์ การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ หรือการเปลี่ยนเข็ม ก็เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะหากพลาดไปอาจจะโชคร้ายได้โรคกลับมาบ้านเป็นของแถม 3.ใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสม คุณต้องคำนึงถึงตำแหน่งที่จะสักเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นให้เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้เหมาะสมโดยเฉพาะสุภาพสตรีที่มีจุดสุ่มเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย คุณก็ควรจะต้องระมัดระวังมากกว่าเป็นพิเศษ 4.รับประทานอาหารก่อนรับงานสัก อย่าปล่อยให้ท้องของคุณว่าง และควรรับประทานอาหารที่มีกลูโคสเพราะร่างกายคุณจะเสียเลือดมากกว่าปกติ มันจะช่วยลดอาการหน้ามืดได้ และแน่นอนการรับประทานอาหารมาก่อนจะทำให้คุณไม่หิวระหว่างสักนั่นเอง 5.งดเครื่องดื่มมึนเมา นอกจากอาจจะคุยกับช่างสักไม่รู้เรื่อง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์มาก่อนจะทำให้เลือดของคุณไหลออกมามากเป็นพิเศษในขณะที่โดนเข็มกรีดไปตามร่างกาย ส่งผลงานงานสักเละ สักติดยาก แถมเปลืองกระดาษทิชชู่ชองช่างที่ต้องคอยมานั่งซับเลือดให้อีก
เหล้ากับบุหรี่นับเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันเสมอในร้านเหล้า บางคนอยู่ข้างนอกไม่แตะบุหรี่เลย แต่พอเข้าร้านเหล้ากลับกลายเป็นสิงห์อมควันไปซะงั้นก็มี UNLOCKMEN อยากมาอธิบายว่าทำไมเวลาดื่ม เราถึงรู้สึกอยากดูดบุหรี่ ทำไมคนถึงอยากสูบบุหรี่ตอนดื่ม ความต้องการอยากสูบบุหรี่เกิดขึ้นได้จาก 2 ปัจจัย โดยปัจจัยแรก ได้แก่ ความสามารถของนิโคตินที่มีผลต่อความทรงจำของเรา ส่วนปัจจัยที่สอง คือ ความสามารถของนิโคตินในการทำงานร่วมกับแอลกอฮอล์เพื่อลดระดับโดปามีนในร่างกาย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Baylor College of Medicine ได้ทำการศึกษาสมองของหนูทดลองที่ได้รับ ‘นิโคติน’ สารเสพติดที่อยู่ในบุหรี่ โดยพวกเขาปล่อยให้หนูใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมจำลองที่มีลักษณะเป็นสองห้องแยกกัน โดยห้องแรกหนูจะได้รับนิโคติน ส่วนอีกห้องหนูจะได้รับน้ำเกลือ และหลังจากนั้นนักวิจัยจะทำการศึกษากิจกรรมที่เกิดขึ้นใน hippocampus หรือ สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความทรงจำของหนู ผลการวิจัยพบว่า เมื่อเทียบกับน้ำเกลือ การได้รับนิโคตินจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างความทรงจำที่แข็งแรง เพราะสารเคมีได้ทำให้การเชื่อมต่อของเส้นประสาทมีความแข็งแกร่งขึ้นมากถึง 2 เท่า ซึ่งปรากฎการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการสร้างความทรงจำที่แข็งแกร่งด้วย หนูทดลองยังเรียนรู้ที่จะใช้เวลาในห้องนิโคตินมากกว่าส่วนอื่นด้วย เพราะเวลาได้รับนิโคติน การเชื่อมต่อของเส้นประสาทไซแนปส์ติกมีความแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะในเวลาที่ศูนย์การให้รางวัลของสมองส่งสัญญาณโดปามีน (สารเคมีที่ทำให้เรารู้สึกดี) กล่าวคือ สมองสร้างความทรงจำที่จับคู่นิโคตินกับความรู้สึกดี (หรือ การทำงานของโดปามีน) หนูจึงรู้สึกชอบห้องที่มีนิโคตินมากกว่าห้องอื่น นอกจากนี้ทีมวิจัยยังทดสอบสมมติฐานที่ว่า การรับนิโคตินและแอลกอฮอล์พร้อมกันจะช่วยให้ระดับของโดปามีนสูงขึ้นด้วย แต่ผลที่ออกมากลับไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ แม้หนูที่ได้รับนิโคตินจะบริโภคแอลกอฮอล์มากขึ้น แต่ระดับโดปามีนของพวกมันกลับไม่เพิ่มขึ้นเลย หลังจากทดลองซ้ำหลายครั้งผลก็ออกมาเป็นเหมือนเดิม
