ในวันที่เช้าฝนตกบ่ายแดดออกอย่างนี้ ผู้ชายอย่างเราจะปรับตัวอย่างไรถูก เปิดวันมาแบบโคตรเหงาโคตรหว่องชวนเหงาจับใจ แถมอดสงสัยไม่ได้ว่าตกลงที่เราเหงาเพราะฝนทำให้เราเหงา หรือเราเหงาด้วยเงื่อนไขอื่น ๆ อย่างความโสด ความเดียวดาย ความอ้างว้างกันแน่? โชคดีที่เราเกิดมาในยุคที่ไม่ต้องคาดเดาอะไรเองอีกต่อไปแล้ว เพราะมีงานวิจัยทางจิตวิทยาสังคมที่ศึกษากันมาตลอดหลายสิบปีที่จะช่วยให้เราเข้าใจเหตุผลว่าทำไมอารมณ์เราถึงปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพอากาศได้ดีขึ้น และเบื้องหลังความรู้สึกของผู้ชายอย่างเราที่เปลี่ยนแปลงไปมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น มา มาดูกันว่าฝนตกผมเลยเหงา หรือผมเหงาเพราะผมโสดกันแน่? ฝนตก ขาดแสงอาทิตย์ทำให้ผมติดอยู่กับความ SAD การขาดแสงอาทิตย์ในชีวิตคนเรานำไปสู่ความ SAD ที่ไม่ใช่แค่ความเศร้าแต่เป็น Seasonal Affective Disorder หรือความผิดปกติทางอารมณ์ตามฤดูกาล โดยความผิดปกติที่ว่านี้ก็มักจะเกิดขึ้นช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีแสงแดดมาให้เราอาบไล้ความร้อนแรงของชีวิต เพราะเมื่อผู้ชายสุดแข็งแกร่งอย่างเราได้สัมผัสแสงแดดน้อย ร่างกายก็จะผลิตเมลาโทนินมาก ซึ่งเมลาโทนินนี้กระตุ้นให้เกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน แถมยังลดระดับเซโรโทนินที่มีผลเรื่องความต้องการทางเพศไปอีก! จึงไม่แปลกที่พอฝนตกแล้วเราจะเหงา จะง่วง จะติดบ่วงความเศร้า แต่ไม่ใช่เพราะเราโสด (เสียใจด้วยนะ) ฝนตก อุณหภูมิลด ร่างกายผมก็หดเหี่ยว เมื่อฝนตก อุนหภูมิก็ลดต่ำลงไม่ร้อนตับแตกเหมือนก่อนฝนตก ด้วยอุณหภูมิที่ลดลงนี่เองที่เป็นตัวการทำให้การตอบสนองทางประสาทสัมผัสของเราลดประสิทธิภาพการทำงานลง ยังไม่ใช่แค่นั้น เพราะ ความคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การไหลเวียนของโลหิตทำงานได้ต่ำลงด้วย ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามาจะบอกว่ามันทำให้ร่างกายหดเหี่ยวก็คงไม่ผิดเพี้ยนไปมากนัก เพราะมันทำให้ประสิทธิภาพการทำงานทางกายภาพของเราลดลงฮวบฮาบนั่นเอง ฝนตกเป็นสาเหตุให้ผมหาอะไรยัดเข้าปากมากขึ้น! อย่างที่เราบอกไปว่าเมื่อวันฝนตก ก็มักเป็นวันที่ขาดแสงแดด และมันส่งผลให้ระดับเซโรโทนินลดลง และการที่เซโรโทนินลดลงร่างกายก็มีความต้องการคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้น!
