อยากได้ใครที่รู้ใจ อยากได้คนที่คอยสนับสนุนความคิด ความต้องการพวกนี้มันอาจจะไม่ใช่ฝันเฟื่องสำหรับผู้ชายอย่างพวกเราอีกต่อไป เพราะทุกวันนี้เขามีอุปกรณ์ช่วยอ่านใจแม่น ๆ ชนิดไม่ต้องออกเสียงพูด แค่คิดไว้ในหัว มันก็มอบคำตอบที่ต้องการได้ทันที สิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะชิ้นนี้ทางผู้ผลิตและวิจัยออกโรงมาเคลมความแม่นจากตัวเลขผลการทดลองของตัว prototype ของคน 15 คน พบว่าแม่นเกือบ 100 % (ตัวเลขจริงปาเข้าไป 92 %) โดยใช้หลักการล้วงความคิดในสมองแบบที่เราคาดไม่ถึงด้วยการสวม Headset ที่เขาตั้งชื่อมันว่า “AlterEgo” หลายคนอยากรู้ว่าอุปกรณ์นี้ใช้วิธีไหนอ่านใจคนสวม แล็บวิจัย MIT Media ผู้พัฒนา AlterEgo ให้คำอธิบายไว้ว่าเครื่องนี้แกะรอยความคิดของเราจากการประโยคที่เกิดขึ้นภายในหัวเรา ณ เวลานั้น เพราะเมื่อเราคิด สมองจะส่งสัญญาณต่อไปยังปากและกรามทันที เจ้า Headset อัจฉริยะจะจับสัญญาณการขยับที่เกิดขึ้นกระทบแล้วเชื่อมต่อการใช้งานให้กับเรา ตัวอย่างเช่น หากเราอยากรู้ว่าตอนนี้เราอยู่บนถนนเส้นไหน เราแค่คิดคำถามนี้ไว้ในหัว AlterEgo จะแปลงมันเป็นคำถามแล้วหาข้อมูลเพื่อตอบคำถามที่เราต้องการ นอกจากการถามตอบมันยังสามารถเชื่อมโยงการใช้งานเข้าร่วมกับระบบคำสั่งการ smart device อื่น อย่างทีวี มือถือ ฯลฯ ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นระบบ AI ที่ทำงานได้เฉียบกว่า Google Assistant
หนังที่ได้ชื่อว่าเป็นหนังเมืองคานส์หลายคนอาจจะร้องยี้เพราะภาพจำของหนังจากเทศกาลหนังเก่าแก่ประเทศฝรั่งเศสนี้มักเป็นหนังที่ดูยาก เข้าใจยาก น่าเบื่อ หรือเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ แต่สำหรับปี 2018 นี้ขอให้ทุกคนลบภาพนั้นออกไปก่อน เพราะภาพยนตร์ที่ได้รางวัล ‘ปาล์มทองคำ’ รางวัลยิ่งใหญ่ที่สุดในเทศกาลหนังเมือคานส์ในปีนี้คือ ‘Shoplifters’ ภาพยนตร์แนวครอบครัว เข้าใจง่าย เข้าถึงได้ทุกคน ผลงานกำกับของ ‘Hirokazu Koreeda’ เจ้าพ่อหนังแนวครอบครัวชาวญี่ปุ่น และแน่นอนว่า Shoplifters ไม่ใช่ผลงานเรื่องแรกของเขา ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อหนังครอบครัวแห่งเอเชียผลงานที่ผ่านมาของเขาย่อมไม่ธรรมดาและน่าจะติดอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ร่วมสำรวจความอบอุ่นและร้าวรานที่ Hirokazu Koreeda ฝากไว้บนแผ่นฟิล์มไปด้วยกันกับภาพยนตร์ 5 เรื่องนี้ Nobody Knows (2004) ภาพยนตร์ที่ทำให้ชื่อของ Hirokazu Koreeda ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และคงเป็นภาพยนตร์ที่หลายคนน่าจะทั้งรักทั้งเกลียด ส่วนเหตุผลว่าทำไมคำตอบอยู่ในตัวหนังที่ต้องไปหาดูกันเอง Nobody Knows เล่าเรื่องราวของครอบครัวฐานะยากจนครอบครัวหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วยแม่เลี้ยงเดี่ยว และลูก ๆ อีก 4 คนที่ต้องแอบอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ เนื่องจากผู้เป็นแม่แจ้งกับเจ้าของห้องเช่าว่าเธอมีลูกแค่คนเดียวเท่านั้น เด็ก ๆ จึงไม่สามารถออกไปไหนมาได้ ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ในห้องพัก และอยู่