คนส่วนมากอยากเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง อยากมีอิสระในการตัดสินใจ หรือ ควบคุมทุกเหตุการณ์ที่ตัวเองเผชิญ แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองไม่มีอิสระเอาเสียเลย เพราะเจอกับเจ้านายที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางและไม่ยอมรับฟังสิ่งที่พวกเขาพูด หรือ พวกเขากำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบ Toxic Relationship ที่ต้องยอมทนกับอีกฝ่ายทุกอย่าง และสะสมความอึดอัดใจไว้ที่ตัวเองเดียว หากเราไม่มีอิสระในการตัดสินใจหรือในการจัดการกับชีวิตตัวเอง เราจะมีปัญหาทั้งเรื่องการใช้ชีวิตและการทำงาน เพราะเราจะรู้สึกแย่และหมดแรงจูงใจในการใช้ชีวิต UNLOCKMEN เลยอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับทฤษฎีที่เรียกว่า Self-determination หรือ การกำหนดตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างมีแพสชันไปยาวนาน เกี่ยวกับทฤษฎี Self-determination ย้อนกลับไปเมื่อ 1971 นักจิตวิทยาชื่อว่า Edward Deci ได้ทำงานวิจัยชื้นหนึ่ง โดยเขามอบหมายให้นักเรียนจิตวิทยา 2 กลุ่มทำการแก้ไขปริศนาลูกบาศก์โซมา (Soma cube) เป็นเวลา 3 ช่วง โดยในช่วงที่สอง นักเรียนกลุ่มหนึ่งจะได้รับเงินตอบแทนทุกครั้งที่แก้ไขปริศนาได้สำเร็จและอีกกลุ่มจะไม่ได้อะไรเลย ส่วนในช่วงที่หนึ่งและสาม ไม่มีนักเรียนกลุ่มใดที่ได้รับเงินตอบแทนจากการแก้ปริศนาสำเร็จ หลังจากที่ Deci ประกาศว่าหมดเวลาในการแก้ไขปริศนา และนักเรียนถูกทิ้งไว้ในห้องทดลองสักพัก กลุ่มนักเรียนที่เคยได้รับเงินจากการแก้ไขปริศนา ก็หันเหความสนใจจากภารกิจไปทำอย่างอื่น เช่น อ่านนิตยสาร ในขณะที่กลุ่มที่ไม่เคยได้รับเงินเลยจะพยายามแก้ไขปริศนาต่อไป นำไปสู่ข้อสรุปของการทดลองที่ว่า “คนที่ได้รับเงินไม่รู้สึกถึงแรงจูงใจภายใน (intrinsic motivation)
เล่นดนตรีมานานทำไมยังไม่ดังซักที? เป็นคำถามที่พบเห็นได้บ่อยครั้งสำหรับกลุ่มคนที่ยังไปไม่ถึงฝั่งฝันกับเส้นทางสายนี้ ซึ่งสุดท้ายต้องกลับมามองย้อนดูว่าตัวเราเองทำมันได้อย่างถูกจุดและถูกต้องแล้วหรือยัง Unlockmen ขอนำเสนอ 10 วิธีพาวงดนตรีให้ปังดังกว่าที่เคย มาให้ทุก ๆ คนได้ลองปรับไปใช้กัน ไม่ว่าจะเป็นวงเก่าหรือวงหน้าใหม่ก็ตาม ลุยกันเลย! 1.ตั้งชื่อวง เรื่องแรก ๆ ของวงดนตรีที่จะคำนึงถึง ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายแต่จริง ๆ แล้วกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ละวงต่างก็มีวิธีการหาชื่อวงแตกต่างกันออกไป มาจากชื่อเพลงที่ชอบบ้าง มาจากคำที่ชื่นชอบบ้าง หรือมาจากนามสกุลของตัวเองก็มี แต่จริง ๆ แล้วถ้าจะให้คนจำชื่อวงของเราได้ง่ายขึ้นก็ควรตั้งไม่เกิน 3 พยางค์ อย่างเช่น Potato, Big Ass, Linkin Park, Limp Bizkit หรือ Oasis เป็นต้น อย่างไรก็ตามหากคุณมีไอเดียที่จะตั้งชื่อวงยาว ๆ ก็ไม่เสียหายหาชื่อวงของคุณเตะตาคนมากพอเช่น “ไปส่งกู บขส. ดู๊” ใครอ่านก็งงจนต้องตั้งคำถามว่าเอ๊ะ!นี่มันวงอะไร จุดนี้มันจะช่วยนำคนไปรู้จักวงของคุณได้มากขึ้นเช่นกัน แต่ต้องไม่ลืมว่าแม้ชื่อวงจะดีเยี่ยมขนาดไหนแต่ถ้าเพลงไม่เอาไหนก็พังได้เหมือนกัน 2.ซ้อมทั้งดนตรีและเพอร์ฟอร์แมนซ์ หากคุณคิดจะเป็นศิลปินที่โดดเด่นและแตกต่างจากนักดนตรีทั่ว ๆ ไป คุณก็ต้องทำมาตรฐานให้มันแตกต่างด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นการซ้อมดนตรีควบคู่ไปกับเพอร์ฟอร์แมนซ์การเอนเตอร์เทนจึงสำคัญมาก ๆ