แม้ว่าคอนเซ็ปต์แฟชั่น Your everyday runway ที่ได้ยินอยู่บ่อย ๆ จะทำให้ผู้ชายอย่างเรา ๆ เพลิดเพลินเจริญสายตา กับการได้มองสาว ๆโชว์สไตล์ผ่านเสื้อผ้าหน้าผมที่น่าสนใจมากขึ้น แต่สิ่งที่มาคู่กับความสวยแซ่บที่คอยกวนใจ และทำให้พวกเราต้องกุมขมับ คงหนีไม่พ้นชุดของพวกเธอที่เพิ่มเลเวลความยากในการปลดพันธนาการจังหวะเผด็จศึกได้ยากขึ้นกว่าเก่า ดังนั้นเพื่อไม่ให้คืนเดทของชาว UNLOCKMEN ต้องสะดุด เราจึงขอแนะนำวิธีถอดชุดแต่ละประเภทของสาว ๆ มาฝากกัน บวกด้วยกิมมิคเล็ก ๆ ช่วยพิชิตใจเธอเข้าไปด้วย รับรองว่าคืนนี้จะต้องเป็นคืนที่สร้างความประทับใจให้กับเธอคนนั้นได้แบบยิงยาวชัวร์ป้าป T-SHIRT / เสื้อยืด การถอดเสื้อยืด ไม่ว่าสาว ๆ จะอยู่ในอิริยาบถไหนก็ตาม ให้เริ่มจากดึงชายเสื้อยกขึ้นแล้วถอดออกทางศีรษะตามวิธีปกติ อันนี้ไม่ซับซ้อนขอแค่อย่าทำงก ๆ เงิ่น ๆ จนเสียบรรยากาศ ถอดปกติไปแบบไม่ต้องทิ้งจังหวะแล้วดึงออกทางศีรษะอย่างนุ่มนวล แต่วิธีนี้พอปลดเสื้อออกแล้วควรเอามือเสยผมจัดทรงให้เธอน้อย ๆ เพราะมันทำให้เธอรับรู้ได้ถึงความใส่ใจและความอ่อนโยน เนื่องจากผู้หญิงทุกคนใส่ใจในรูปลักษณ์ของตัวเองทั้งนั้นโดยเฉพาะเวลาสำคัญแบบนี้ LEGGINGS or STOCKING / เลคกิ้งหรือถุงน่องแนบเนื้อ ท่อนล่างตระกูลแนบเนื้อปราบเซียนแบบนี้ จะปลอดอุปสรรคในการถอดถ้าจับเธอนั่งท่าหันหน้าเข้าหาตัวคุณบนตัก หรือกดเธอนอนราบกับเตียง แม้ชิ้นนี้หลายคนยังกังวลเพราะมองดูแน่นถอดยาก บางคนอาจจะเคยจิกพลาดเข้าเนื้อสาวจนเลือกซิบ แต่ความจริงแค่เลื่อนมือสองข้างขนาบบั้นเอวแล้วยกตัวเธอขึ้นเบา ๆ
ไม่รู้ว่าอยากจะสร้างกระแส หรือว่าต้องการจะสื่ออะไรสำหรับแบรนด์ fast-fashion ชื่อดังจาก Sweden อย่าง H&M ที่เมื่อไม่นานมานี้ ได้ทำการเปิดตัวคอลเลคชั่นสำหรับเด็กในเครือประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งสินค้าดังกล่าวได้มีรูปภาพเด็กผิวสีสวมเสื้อฮู้ดสีเขียว พร้อมลายกราฟิกข้อความว่า “Coolest Monkey in The Jungle” ที่ชวนให้คิดว่ามันเป็นการจงใจของ Art Director โปรเจคต์นี้หรือเปล่า? เมื่อภาพดังกล่าวเป็นการประกบคู่กับเด็กผิวขาวในเสื้อที่มีคำว่า “Mangrove Jungle, Survival Expert” หลังจากภาพนี้เผยแพร่ออกไปก็เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักบนโซเชียลมีเดีย ทั้งทาง Twitter และ Facebook เนื่องจากเข้าข่ายการเหยียดสีผิว เพราะความหมายของเสื้อมันสื่อไปในเนื้อหาที่ว่า เด็กผิวสีต้องติดอยู่ในป่า แต่เด็กผิวขาวกลับรอดชีวิตออกมาได้ จนทำให้ H&M ต้องถอนภาพโปรโมตนี้ออกมาจากสื่อโฆษณา รวมถึงบนเว็บไซต์ตัวเองทั้งหมด พร้อมออกแถลงการณ์ขอโทษถึงความรู้เท่าไม่ถึงการ แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อนเมื่อ ดารา เซเลบริตี้ผิวสี ทั้งหลายได้ประกาศบอยคอตต์ขอไม่ร่วมงานกับ H&M อีก แม้กระทั่ง The Weeknd ที่เคยมีโปรเจคต์คอลเลคชั่นพร้อมสัญญาก้อนใหญ่กับทางแบรนด์ ยังตัดสินใจใช้ Twitter ส่วนตัวเพื่อประกาศว่า “ผมตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกช็อค และละอายใจอย่างมากกับรูปนี้ แต่ผมคงต้องบอกว่าหลังจากนี้คงจะไม่มีการร่วมกับ H&M อีกต่อไป”
