เดินทางมาถึงครบรอบ 110 ปีการก่อตั้ง Automoblies Ettore Bugatti บริษัทผู้ผลิตรถสัญชาติฝรั่งเศสที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1909 ซึ่งแน่นอนว่าการเฉลิมฉลองของพวกเขาก็สุดยิ่งใหญ่ด้วยรถรุ่นพิเศษที่ผลิตออกมาเพียงหลักสิบคันอย่าง Bugatti Chiron Sport “110 ANS Bugatti” “110 ANS Bugatti” คือรถรุ่นพิเศษที่พัฒนาจาก Bugatti Chiron Sport สุดยอดไฮเปอร์คาร์ของค่ายที่เปิดตัวไปในงาน 2018 Geneva Internationnal Motor Show แต่แน่นอนว่าด้วยความเป็น Limited Edition ที่ผลิตออกมาเพียงไม่กี่คันในโลกทำให้มันต้องพิเศษกว่าแน่นอน “110 ANS Bugatti” มาพร้อมตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์สี Steel Blue ตลอดทั้งคัน พร้อมตกแต่งให้เข้าคอนเซ็ปต์ด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ใช้สีประจำธงชาติฝรั่งเศสที่เรียกว่า Bleu-Blanc-Rouge ไว้ในส่วนของกระจกมองข้าง สปอยเลอร์หลังและฝาถังน้ำมันที่เข้ากันได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ล้ออัลลอยสีดำสนิทกับคาลิปเปอร์เบรกสี Bright Blue พร้อมกันชนและ Diffuser ที่เข้ามาเพิ่มความดุดันมากขึ้นอีกเท่าตัว งานตกแต่งภายในห้องโดยสารที่หุ้มด้วยโทนสี Steel Blue เหมือนกับด้านนอกตัวรถและเบาะหนัง
Audi TT รถยนต์สปอร์ต 2 ประตูจากสายการผลิตรถยนต์ที่เริ่มต้นจากการเป็นรถที่ต้องการนำเสนอความโดดเด่นของดีไซน์มาตั้งแต่ช่วงยุค 90’s ซึ่งแน่นอนว่าความสวยงามของมันก็ทำให้ได้รับความนิยมจากหนุ่ม ๆ มาทุกยุคสมัย แต่ในปัจจุบันกับรุ่นล่าสุดอย่าง 2020 Audi TT RS กลับไม่ได้มาพร้อมความสวยงามเท่านั้น แต่มาพร้อมอัตราการเร่งบนท้องถนนที่ทำได้ไม่แพ้บรรดาซุปเปอร์คาร์เลยทีเดียว TT RS เปิดตัวครั้งแรกที่ Geneva Auto Show 2009 เป็นรถยนต์ที่ถูกพัฒนาโดยแผนกผลิตรถยนต์สมรรถนะสูงของ Audi ที่รู้จักกันในชื่อ Quattro GmbH ในโรงงานที่เมือง Neckarsulm ประเทศเยอรมนี โดยถูกผลิตออกมาเป็นรถสปอร์ตขนาดกะทัดรัด 2 รูปแบบด้วยกันเป็นโมเดล Coupe และ Convertible และยังคงสายการผลิตมาถึงรุ่นล่าสุดอย่าง 2020 Audi TT RS ที่กำลังจะเข้าตีตลาดยุโรปในเร็ว ๆ นี้ 2020 Audi TT RS มาพร้อมดีไซน์เอกลักษณ์กับความโค้งมนของตัวรถที่ตัดด้วยเส้นที่เริ่มจากฝากระโปรงยาวไปจนส่วนท้ายของตัวรถ พร้อมไฟหน้า Matrix LED ที่โฉบเฉี่ยวและช่องระบายอากาศด้านหน้ารูปทรงหกเหลี่ยมสีดำ โดยยังคงให้ความสำคัญในสีสันของตัวรถ มีเฉดสีให้เลือกมากถึง
Harley-Davidson คือแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์สัญชาติอเมริกันอายุกว่า 116 ปี ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการสร้างสรรค์รถให้เต็มไปด้วยเอกลักษณ์โดดเด่น และตอนนี้ทางแบรนด์กำลังเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ อีกครั้งด้วยการหันมาทำรถจักรยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะเป็นแบรนด์ชื่อดังระดับโลก