การจบบทสนทนานับเป็นสกิลที่ผู้ชายทุกคนควรมี เพราะผู้ชายอย่างเราต้องเข้าสังคม และทักษะการจบบทสนทนาจะช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นได้ แต่หลายคนคงพบว่าการจบบทสนทนาเป็นเรื่องยากมาก เพราะไม่รู้ว่าควรจะตัดจบยังไงให้ดูไม่น่าเกลียด UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำเทคนิคการจบบทสนทนาอย่างสมูท โดยไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียความรู้สึก มีเป้าหมายที่ชัดเจน เวลาจะไปพบใครก็ตาม เราควรจำไว้เสมอว่าเราไปพบกับเขาเพื่ออะไร เช่น ต้องการหาคู่ หรือ ต้องการเจรจาทางธุรกิจ การตั้งเป้าหมายจะช่วยให้เรารู้ว่าควรพูดคุยกับอีกฝ่ายประมาณไหน ป้องกันการพูดหรือฟังมากเกินไป จนจบบทสนทนาได้ยาก แถมยังช่วยให้เรากล้าตัดสินใจมากขึ้นด้วย ถ้าเราเจอกับสถานการณ์ที่ต้องทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รอจนบทสนทนาเริ่มสงบ รอสัญญาณจากอีกฝ่ายที่แสดงให้เห็นว่าบทสนทนากำลังจะจบลงแล้ว ซึ่งสัญญาณมักมาในรูปแบบของคำพูด เช่น “อืม” “โอเค” หรือ “เออ” เป็นต้น คำเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มหมดเรื่องที่จะพูดกับเราแล้ว และเราสามารถใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนเรื่องคุย หรือ ตัดจบบทสนทนาที่กำลังเกิดขึ้นได้ จบด้วยเป้าหมายในการสนทนา เราควรยึดเป้าหมายในการสนทนาตั้งแต่ต้นจนจบบทสนทนา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าตอนแรกเราขอคำแนะนำจากเพื่อนเรื่องคลาสที่น่าเข้าเรียน เราอาจออกจากบทสนทนาโดยใช้ประโยคจบที่เชื่อมกับเป้าหมายในตอนแรก เช่น “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ เราจะลงเรียนวิชานี้ให้ทันในเทอมหน้า” เป็นต้น จบด้วยการขอบคุณ ไม่ว่าคุณจะสนทนากับใคร หากต้องการจบบทสนทนาอย่างสุภาพ ควรจบด้วยการขอบคุณเสมอ เช่น ขอบคุณที่อีกฝ่ายสละเวลามาคุยกับเรา หรือ บอกกับอีกฝ่ายว่าการพูดคุยในครั้งนั้นสนุกมากแค่ไหน เป็นต้น
“Look Up The Stars, Look How They Shine For You, And Everything You Do, Yeah, They Were Yellow” ขึ้นต้นด้วยประโยคนี้มาแฟนเพลงสากลคงร้องตามยาวได้จนจบเพลง เพราะมันคือซิงเกิ้ลระดับเมก้าฮิตของวง Coldplay ที่มีชื่อว่า “Yellow” ผลงานจากอัลบั้มแรก ‘Parachutes’ ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2000’s บทเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงระหว่างในค่ำคืนที่สิ้นสุดการบันทึกเสียงเพลง “Shiver” ณ Rockfield Quardrangle Studio พวกเขาได้ออกมายืนด้านนอกสตูดิโอและเห็นดวงดาวส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า จนทำให้ Chris Martin ฟรอนต์แมนเสียงพราวเสน่ห์ เกิดปิ๊งไอเดียของเพลงขึ้นมาในหัว แต่ในตอนแรก Chris ไม่ได้จริงจังกับเพลงนี้ซักเท่าไหร่ หลังจากได้เมโลดี้เพลงนี้เขายังล้อเลียนร้องมันด้วยเสียงของ Neil Young ศิลปินคันทรีระดับตำนานอีกต่างหาก แต่นั่นมันได้กลายเป็นสารตั้งต้นของเพลงนี้ เพราะมันมีคำว่า “Star” อยู่นั่นเอง แม้ไอเดียจะป๊อปอัพพรั่งพรูออกมาอย่างรวดเร็ว แต่การจะจบเพลงนี้ได้กลับยากกว่าที่คิด เพราะหาคำที่เหมาะสมในการจบประโยคท่อนเวิร์สไม่ได้ “Look Up