ไม่ว่าใครก็คงจะเคยได้ยิน Concept ของเหล่าชาว Rock ตัวจริง ที่นำมาซึ่งคำจำกัดความสไตล์การใช้ชีวิตแบบ Rockstar ของพวกเขาด้วยคำว่า “Sex, Drug, Rock n’ Roll” กันมาบ้างอย่างแน่นอน หลายคนเคยได้ยินได้ฟังมา แต่ไม่รู้ว่า มันเกี่ยวข้องอะไรกับดนตรี Rock ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่แค่เกี่ยวข้องธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่มันเรียกได้ว่า โคตรพ่อ โคตรแม่เกี่ยวกันเลยก็ว่าได้ เพราะคำว่า “Sex, Drug, Rock n’ Roll” ที่เหมือนจะไร้ความหมาย และดูเป็นการกระทำที่ไร้สาระนี้ ที่จริงแล้ว มันหมายถึง วีถีชีวิตของเหล่าศิลปิน Rock ที่โด่งดัง หรือประสบความสำเร็จมาก ๆ โดยคนเหล่านั้นมักจะถูกเรียกว่า Rockstar อันเป็นศิลปิน Rock ผู้ที่ได้รับความนิยมจากคนทั่วไป ออกเพลงใหม่เพลงไหนก็ดังทุกเพลง การประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องยาวนานนี้เอง ที่ทำให้ศิลปินเหล่านี้ ถูกนำไปเปรียบเทียบกับดาวที่สว่างไสวอยู่บนฟ้า และไม่มีวันร่วงหล่นหรือมอดดับลง ดังนั้น เมื่อเป็นคนที่ประสบความสำเร็จค้างเติ่งอยู่ได้เนิ่นนานขนาดนั้น ชีวิตของพวกเขามันคงจะต้องมันส์ และสุดไปในทุก ๆ
การก้าวขึ้นมาในตำแหน่งผู้นำประเทศ หรือประธานาธิบดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่นักการเมืองผู้ที่คุ้นเคยกับเส้นทางนี้ ยังต้องทำทุกวิถีทางทั้งขาวทั้งดำ เพื่อก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในการบริหารประเทศแบบนั้นได้ และเมื่อไม่นานมานี้มีเรื่องน่าสนใจ ไม่ใช่ประเทศไทยกับสแตนดี้นายก หรือคำขวัญวันเด็ก แต่เรากำลังหมายถึงประเทศ Liberia ที่ได้ทำการประกาศผลเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดออกมา ผลปรากฏว่าผู้ที่ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ หาใช่นักการเมืองไม่ แต่คืออดีตนักฟุตอาชีพชื่อดัง ที่ผลักดันชีวิตตัวเองมาจากครอบครัวที่ยากจน นามของเค้านั้นคือ ‘George Weah’ ชีวิตที่พลิกผันได้ขนาดนี้ย่อมน่าสนใจ ไปทำความรู้จักเรื่องราวชีวิตของชายคนนี้กันดีกว่า ว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องผ่านมาบ้างระหว่างทาง กว่าจะประสบความสำเร็จอย่างวันนี้ จุดเริ่มต้น George Weah เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1966 ในย่านอาศัยเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า Clara Town, Monrovia, Liberia ตามประสาของเด็กที่ยากจนส่วนใหญ่ในประเทศโซนทวีปแอฟริกา การหาความสุขใส่ตัวที่เขาพอจะทำได้ ก็คือการเล่นฟุตบอลข้างถนนกับเพื่อน ๆ นั่นเอง ชีวิตช่วงแรกของ Weah เขาคิดจะใช้การศึกษาเป็นทางออกจากความยากจน แต่ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ เขาก็ได้อาศัยความสามารถในการเล่นฟุตบอล ขอทุนเพื่อศึกษาต่อ จนได้เริ่มเล่นกับทีมต่าง ๆ ในท้องถิ่น และมาลงท้ายกับ ทีม Invincible Eleven และที่นี่เองที่