แต่ด้วยยอดขายที่ลดลงในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทต้องดำเนินแผนการฟื้นฟูและกระตุ้นยอดขายเพื่อให้แบรนด์สามารถไปต่อได้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังซบเซา การที่ Harley-Davidson มียอดขายลดลงนั้นหลัก ๆ เกิดจากเรื่องกำแพงภาษีที่สูงขึ้นซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำให้ไตรมาสสุดท้ายในปี 2018 อยู่ในจุดที่เกือบจะขาดทุน ทำให้แบรนด์ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อกระตุ้นการเติบโตของยอดขายทั้งในและต่างประเทศ และคำตอบที่ได้คือพลังงานไฟฟ้า ในที่สุด Harley-Davidson ได้จัดแสดงนวัตกรรมมอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์ภายใต้ชื่อ LiveWire ในงาน Consumer Electronics Show (CES 2019) เมืองลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา พร้อมกับเผยรายละเอียดฟังก์ชันการทำงานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและทิศทางของ Harley-Davidson ในยุคใหม่ หลังจากที่รถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์เคยปรากฏอยู่ในหนังซูเปอร์ฮีโร่ค่าย Marvel มาแล้วใน Avengers: Age of Ultron มอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของ Harley-Davidson จะเป็นรถแบบไม่มีคลัตช์เพื่อการควบคุมที่ง่ายขึ้น และดึงดูดนักขับรุ่นใหม่ ส่วนของฟีเจอร์นั้นเรียกได้ว่าจัดเต็มด้วยอัตราเร่งจาก 0 – 60 ไมล์ต่อชั่วโมง
“คุณเคยเห็นรถตัดหญ้าหรือเครื่องปั่นไฟสีทองมาก่อนไหม ? ” นี่คือคำถามจาก Hiroyuki Shimizu ประธานกรรมการผู้จัดการของ Honda Australia ที่กล่าวถึงคอลเลกชันพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองการทำตลาดครอบรอบ 50 ปี ในประเทศออสเตรเลีย ด้วยการออกแบบให้รถยนต์รวมถึงสินค้าในบ้านเป็นสีทองทั้งหมดเพื่อบ่งบอกถึงผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่สร้างยอดขายตรงไปตามเป้าตั้งแต่ปี 1969 รถยนต์ที่ Honda เลือกมาเพื่อเคลือบสีทองนั้นคือรุ่น NSX และ Civic Type R รถยนต์ห้าประตูยอดนิยมที่ขายดีในออสเตรเลีย มอเตอร์ไซค์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่น CBR1000RR Fireblade มอเตอร์ไซค์กลุ่ม Enduro รุ่น CRF450L รวมไปถึงมอเตอร์ไซค์ออฟโรดสำหรับเด็กอย่างรุ่น CRF50F ที่ขายที่ดีที่สุดของฮอนด้า นอกจากรถยนต์ในเครือของ Honda แล้ว ยังมีรถตัดหญ้ารุ่น HRU19 Buffalo ที่ออกแบบและประกอบในประเทศออสเตรเลีย ที่มาพร้อมเครื่องปั่นไฟสีทอง EU22i Generator ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รถตัดหญ้าและเครื่องปั่นไฟ การสร้างสรรค์สีทองให้กับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจากการผลิตและออกแบบร่วมกันของ Vinyl Wraps และ Graphics ในกรุงเมลเบิร์น