บ่อยครั้งที่ความสัมพันธ์ของคู่รักต้องมีอันจบลงท่ามกลางความงงว่ามันเป็นเพราะอะไร โดยเฉพาะฝ่ายที่โดนบอกเลิกนั้น แทบจะนั่ง ๆ นอน ๆ คิดทั้งวันเพื่อหาคำตอบที่อาจไม่มีวันรู้ บางทีเราเองก็ไม่ได้ตั้งใจพูดอะไรแย่ ๆ ออกไปจนทำให้เธอเข้าใจผิด และคิดดัง ๆ ออกมาว่า “เราเลิกกันเถอะ !” เรื่องเศร้า ๆ แบบนี้เป็นใครใครก็เซ็ง การเสียคนที่รักไปจากความไม่เข้าใจกันมันช่างน่าเจ็บใจ และมันคงจะเป็นไปได้ยากที่เธอจะกลับมาคบกันอีกครั้ง แต่ถ้าทบทวนตัวเองแล้วพบว่าการเสียเธอคือการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แทบใจสลาย ก็อาจจะต้องหาวิธีง้อเธอ ถ้าอยากได้เธอคืนกลับมาคบกันอีกครั้ง ถ้าหากทบทวนดูแล้วว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่ใช่ แม้ว่ามันจะเป็นไปได้ยาก แต่ก็คงต้องตั้งหลักเพื่อทำภารกิจกู้ความรู้สึกกันหน่อย เริ่มต้นจากความตั้งใจที่ปรับแก้ในสิ่งที่ตัวเองเคยพลาดพลั้งก่อน เพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวเอง และทำให้เธอเห็นว่าคุณจริงจังกับการปรับตัวเพื่อสานสัมพันธ์อีกครั้งแค่ไหน ก่อนจะเริ่มต้นภารกิจขอคืนดี ที่ทีมงาน UNLOCKMEN มีวิธีมาฝากกัน ทำชีวิตให้เข้ารูปเข้ารอย เซ็ตอัพตัวเองใหม่ เมื่อเกิดการเลิกกัน ความเศร้า และความเหงาก็จะมีบทบาททันที ยิ่งคบมานาน ๆ หลาย ๆ ปี แล้วมาโดนผู้หญิงบอกเลิก ยิ่งทำให้เราดำดิ่งสู่ความเคว้งคว้าง สิ่งที่ควรทำก่อนในตอนนี้ก็คือการโฟกัสที่การพัฒนาตัวเองเยอะ ๆ ก่อนจะหาทางกลับสู่เธอ จากการสอบถามสุภาพสตรีหลายคน (รวมถึงแฟนเก่าของทีมงาน) พบว่า ผู้หญิงต้องการเห็นการพัฒนาตัวเองของผู้ชาย บางทีแฟนเก่าของคุณอาจจะสุดเซ็งกับพฤติกรรมบางอย่างที่คุณทำมานานตั้งแต่ตอนเริ่มคบกันยันโดนบอกเลิกก็ได้ แต่ต้องอย่าลืมว่าคีย์หลักของแผนนี้คือการทำตัวเองให้ดีขึ้นโดยไม่เสียตัวตน
หลายครั้งที่ชีวิตเราต้องเจอกับเรื่องกะทันหัน ไม่คาดคิด ต้องการความเร่งด่วนแบบฟ้าแลบ บางครั้งเราอยากจดอะไรสักอย่างที่มันเร่งด่วนมาก ๆ จนไม่มีเวลาปลดล็อกโทรศัพท์ เข้าแอปฯจดบันทึก หยิบปากกา ควานหากระดาษให้วุ่น สุดท้ายก็ลงเอยที่จดใส่มือตัวเอง ดูวุ่นวายและไม่เท่เอาซะเลย หนุ่มคนไหนที่เจอปัญหานี้อยู่บ่อย ๆ UNLOCKMEN อยากให้ทำความรู้จักกับ Wemo นวัตกรรมเจ๋ง ๆ ที่จะเปลี่ยนเคสโทรศัพท์ให้เป็นกระดาษโน้ตแบบไม่ต้องควานหาให้วุ่นวาย ผู้ออกแบบอย่าง Yuhei Imai ได้เคยทำกระดาษโน้ตที่เอาไปแปะได้ทุกที่ ทุกผิววัสดุขึ้นมาแล้ว ถือว่าเจ๋งและตอบโจทย์ยุคสมัยนี้เอามาก