เรื่องขนาดอาจไม่สำคัญ แต่ลีลามันส์ ๆ เป็นเรื่องห้ามพลาด ยิ่งรู้เขารู้เรารบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง โดยเฉพาะสมรภูมิสุดคลั่งอย่างสมรภูมิรักยิ่งยอมรับตัวเองมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ใจสาว ๆ มากเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าเล็กก็ยอมรับว่าเล็กเถอะ! แมน ๆ คุยกัน แล้วหาท่วงท่าสำคัญ ๆ ไปทำให้ขนาดกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญไปเลย จากงานวิจัย Am I normal? A systematic review and construction of nomograms for flaccid and erect penis length and circumference in up to 15,521 men พบว่าความยาวเฉลี่ยของน้องชายนั้นอยู่ที่ 5.16 นิ้ว เอาล่ะ ถ้าแอบเอาสายวัดมาวัดดู ๆ แล้วน้องชายของคุณดันมีขนาดเล็กกว่าค่าเฉลี่ย ก็แสดงว่าคุณมีไซส์ที่ไม่ใหญ่นัก แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งร้องไห้ฟูมฟายไป เพราะก็มีการศึกษาหลาย ๆ ชิ้นที่ยืนยันว่าผู้หญิงเห็นว่าขนาดนั้นไม่ได้สำคัญเท่าลีลา (หรือองค์ประกอบอื่น ๆ )
การเลือกโทนสีเสื้อผ้าให้เหมาะกับสีผิวนั้น เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญในการแต่งตัวออกมาให้ดูดี เพราะถ้าเกิดคุณเป็นคนผิวขาวมาก ๆ และยิ่งใส่เสื้อผ้าที่ทำให้ดูซอฟ์ทลง อาจจะเป็นการเน้นย้ำความขาวจนออกไปทางซีด ให้คนอื่นพาลคิดได้ว่าคุณกำลังป่วยอยู่หรือเปล่า ซึ่งจริง ๆ แล้ววิธีการเลือกโทนเสื้อผ้านั้นไม่ใช่เรื่องยากสลับซับซ้อนอะไรอย่างที่คิด เพียงแค่คุณต้องรู้จักพิถีพิถันใส่ใจกับไอเทมต่าง ๆ สักนิดหนึ่ง โดยก่อนอื่นต้องมาสำรวจร่างกายว่าอยู่ในลักษณะใด แต่ถ้าใครเกิดยังไม่รู้ต้องเลือกยังไง วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN หาวิธีการเลือกสีของเสื้อผ้าเพื่อให้เหมาะกับสีผิวตัวเองมากที่สุดมาฝากกัน สีผิวนั้นส่งผลกับการแต่งตัวในระดับหนึ่ง มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะมีสีผิวขาวสว่าง หรือจะผิวเข้มขนาดไหน แต่มันคือการที่เรารู้จัก Balance สีผิวโทนเย็น และโทนอุ่นของตัวเรา ซึ่งการแต่งกายก็เหมือนกับการถ่ายภาพ เพราะอารมณ์จากสีเสื้อผ้าพอมันมาตกอยู่กับผิวก็จะให้อารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป เหมือนสีของภาพถ่ายที่โทนเปลี่ยน อารมณ์ก็เปลี่ยน สังเกตเส้นเลือดบริเวณข้อมือ ก่อนอื่นเราจะต้องทำความรู้จักกับสีผิวของตัวเองเสียก่อน ซึ่งหลายครั้งเราอาจจะคุ้นเคยกับการเรียกแบบเหมารวมอย่างเช่น ผิวขาว ผิวเหลือง ผิวเข้ม โดยอันที่จริงแล้ววิธีการเรียกแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง 100 % เนื่องจากการแบ่งแยกตามนี้มักจะมีข้อโต้เถียงมากมาย ขาวแบบไหน คล้ำประมาณไหน ดังนั้นตามหลักแล้วสีผิวของมนุษย์เราสามารถแบ่งออกได้เพียงสามเฉดดังต่อไปนี้ Cool tone หรือเรียกว่าคนผิวโทนเย็น วิธีการให้เราสังเกตที่บริเวณเส้นเลือดใหญ่ของข้อมือจะมีสีน้ำเงิน และสีม่วง โดยผิวของคนผิวโทนเย็นจะเป็นสี ชมพู แดง ซึ่งผิวแบบนี้ไม่ค่อยมีในผู้ชายไทยเท่าไหร่นัก ใครมีถือว่าเป็นแรร์ไอเทมมาก ๆ Warm Tone หรือสีโทนอุ่น
