RAIMON LAND ผู้นำวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ส่งเสริมการมีสุขภาวะที่ดี หรือ Well-Being เน้นการมีสุขภาวะที่ดีอย่างแท้จริงเพราะเชื่อว่านี่คือความยั่งยืนที่เริ่มได้จากตัวเอง หนึ่งในเป้าหมายสำคัญขององค์กรระดับประเทศอย่าง RML ยึดถือและผลักดันมาตลอดคือ Good health and Well-being ที่ไม่เพียงแต่เริ่มต้นจากองค์กรเท่านั้น แต่ยังต้องการให้มีการขยายสู่สังคมวงกว้างให้มากที่สุด โดย กรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพร้อมด้วย พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร และเหล่าเซเลปที่มาร่วมงานมากมายอาทิ วราวุธ เลาหพงศ์ชนะ, อัครรัฐ วรรณรัตน์, ปวริศา เพ็ญชาติ, เฌอปัฐน์ กิตติพรวริษฐ์ และ สาริษฐ์ ตรัยเลิศวิเชียร กรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML กล่าวว่า “ในปัจจุบันอย่างที่ทราบกันดี คนทั่วโลกเริ่มหันมาใส่ใจคุณภาพชีวิต และการดูแลสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้นโดย
นักลงทุน Crypto และนักสร้าง NFT อาจจะไม่ชอบมุมมองของ Bill Gates ที่มีต่อทรัพย์สิน Digital ทั้งสองประเภทนี้แน่ ๆ เพราะในการสัมภาษณ์ล่าสุด Bill Gates โจมตีอย่างเจ็บแสบว่า NFT เป็นการลงทุนบนหลักการณ์หลอกขายคนโง่กว่า เพราะเป็นโลกของสินทรัพย์ไร้มูลค่าและสาระที่ไม่สนใจว่าราคาจะ Overpriced ไปแค่ไหน ก็ยังจะมีคนยินดีจ่ายเงินจำนวนที่มากกว่าโดยหวังว่าจะขายทำกำไรได้อย่างไม่รู้จบ Bill Gates ให้สัมภาษณ์ไว้ในงาน TechCrunch โดยมีมุมมองต่อการลงทุนเหมือนกับ Warren Buffett เพื่อนซี้มหาเศรษฐีว่า Gates สนใจการลงทุนในทรัพย์สินที่มีผลผลิตจับต้องได้ และมีผลต่อชีวิตประจำวันของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นฟาร์มหรือการผลิตอะไรออกมาสักอย่าง ซึ่งเจ้าตัวไม่เคยเกี่ยวข้องหรือลงทุนในทั้ง Crypto และ NFT แม้แต่ครั้งเดียว เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาเพื่อให้คนรวยใช้เลี่ยงภาษีรวมถึงข้อบังคับต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยใช้คนทั่วไปเป็นเครื่องมือผ่านการลงทุน “คุณคิดว่ารูปลิง Bored Ape Yacht Club ในออนไลน์ที่มีมูลค่ามหาศาล มันแพงเพราะอะไร มันทำอะไรได้ มันคำนวณมูลค่ายังไง และมันช่วยทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นได้ยังไง?” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Bill Gates
สำหรับใครที่อยู่ในแวดวงอสังหาฯ น่าจะพอรับรู้ได้ถึงสัญญาณของตลาดที่กำลังกลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยความเคลื่อนไหวของ Developer ทั้งค่ายเล็ก ค่ายใหญ่ ที่ต่างก็เดินหน้าเปิดกลยุทธ์พร้อมลุยศึกแย่งชิงตลาดกันอย่างดุเดือด ซึ่งผู้นำวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่อย่าง RAIMON LAND (ไรมอน แลนด์) ก็เป็นอีกรายที่พร้อมลุยศึกใหญ่ครั้งนี้ โดยความเคลื่อนไหวของไรมอน แลนด์ ครั้งล่าสุดนั้นไม่ใช่แค่การเปิดเกมรุกเพื่อยึดพื้นที่ตลาดลักซ์ชัวรี่ในไทยเท่านั้น แต่ยังถือเป็นการยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยเป้าหมายในการเป็น Developer เจ้าแรกในไทย ที่พร้อมมอบความพิเศษเฉพาะตัวให้กับลูกค้าในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Luxury