ๆ และตอนนี้เขาได้หยิบเอาไอเดียนี้มาต่อยอด นำกระดาษโน้ตนั่นมาทำเป็นเคสโทรศัพท์ นั่นหมายความว่า หากเราพลิกโทรศัพท์ขึ้นมา เราก็มีพื้นที่มากพอให้จดบันทึกข้อความหรืออะไรก็ตามได้แล้ว ด้วยวัสดุที่ทำมาจากซิลิโคนที่เคลือบสารชนิดพิเศษที่เป็นเคล็ดลับของผู้ผลิต ทำให้เราใช้ได้แม้กับปากกาลูกลื่น และลบมันได้ด้วยนิ้วของเราเองนี่แหละ ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่าย และสีสันที่ใช้ได้แบบ Unisex ทำให้เราไม่ต้องเขินอายเมื่อหยิบมันขึ้นมาใช้ เพราะมันก็ใกล้เคียงกับเคสที่เราใช้ในทุกวันนี้นี่แหละ แถมยังดีไซน์ไม่รกหูรกตา ไม่มีลายอะไรมากวนใจอีกด้วย ไม่ต้องความหาใบเสร็จในกระเป๋า ไม่ต้องหาทิชชู่เปื่อย ๆ ที่พร้อมจะขาดทุกเมื่อที่จรดปากกาลงไป เพราะเราเข้าใจว่าบางครั้งชีวิตก็ต้องเจอกับเรื่องราวเร่งรีบ ที่จะไม่มีโอกาสให้เราได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อกจออย่างใจเย็น เปิดหาแอปฯจดบันทึกที่อาจจะไม่ค่อยได้ใช้ จนต้องหากันอีกหลายวินาทีว่ามันอยู่ไหนกันแน่ ถ้าหากเรามีเคสอันนี้แล้ว ปัญหาทุกอย่างก็จบไปง่าย ๆ เลยล่ะ ใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ อย่าลืมใส่ใจรายละเอียดใกล้ตัว
การที่เราจะได้ไปนอนโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว หรือแม้แต่การมีเพ้นท์เฮ้าท์ส่วนตัว คงอาจจะยังไม่ใช่ประสบการณ์มันส์ ๆ ที่ผู้ชายแมน ๆ อย่างเราพึงปรารถนาสักเท่าไหร่ เพราะหากจะให้สุด การได้ไปนอนค้างแรมยังโบราณสถานหรือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างเช่น กำแพงเมืองจีน คงจะเป็น Bucket List ที่ใครก็แล้วแต่ล้วนสามารถเก็บไว้โม้ยันลูกหลาน ชนิดต้องเป็นคนพิเศษเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้สัมผัส นับเป็นแคมเปญด่วน ที่หนุ่ม ๆ UNLOCKMEN ต้องรีบคว้าโอกาสไว้นี้ให้ดี เมื่อ Airbnb ได้เปิดโอกาสให้ทุกคนมีโอกาสได้เข้าพักที่ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก อย่างกำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China) ที่ถูกเนรมิตออกแบบใหม่ให้เป็นห้องนอนมีดีไซน์ความ Ancient เหมาะแก่การพักผ่อน และสามารถมองเห็นวิวรอบ ๆ ได้ถึง 360 องศา พร้อมกันนี้ยังได้รับประทานอาหารคอร์สประจำชาติจีน และการพาชมตะวันตกดินชนิดที่ใครมีแฟนพาไปรับรองเจ๋งและเหนือระดับกว่าใครเป็นไหน ๆ โดยแคมเปญนี้ เกิดจากความตั้งใจของ ผู้ก่อตั้ง Airbnb นาย Nathan Blecharczyk ที่ต้องการจะมอบประสบการณ์สุดพิเศษนี้ให้กับผู้ใช้ Airbnb