“เมื่อพูดไปแล้ว…คำพูดถือเป็นนายของเรา” วลีอมตะของ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณอดีตนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของประเทศไทย ยังคงเป็นคำวาทะที่ใช้เตือนสติในการนำดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดีเสมอมา ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ยุคกี่สมัย เพราะจะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวันที่ต้องมีการพบปะสื่อสารกันระหว่างมนุษย์ วาจาถือเป็นเครื่องมือที่เราใช้สะท้อนความคิด ทัศนคติ นิสัยใจคอ และบางครั้งการพูดเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถส่งผลกระทบได้ในวงกว้าง ดังนั้นเราจึงควรให้เวลากับตัวเอง ตั้งสติไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนที่จะพูดอะไรออกไปสักหนึ่งคำ เพราะไม่แน่ว่าสิ่งเหล่านั้นอาจจะกลายมาเป็นเงาตามตัวหลอกหลอนคุณไปตลอดเวลา เราขอยกหนึ่งตัวอย่างของการแสดงความคิดแบบสุดโต่ง และเชื่อว่าน่าจะไม่ผ่านกลั่นกรองประเมินความเสียหายที่จะมีผลกระทบตามมาเสียก่อน จากประธานาธิบดีคนที่ 45 ของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง Donald Trump ที่เคยแสดงจุดยืนแข็งกร้าวเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ และสีผิวผ่านสื่อ จนเกิดเป็นพลังของมวลประชาในการต่อต้านเขามาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งเหตุการณ์สำคัญที่เป็นอีกไฮไลต์ให้เกิดกระแสต่อต้านในตัว Donald Trump อย่างมากคือตอนที่เขาตำหนินักกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่คุกเข่าไม่ยอมยืนตรงเคารพธงชาติระหว่างร้องเพลงชาติ เนื่องจากคิดว่าการกระทำนี้เป็นการไม่รักชาติ พร้อมเรียกร้องให้แฟนกีฬา รวมถึงสมาคม NFL บอยคอตต์ทีมต่าง ๆ และสนับสนุนให้แบนนักกีฬาเหล่านั้นออกจากการแข่งขัน หลังจากข้อความนี้ถูกส่งออกไป ได้เกิดกระแสต่อต้านคำพูดของ Donald Trump ถึงการเหยียดหยามสร้างความแตกแยกในสังคม และกลับกลายเป็นว่านักกีฬา NFL ทุกคนตัดสินใจคุกเข่าเคารพธงชาติ เพื่อแสดงสัญลักษณ์ความเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้ว่าเรื่องดังกล่าวจะผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่มันก็เป็นเหมือนเงาตามตัวที่คอยหลอกหลอน Donald Trump เพราะตลอดเวลาเขาจะถูกจับจ้องว่าทำได้ตามอย่างที่ตัวเองพูดหรือเปล่า แสดงออกถึงความรักชาติอย่างที่ประกาศจุดยืนไว้ไหม จนกระทั่งล่าสุดหลังจากที่ประธานธิปดี Donald Trump มีวาระต้องเดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดงานฟุตบอลระดับ
ผู้ชายอย่างเราล้วนแต่รู้สึกว่ามีงานล้นมือล้นหัวจนต่อให้มี 10 มืออย่างทศกัณฐ์ก็คงแอบบ่นว่าทำไม่หมดอยู่ดี ในทางกลับกัน CEO ระดับโลกอย่าง Elon Musk ล่ะ? งานผู้ชายคนนี้จะล้นมือขนาดไหน? เขาทำบริษัทอะไรบ้าง? โปรเจ็กต์กี่ล้านอย่างในหัว? แล้วเขาทำทั้งหมดนั้นในหนึ่งช่วงชีวิตได้อย่างไร? 85 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ คือเวลาชีวิตที่ Elon Musk มอบให้งาน ถ้าเรารู้สึกว่านักธุรกิจ CEO มหาเศรษฐีอย่าง Elon Musk จะใช้ชีวิตลูกผู้ชายอย่างสุขสบายบนกองเงินกองทองและบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นมาอย่างสุขสบาย เห็นทีจะคิดผิดมหันต์ เพราะไม่ใช่แค่ทำงาน แต่เขาทำงาน 80-85 ชั่วโมงต่อสัปดาห์! จินตนาการถึงการทำงานประจำของคนทั่วไปอย่างเรา ๆ กันดูหน่อยไหม? เราทำงานวันละ 8 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์ ก็เท่ากับว่าในแต่ละสัปดาห์เราทำงานเพียง 40 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ใน 40 ชั่วโมงของเราก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า การรู้สึกว่าทำงานไม่ทันจนอยากจะลาออกจากความเป็นเราอยู่ร่ำ ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ แล้ว Elon Musk ทำอย่างนั้นได้อย่างไร? นอกจากการนอนเป็นเวลาแค่ 6 ชั่วโมง
เราได้ก้าวผ่านเสียงเพลงบนนวัตกรรมมามากมาย ตั้งแต่แผ่นเสียง เทป แผ่นซีดี หัวใจหลักของการฟังเพลงในยุค 00’s มาสู่ของสะสมในยุคปัจจุบัน อะไรทำให้สถานะของ “เทปและซีดีเพลง” เปลี่ยนไป แม้อนาคตของเทปเพลงคาสเซ็ทจะหมดหวัง แต่สถานะของซีดียังคงอยู่ได้แม้ในวันที่ Music Streaming เข้ามาแทนที่ ยุคล้านตลับ หากจะวัดความนิยมของศิลปินในช่วงปี 2000 นอกจากชาร์ทติดอันดับ คงไม่พ้นนับจากยอดขายเทปและแผ่นซีดี หลายคนคงคุ้นหูกับคำว่า “ยอดขายล้านตลับ” เป็นอย่างดี ยิ่งศิลปินคนไหนมียอดขายซีดีได้ถึงหนึ่งล้านก็อปปี้ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความนิยมของผู้ฟัง ศิลปินชื่อดังหลายคนได้มีโอกาสพาอัลบั้มของตัวเองไปแตะล้านตลับหลายอัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็น “เบิร์ด ธงไชย” ที่การันตีความเป็นซุปตาร์ในวงการเพลงด้วยล้านตลับทุกอัลบั้ม “นิโคล เทริโอ” “ลิฟต์ ออยล์” “โบสุนิตา” “พลพล” และอีกมากมายนับไม่ถ้วน ถือว่าช่วงนั้นถ้าอัลบั้มไหนมีเพลงดัง โอกาสที่จะขายได้ล้านตลับเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลย เพราะไม่ว่าจะเปลี่ยนปก อัลบั้มพิเศษ อัลบั้มเพลงยอดนิยมประจำปี ก็มักขายได้ถึงล้านตลับเช่นกัน และในช่วงนั้นทั้งคนฟังเพลง และแฟนคลับเอง นอกจากการยกพวกกันไปสนับสนุนทุกงานคอนเสิร์ต รวมถึงการช่วยกันโทรไปโหวตขอเพลงเพื่อให้ศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบติดชาร์ทอันดับสูง ๆ ก็มักจะใช้ซีดีเป็นช่องทางในการฟังเพลงจากศิลปิน และซัพพอร์ตศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยสำหรับยอดขายเจ็ดหลักต่ออัลบั้ม แต่ถ้าเอาเทียบกับยอดวิวล้านวิวใน YouTube การทำยอดขายล้านตลับได้ มันช่างมีความยิ่งใหญ่มากกว่า