Reimagined” โดย คุณ ‘กรณ์ ณรงค์เดช’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า “สำหรับการดำเนินธุรกิจ บริษัทเดินหน้าตามแผนการรีแบรนด์ ยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เข้าถึงง่าย ทันสมัยมีสไตล์มากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับการปรับวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ใหม่ของไรมอน แลนด์ ภายใต้คอนเซ็ปท์ Luxury Reimagined เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงคนเจเนอเรชั่นใหม่ ตอกย้ำความเป็นผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ ด้วยการออกแบบระดับเวิลด์คลาสที่ผสมผสานเทคโนโลยีรวมถึงนวัตกรรมที่ทันสมัยในทุกโครงการ” “นอกจากนี้ทางไรมอน แลนด์ จะยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ทั้งงานออกแบบตกแต่งภายใน ภายนอก งานภูมิสถาปนิก
Nov 25, 2021 มี Tweet ระบุช่องโหว่และบอกวิธีที่สามารถโจมตี TerraUSD alogrithm ระบบของ LUNA และ USDT ด้วยวิธีของ George Soros และเงินทุนราว $1 Billion USD แต่แทนที่ Do Kwon จะรับฟังและตรวจสอบไอเดียว่าทำได้จริงหรือไม่ เขากลับตอบด้วยประโยคที่เจ้าตัวใช้เป็นประจำว่า “ถ้าไม่ฉลาด ก็เงียบปากไปซะ ไหนใครเป็น Billionaires ลองทำแบบที่มันบอกหน่อย แล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น” และยังมีอีกหลายต่อหลายครั้งที่ Do Kwon โต้ตอบกับผู้คนด้วย tweet ที่ดุเดือดและจองหอง ไม่ว่าจะเป็นการเหยียดหยามคนอื่นว่าจน โง่ หรือเรียกคนที่วิจารณ์ระบบ Terra ว่าเป็นพวกแมลงสาบ ระยะเวลาแค่ 5 เดือนผ่านไป ดูเหมือนสิ่งที่ Do Kwon เคยท้าทายเอาไว้ด้วยความมั่นใจในระบบของตัวเองมากเกินไปจนมองข้ามปัญหา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า TerraUSD algorithm ถูกโจมตีจนทุกอย่างที่ Do Kwon สร้างขึ้นมาพังพินาศยับเยิน
ปัญหาที่ Netflix กำลังเจออยู่ตอนนี้ เรียกได้ว่ามาจากความสำเร็จอย่างสูงที่ตัวเองสร้างขึ้นมา การทำให้วัฒนธรรมดูหนัง Streaming กลายเป็นวัฒนธรรมหลักไปทั่วโลก เพียงแต่จากที่ Netflix เคยเป็น Streaming platform เจ้าใหญ่ที่เกือบจะกินรวบตลาด วันนี้กลับมีคู่แข่งที่น่ากลัวเกิดขึ้นมากมาย มีจุดเด่นด้าน Content ไม่แพ้ Netflix ในราคาที่ถูกกว่า หลายคนน่าจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับช่วงเวลาที่แสนท้าทายของ Netflix ในรอบ 10 ปี หุ้นก็ร่วง รายได้ก็ลด ลูกค้าก็ค่อย ๆ หายไป จนต้องเตรียมแผนจะจัดการกับระบบ password sharing ซึ่งตัว Netflix เคยเป็นคนบอกเองว่าดี แต่เรากลับมองว่าวิธีแก้ปัญหารายได้ด้วยการห้ามแชร์ password จะทำให้ผู้คนอยากจ่ายเงิน subscribe ให้ Netflix จริงหรือ? น่ากลัวว่าจะยิ่งยกเลิกแล้วไปสมัครเจ้าอื่นที่มี Original Content ดี ๆ ระดับคุณภาพ 4K อย่าง HBO Go, Disney+ ค่ายเจ้าของลิขสิทธิ์อย่าง Paramount,