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าไอเทมที่มีส่วนสำคัญต่อหนุ่ม ๆ ทุกคนแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ “เสื้อยืด” และถ้าจะยิ่งเจาะลึกเข้าไป เราอาจจะพูดได้เต็มปากเหลือเกินว่าเสื้อยืดนั้นเป็นเหมือน Second Skin ที่ผู้ชายต้องใส่บ่อยกว่าไอเทมใด ๆ แม้กระทั่งบางสายงานยังสามารถใส่ไปทำงานได้ด้วยซ้ำ จึงทำให้ไลฟ์สไตล์แบบ Everyone ของเราวนเวียนอยู่กับการใส่เสื้อยืดอย่างหลีกหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการจะหาเสื้อยืดเจ๋ง ๆ มาสวมใส่ จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่พวกเราควรให้ความใส่ใจในการเลือกซื้อ โดย UNLOCKMEN เคยเขียนอธิบายถึงการเลือกเสื้อยืดฉบับมือโปร (Content ) พร้อมกับประวัติที่มา (Content) ไปหมดเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าในวันนี้เราจะมาแนะนำแบรนด์เสื้อยืดกราฟิคเจ๋ง ๆ เหมาะสำหรับใส่ในวันหยุดพักผ่อน หรือจะใช้เพื่อบ่งบอกไลฟ์สไตล์ความเป็นตัวเอง Billionaire Boys Club เราเชื่อทุกคนคงจะคุ้นเคยกับ Billionair Boys Club นี้พอสมควร เพราะถ้าใครเป็นสาวกสตรีทแวร์อาจจะเคยได้ยินชื่อย่อ ๆ ว่า BBC ซึ่งถือก่อตั้งขึ้นโดยศิลปินมากความสามารถอย่าง Pharrell Williams โดยแบรนด์จะชูจุดเด่นในเรื่องการคัดสรรวัสดุคุณภาพสูง และดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้สินค้าแต่ละชิ้นมีความพิเศษอย่างมากโดยเฉพาะคอลเลคชั่นที่เป็น Collaboration สำหรับลายกราฟิคที่เป็นซิกเนเจอร์คือรุ่น Classic Curve Logo สนนราคา $50 (1,xxx
เคยสงสัยไหมว่าความหลงใหลในสิ่งตัวเองรักของคนเรามันจะไปได้สุดทางมากแค่ไหน เราจะทำให้ความชอบของเราอยู่กับเราไปได้นานแค่ไหน นานมากพอจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตหรือเปล่า โลกใบนี้ของเรามีคน ๆ นั้นแล้ว คนที่เก็บเอาความชอบของเขาติดตัวไปจนวันสุดท้ายของชีวิตได้อย่าง “Zombie Boy” แต่น่าเสียดายที่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เขาเลือกที่จะบอกลาโลกใบนี้ไป UNLOCKMEN อยากจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น มากกว่าผู้ชายที่เต็มไปด้วยรอบสัก มากกว่าการเป็นนายแบบ หรือพระเอก MV มาดูกันว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องเดินทางผ่านอะไรมาบ้าง When I Was A Little Zombie พอจะเดากันได้บ้างแล้วว่า “Zombie Boy” เป็นเพียงนิกเนมตามรูปลักษณ์ของเขา ชื่อจริง ๆ ของเขาคือ Rick Genest เติบโตที่ Montreal, Canada ชีวิตส่วนตัวของเขาในตอนวัยรุ่นนั้นไปได้ไม่สวยสักเท่าไหร่ เขาเลือกที่จะออกจากบ้านมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง นอนตามพื้นที่สาธารณะ เดินทางไปไหนมาไหนด้วย Hitchhiking หรือเรียกง่าย ๆ ว่าติดรถคนอื่นเขาไปนั่นแหละ จนกระทั่งอายุ 16 เขาเริ่มสักเป็นครั้งแรก และเหมือนคนที่รักในรอยสักคนอื่น ๆ เมื่อมีรอยแรกแล้ว รอยอื่น ๆ จะตามมาเสมอ จนกระทั่งขยายไปถึงใบหน้าและทั้งศีรษะ