เรียบร้อยโรงเรียน Elon Musk ในที่สุด Twitter ก็ยอมรับข้อเสนอการเข้า take over รวมถึงอำนาจการควบคุมทั้งหมดด้วยอภิมหาดีลมูลค่า $44 billion USD คิดเป็นเงินไทยราว 1.5 ล้านล้านบาท (1,502,446,000,000) ซึ่งเป็นราคาหุ้นละ $54.20 ตามที่ Elon เคยเสนอเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา แบ่งเป็นเงินกู้จำนวน $25.2 billion และเงินส่วนตัวราว $21 billion นับเป็นราคาต่อหุ้นที่มี premium กว่าราคาตลาดถึง 38% การเข้าซื้อ Twitter ของ Elon Musk เป็นความต้องการ unlock ศักยภาพของ Social Media ให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ใหม่ ๆ การปรับ algorithms แบบ open source ให้นักพัฒนาเข้าถึงได้ การกำจัด spam bots
“ต้องทำงานให้หนัก ไม่มีหยุดพัก ไม่ต้องคบใคร แล้วคุณจะประสบความสำเร็จ” หากใครฟังไลฟ์โค้ชบ่อย ๆ น่าจะคุ้นกับประโยคปลุกใจทำนองนี้ ซึ่งอาจจะมีส่วนถูกอยู่บ้างบางส่วน เช่นการทำงานที่ช่วยพัฒนาตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมสร้างโอกาสให้เราได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน หรือในภาวะเศรษฐกิจทรุด ค่าเงินเฟ้อ หลายคนต้องทำงานอย่างหนักหลายช่องทางเพื่อหารายได้เสริม หรือบางคนอาจจะมีค่านิยมว่าต้องทำงานให้หนักอยู่เสมอ ตัวเองถึงจะมีคุณค่า ไม่ว่าคุณจะทำงานหนักด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หากรู้สึกว่ามันหนักเกินไปจนชีวิตของคุณกำลังพัง แปลว่าคุณกำลังเจอกับอาการ “Toxic Productivity” Toxic Productivity คือความพยายามเป็นคน Productive ตลอดเวลา ไม่คิดจะหยุดพัก แม้ว่างานของวันนี้จะถูกเคลียร์ไปหมดแล้วก็ตาม เป็นสิ่งที่พบเห็นได้มากในกลุ่ม Manager level ขึ้นไป ซึ่งอยู่ในช่วงสำคัญที่ต้องการสร้างผลงานเพื่อเลื่อนขั้นต่อไป หรือ Freelance ที่รับงานมากเกินไป เพราะการมีลูกค้าเข้ามาว่าจ้าง หมายถึงความสามารถที่เหนือกว่าคู่แข่ง และเป็นช่วงกอบโกยรายได้ จะเห็นว่าการนำคุณค่าของตัวเองไปวัดกับประสิทธิภาพการทำงาน จะยิ่งก่อให้เกิดความเครียดจากวงจรการทำงานที่ไม่มีวันหยุดพัก ยิ่งทำงานได้มาก ยิ่งงานออกมาได้ดี ยิ่งแสดงถึงคุณค่าของตัวเองมากขึ้น เพื่อให้หัวหน้าและลูกน้องมองเห็นความสำคัญในการมีอยู่ซึ่งตัวตนแบบอย่าง หากไม่มีงาน เราจะรู้สึกว่าไม่เหลืออะไรในชีวิตให้ทำอีกเลย และเมื่อไหร่ที่นั่งว่างงานเฉย ๆ ระหว่างวัน กลับทำให้รู้สึกว่าเป็นคนขี้เกียจ ด้อยคุณค่าในตัวเองลงไป นอกจากนี้การ Work from home
พวกเราต้องเจอกับ Presentation มาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าจะเป็น PowerPoint หรือ Keynote ก็ตาม หลายครั้งที่เราพยายามตั้งใจดูสไลด์พร้อมกับฟังคำอธิบายในการประชุมอย่างจดจ่อ กลายเป็นว่าสมองยิ่งสับสน ไม่สามารถจดจำเนื้อหาอะไรได้เลยแม้แต่ท่อนเดียว ถ้าคุณเป็นแบบนี้บ่อย ๆ อย่าพึ่งโทษตัวเอง หรือโทษลูกน้องของคุณ เพราะวิทยาศาสตร์ได้อธิบายเหตุการณ์นี้เอาไว้ว่า สาเหตุนั้นมาจากวิธีทำ Presentation เอง การทำสไลด์ที่น่าเบื่อ มีตัวหนังสือพรืดเต็มหน้าจอ พร้อมกับการพูดอธิบายข้อมูลที่ซับซ้อน ทำให้สมองของคนฟังต้องทำงานตีความหมายจากสอง inputs ไปพร้อม ๆ กันแบบ multitasking มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว Presentation ที่ดี ไม่ควรมีความซับซ้อน หากใครเคยเห็น Presentation ที่เต็มไปด้วยข้อความหรือ bullet ยิบย่อยมากมาย และคน present ก็พูดอธิบายข้อความเนื้อหาจำนวนมากไปพร้อม ๆ กัน แทนที่จะช่วยย้ำหรืออธิบายข้อมูลให้เข้าใจง่าย กลับกลายเป็นการเพิ่มโหลดให้สมองส่วนจดจำข้อมูล เพราะในขณะที่ตาเราจ้องอ่านข้อความบนสไลด์เพื่อตีความหมาย หูของเราก็ฟังคำอธิบายที่แตกต่างจากบนสไลด์เพื่อตีความหมายไปพร้อม ๆ กัน เมื่อหูและตาเจอกับข้อความที่แตกต่างกัน รวมถึงการเสียสมาธิเพราะต้องสลับโฟกัสระหว่างคำพูดและข้อความบนสไลด์ ทำให้เกิดการส่งข้อมูลที่ซับซ้อนไปสู่สมองจากคนละประสาทสัมผัส ผลคือสมองของเราจะเหนื่อยล้า สมาธิหลุด ส่งผลให้เรารู้สึกเบื่อการประชุม และลืมข้อมูลไปจากความทรงจำอย่างรวดเร็ว