เราต่างมีวิธีหอบร่างกายและชีวิตไปข้างหน้าในรูปแบบของเราเอง บางคนรู้สึกว่าชีวิตกำลังก้าวไปข้างหน้าเรื่อย ๆ จากการทำเพื่อคนอื่น บางคนรู้สึกว่าชีวิตก้าวไปข้างหน้าจากการตามหาความฝัน ในขณะที่บางคนรู้สึกว่าชีวิตกำลังก้าวไปข้างหน้าเพราะการได้ทำสิ่งที่ตัวเองหลงใหลและเรียนรู้มันไปแบบไม่มีวันจบ “แพร-รัมภาพร วรสีหะ” เป็นหนึ่งในนั้น หนึ่งในคนที่เชื่อว่าการจะพาชีวิต ร่างกายและหัวใจแกร่ง ๆ ก้าวไปข้างหน้าได้คือการได้ทำในสิ่งที่หลงใหลแบบสุดจิตสุดใจ พร้อม ๆ กับเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากสิ่งนั้นไปด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอเชื่อในพลังของการถ่ายภาพเสมอ “เราถ่ายรูปโดยที่ไม่รู้ตัวหรอกว่าถ่ายอะไรไปบ้าง แต่พอเราจับรูปมาเรียงกัน มันจะบอกตัวตนเราหมดเลย” นั่นคือประโยคที่เราจำขึ้นใจ ใช่ นอกจากรูปถ่ายจะพาเธอก้าวไปข้างหน้าแล้ว รูปถ่ายมันยังร้อยเรียงกันจนเล่าเรื่องตัวตนของมนุษย์คนหนึ่งได้จริง ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่ UNLOCKMEN กระหายที่จะคุยกับเธอ ช่างภาพสาวที่เชื่อว่ารูปถ่ายคือการร้อยเรียงตัวตนและเชื่อว่าการถ่ายภาพมันพาชีวิตเธอก้าวไปข้างหน้าได้ ส่วนเราจะเชื่อแบบเธอหรือไม่ก็ตาม อย่าเพิ่งเค้นคำตอบตัวเองตอนนี้ ดำดิ่งกับบทสนทนาไปพร้อม ๆ กับเราก่อน เสพติดรูปถ่ายจนหยุดดูไม่ได้คือจุดเริ่มต้น แม้วันนี้ใครหลายคนจะรู้จักแพร-รัมภาพรในฐานะอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพและช่างภาพอิสระ แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ จุดเริ่มต้นในการจับกล้องของเธอก็ชวนให้เราเข้าใจวลีที่ว่า “หลงใหลจนเข้าขั้นเสพติด” “ชอบจริง ๆ ก็น่าจะเป็นตอนมัธยมปลาย มีเว็บบอร์ดหนึ่งที่จะมีคนเข้ามาโพสต์รูปถ่ายทุก ๆ วัน โพสต์รูปใบไม้ ต้นไม้ ไปเที่ยว เราเข้าไปดูเสร็จปุ๊บแล้วรู้สึกว่าติดมาก”เธอลากเสียงยาวจนเราอดอมยิ้มไม่ได้ “ติดในที่นี้ คือเราเลิกดูไม่ได้
ปัจจุบันกระแสการลงทุนการบริหารความมั่งคั่ง เป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่ต่างให้ความสนใจ ทว่าด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อน ความรู้ความเข้าใจในการลงทุนที่เรายังมีไม่เพียงพอ และคำว่า “ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน” จึงมาแตะเบรก ทำให้แม้เราจะอยากลงทุน แต่ก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยง เพื่อตอบโจทย์กระแสการลงทุนนี้ จึงเกิดเป็นเทรนช่องทางการบริการทางการเงินแบบใหม่ที่เรียกว่า Wealth Management หรือการบริหารความมั่งคั่งขึ้น โดยมี “Wealth Personal Banker” หรือผู้แนะนำการลงทุนที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการบริหารเงิน รับหน้าที่ดูแล ปกป้อง และเพิ่มพูนของมั่งคั่งให้กับเรา เพื่อเจาะลึกเบื้องหลังของอาชีพสุดท้าทายนี้ ทีมงาน UNLOCKMEN จึงมุ่งหน้าไปเสาะหาข้อมูลจากคนที่ทำอาชีพนี้และอยู่ในวงการนี้จริงโดยแวะเวียนมาที่ SCB Investment Center โดยได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ คุณก้อย – กาญจนา คล่องอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส SCB FIRST: SA, Executive and Professional Segment และผู้บริหารศูนย์ SCB Investment Center กรุงเทพฯ คุณปอย