“แสนสิริ” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ผนึก “ขายหัวเราะ” แบรนด์คาแรคเตอร์การ์ตูนดัง ความฮาสามัญประจำบ้านอันดับ 1 ของไทย เปิดตัวแคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” ต่อยอดความสำเร็จปี ’64 ชูกลยุทธ์ ความฮาขยายฐานมัดใจคนทุกกลุ่มทุกเจนฯ รุกโปรโมชั่น-ข้อเสนอสุดพิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อน เขย่าวงการอสังหา นำทีมเรียกเสียงหัวเราะและความสุขโดย เศรษฐา ทวีสิน บอสใหญ่แห่งแสนสิริ สานต่อภารกิจช่วยคนไทยมีบ้านได้ง่ายขึ้นและหัวเราะดังขึ้น ตั้งแต่วันนี้ – 31 ก.ค. 2565 ชลีรัตน์ ต่อจรัส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “แสนสิริ เดินหน้า สานต่อกลยุทธ์ Partnership Game หลังจากประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมากับการจับมือกับบาร์บีคิว พลาซ่า ที่สร้างกระแส talk of the town กวาดยอดขายทะลุเป้ากว่า 7,000 ล้านบาท และในปีนี้ แสนสิริ ได้ผนึกกับพันธมิตรข้ามวงการล่าสุด
คำว่า Cryptocurrency วันนี้ไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวพวกเราอีกต่อไป เทียบกับเมื่อหลายปีก่อนที่ผู้คนพึ่งจะได้รู้จักกับเทคโนโลยี Blockchain ได้เห็นการเติบโตของมูลค่าเหรียญต่าง ๆ ได้เห็นการต่อยอดไปสู่การใช้งานมากมายนับไม่ถ้วน รอบตัวพวกเราวันนี้ ไม่ใช่แค่นักลงทุน แต่คนที่เข้ามาเทรดคริปโทเคอร์เรนซีจะพบเห็นได้ตั้งแต่เด็กนักเรียน คนทำงาน ฟรีแลนซ์ ไปจนถึงผู้ใหญ่มีอายุ แม้แต่ดารานักแสดงชื่อดังอย่างคุณอนันดา เอเวอริงแฮม ก็ยังหันเข้าสู่โลกของคริปโทเคอร์เรนซีอย่างจริงจังมากขึ้น ในมุมมองของเรา คิดว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดการแพร่หลายของคริปโตอย่างรวดเร็วในบ้านเรานั้น คือความเข้าใจแเละมั่นใจในเทคโนโลยี จุดเปลี่ยนของการใช้ชีวิตที่ผู้คนมองหาอิสรภาพทางการเงิน และเวลามากขึ้น สถานการณ์โควิดที่ทำให้คนมีเวลาว่างในการศึกษาอย่างลึกซึ้ง และยังเป็นเพราะมีแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตในไทยที่ปลอดภัย อย่างเช่น Bitazza (บิทาซซ่า) ได้รับใบอนุญาตสำหรับการประกอบธุรกิจนายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกระทรวงการคลังแห่งประเทศไทย รวมถึงความน่าเชื่อถือที่มีผู้ใช้งานจากทั่วโลก และบิทาซซ่ายังได้ประกาศผลประกอบการในปี 2564 ผ่านทางช่องทางโซเชียลมีเดียของบิทาซซ่า เช่น เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ โดยมียอดธุรกรรมการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลบนแพลตฟอร์มกว่าแสนล้านบาท และผู้ใช้งานที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันของบิทาซซ่าแล้วกว่า 500,000 คน