“เบียร์มันขม พวกมึงกินกันไปได้ยังไงวะ” คือประโยคหนึ่งในวงเหล้าที่เป็นที่มาของการควานหาเรื่องเล่าเกี่ยวกับเบียร์มาเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้ อันที่จริงผู้เขียนไม่เคยตั้งข้อสงสัยกับรสชาติขมที่มีในเบียร์ เพราะชื่นชอบรสขมกับระดับความเมาที่น้อยกว่าการกินเหล้าเป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งริน ยิ่งคุย ยิ่งเฮ แต่พอมาคิดตามคำที่เพื่อนหรือสาว ๆ พูดก็น่าสนใจ เมื่อเบียร์มันเกิดขึ้นมานานกว่าหลายพันปี รสชาติ “ขมเข้ม” คนโบราณเขาควรจะคิดว่ามันเป็นยาพิษมากกว่าเป็นของที่นำมาดื่มกินได้หรือเปล่า สุดท้ายคำถามนี้มันนำมาสู่คำตอบที่บอกได้เลยว่า น่าทึ่ง เพราะเราเองก็ยังไม่เคยรู้มาก่อนหลายเรื่อง และหวังว่าเรื่องนี้จะสามารถไขข้อกระจ่างให้เอาไปเล่าต่อหรือตอบคำถามในวงเบียร์ได้ว่า “ทำไมพวกเราถึงกินเบียร์” “เบียร์แก้วแรกของโลกมันไม่ขม” เชิญพูดใส่หน้าเพื่อนรักของเราที่หันมาถามว่าคนเขากินไปได้ยังไงได้ทันที เพราะที่มาของความขมในเบียร์มันมาจาก “ดอกฮอปส์” ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการคิดค้นเบียร์มาแล้วราว 2,000 ปี ดังนั้น เบียร์แก้วแรกที่อุบัติขึ้นในโลกใบนี้มันเลยไม่ขม คนเขาก็เลยกินกัน แล้วเรายังสามารถต่อยอดด้วยการหันไปบอกเพื่อนได้ว่าเบียร์ไม่ขมมันก็มีให้เลือกดื่ม ลองดูก่อนแล้วจะติดใจ เบียร์จัดเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทแรกของโลกที่คิดค้นขึ้นโดยชาวบาบิโลเนียน อายุขัยของการคิดค้นเบียร์เล่าแบบหลวม ๆ เรื่องตัวเลขว่าเกิดขึ้นมาเป็นหลักพันปีแล้วจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งตามข้อมูลที่สืบค้นมาหลายแหล่งระบุตัวเลขไว้แตกต่างกันตั้งแต่ 3,000 ปีไปจนถึง 8,000 ปีเลยทีเดียว เบื้องหลังของเบียร์ขวดแรกว่ากันว่าเกิดขึ้นจากชาวนาคนหนึ่งที่บังเอิญไปชิมน้ำที่ทำขนมปังตกใส่สักระยะ (เหมือนบ่มโดยบังเอิญ) แล้ว…บูม! เกิดเป็นเบียร์โบราณขึ้นตอนนั้น เบียร์ไม่ใช่เรื่องของผู้ชาย ไม่ใช่แค่เรื่องการเกิดที่เกิดจากการกินอะไรแผลง ๆ ของคนโบราณอย่างเดียวที่น่าสนใจ แต่ประวัติศาสตร์ยังบันทึกไว้ด้วยว่าที่มาของรสชาติขมเฉพาะตัวของเบียร์มันเกิดจากผู้หญิง แถมสาวคนที่ใส่ดอกฮอปส์ลงในเบียร์ครั้งแรกยังเป็นแม่ชีอีกต่างหาก โดยแม่ชีท่านนี้บันทึกการสนับสนุนให้ไส่ดอกฮอปส์ลงในเบียร์ไว้ในหนังสือด้านสุขภาพของเธอตั้งแต่ราว ค.ศ.