จากการรายงานสถิติยอดจำนวนดาวน์โหลดแพลตฟอร์มบิทาซซ่าผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือของบิทาซซ่า ซึ่งนับเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นมาถึง 20 เท่า วันนี้เป็นโอกาสดีที่เราได้เจอและพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่หลายคนอยากรู้ นั่นคือ “จุดเริ่มต้นของการสร้างบิทาซซ่า” แพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตกับ คุณอาท กวิน พงษ์พันธ์เดชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งของบิทาซซ่า และการเลือกชีวิตอิสระ
ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อซัก 10 กว่าปีก่อน หากเราต้องการหาร้านสกรีนเสื้อก็คงต้องนีกถึงย่านหลังสนามศุภชลาสัย (สนามกีฬาแห่งชาติ) เป็นที่แรก แต่ภายหลังได้มีการพัฒนาที่ดินให้กลายเป็นลักษณะศูนย์การค้ามากยิ่งขึ้น ทำให้ร้านละแวกนี้หายไปหลายร้าน แต่ก็ยังคงมีบางส่วนที่ยังคงเปิดให้บริการ และร้าน Bluescreen T-Shirt คือหนึ่งนั้น โดยย้ายจากที่ตั้งเดิมมาอยู่บนถนนบรรทัดทอง ซี่งปัจจุบันร้านนี้ก็อยู่ยาวนานมาเกือบ 20 ปีแล้ว และที่สำคัญเป็นร้านสกรีนเสื้อที่ศิลปินระดับประเทศไว้ใจให้ผลิตลายลงบนเสื้อก่อนจะส่งตรงไปถึงมือของบรรดาแฟนเพลง คุณพง คือเจ้าของร้านของ Bluescreen T-Shirt จบการศึกษาสาขาออกแบบดีไซน์มาโดยตรง และเป็นคนที่มีความชื่นชอบเสื้อยืดเป็นพิเศษ ชอบที่จะศึกษาดีเทลต่าง ๆ ของมัน รวมไปถึงชอบศิลปะลวดลายที่ถูกสกรีนผ่านบล็อกลงบนเสื้อ จนออกไปสู่สายตาของคนทั่วไป ประกอบกับแนวคิดของตนเองว่า “เสื้อยืดคือของคู่กายกับทุกคน ทุกคนต้องใส่ทุกวันอยู่แล้ว เพราะมันใส่ง่าย ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรเยอะ ไม่ต้องรีดก็ยังใส่ได้เลยครับ” เมื่อประกายไฟจุดติด ความคิดและไอเดียต่อยอดในการสร้างธุรกิจจากสิ่งที่ชอบก็เกิดขึ้น คุณพงจึงตัดสินใจเริ่มต้นสร้างอาชีพด้วยการเปิดร้านสกรีนชื่อขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า Bluescreen T-Shirt โดยเริ่มต้นจากร้านเล็ก ๆ อยู่ในตึกแถวแบบห้องเดียว ในช่วงแรกลูกค้าต่าง ๆ ก็ยังไม่ได้มีเข้ามาเยอะแยะมากมาย ทำให้ต้องต่อสู้กับปัญหาอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่วันหนึ่งคุณพงก็ได้ไปเจอลูกค้ากลุ่มใหม่ พวกเขาเหล่านั้นคือ “นักดนตรีอินดี้” “ตอนเปิดร้านช่วงแรก ๆ มีศิลปินอินดี้ที่จะเอาเสื้อไปขายงาน
บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียล จัดงาน “THAILAND ZOCIAL AWARDS 2022” งานประกาศรางวัลที่รวบรวมเหล่าผู้ทรงอิทธิพลบนโซเชียลทุกสาขาไว้มากที่สุดในประเทศไทยด้วยการประกาศรางวัลโซเชียลกว่า 300 รางวัล ในรูปแบบ VIRTUAL EVENT ครั้งแรกในรอบ 10 ปี สำหรับงาน THAILAND ZOCIAL AWARDS 2022 ใช้เกณฑ์การพิจารณารางวัลจากดัชนีชี้วัดที่เรียกว่า “WISESIGHT METRIC” เพื่อวัดผลประสิทธิภาพการทำงานบนโซเชียลมีเดียของผู้ใช้ในประเทศไทยที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยวัดผลใน 4 ช่องทาง คือ Facebook, Instagram, Twitter, YouTube และแบ่ง METRIC ที่ใช้วัดผลรางวัลในครั้งนี้ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. BRAND METRIC ใช้เป็นเกณฑ์การตัดสินรางวัลกลุ่ม Best Brand Performance on Social Media, 2. ENTERTAINMENT METRIC