แม้ปัจจุบันหลายคนจะจำภาพรถสมรรถนะสูงสัญชาติฝรั่งเศสในชื่อของ Bugatti แต่ในอดีตยังมีรถที่เคยสร้างตำนานไว้มากมาย รวมถึงครั้งนึงเคยได้ชื่อว่าเป็น Supercar ที่เร็วที่สุดในฝรั่งเศสอีกด้วย นั่นคือ Venturi 400 GT ตัวแข่งที่เกิดมาอยู่ในสนามแข่งโดยเฉพาะ ก่อนจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นรถที่ใช้งานบนท้องถนนได้ เชื่อว่าชื่ออาจจะไม่คุ้นหูชาว UNLOCKMEN หลายคน วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับตำนานที่ถูกนำออกประมูลด้วยมูลค่าที่คาดว่าจะสูงถึงเกือบ 7 ล้านบาท ย้อนไปในปี 1984 มี 2 วิศวกรผู้ก่อตั้ง Venturi นามว่า Claude Poiraud และ Gerard Godfroy หวังอยากสร้างรถยนต์ที่สามารถลงแข่งขันในรายการต่าง ๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้โลกได้รู้จักกับ French performance GT Cars มากขึ้น กว่าจะมีรถยนต์ที่ติดป้าย Venturi ออกมาก็กินเวลาไปถึงปี 1986 ก่อนบริษัทจะถูกขายออกไปในปี 2000 ให้กับเจ้าของคนใหม่ Gildo Pallanca Pastor ผู้หันไปเอาดีทางด้าน Formula E ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้นมีรถยนต์ถูกผลิตออกมาหลายรุ่น แต่ในปี 1992 Venturi ได้มีผลงานรถยนต์ที่เป็นพระเอกของค่าย ซึ่งปัจจุบันก็ยังถูกพูดถึงจากนักเลงรถยนต์ตัวจริงทั่วโลก
รถยนต์อเนกประสงค์อย่าง SUV คือรถที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เพราะไม่ว่าถนนจะขรุขระหรือเป็นหลุมเป็นบ่อแค่ไหนก็สามารถพาเราผ่านไปได้ทุกที่ และจะเป็นอย่างไรถ้ารถ SUV ที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับการขับขี่บนทุกถนนกลายเป็นรถยนต์สุดหรูที่มีราคาสูงเกือบร้อยล้านบาท ด้วยฝีมือของแบรนด์รถยนต์น้องใหม่อย่าง Karlmann King Karlmann King คือรถยนต์ SUV ที่มีหน้าตาแหวกแนวรถ SUV ในแบบเดิม ๆ เกิดจากผลงานการดีไซน์โดยทีม Automobile Technology (IAT) ที่ออกแบบให้กับ Unique Club ซึ่งเป็นสำนักแต่งรถยี่ห้อ Ford และ Chevrolet ในประเทศจีน โดยจะผลิตรถยนต์หน้าตาดุดันอย่าง Karlmann King เพียงแค่ 12 คันเท่านั้น ในราคาสูงลิบถึง 2 ล้านดอลลาร์ ที่คิดเป็นเงินไทยราว 70 ล้านบาท การที่รถยนต์ SUV มีราคาสูงขนาดนี้ รวมถึง Karlmann King เป็นแบรนด์รถน้องใหม่ไร้ชื่อและประวัติที่บอกเล่าเรื่องราวอันยาวนานเหมือนกับแบรนด์รถยนต์สุดหรูเจ้าดังอย่าง Rolls-Royce ที่เพิ่งออกรถยนต์ SUV อย่าง Rolls-Royce Cullinan ไปเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความเป็นน้องใหม่แต่ออกรถยนต์ราคาสูงยิ่งกว่า
กล้าใช้คำว่า “ดุดันแต่ก็สวยงาม” ได้เต็มปากเต็มคำทีเดียว เมื่อเห็นรถยนต์ Sport Serie คันล่าสุดจากค่าย McLaren เจ้าของฉายา Longtail รุ่นห้าอย่าง McLaren 600LT Spider ที่มาในสไตล์เปิดประทุนซึ่งถูกพัฒนารูปแบบจาก McLaren 600LT ซึ่งเปิดตัวออกมาช่วงเดือนมิถุนายนของปีที่ผ่านมา แต่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง UNLOCKMEN จะพาชมไปพร้อม ๆ กัน เริ่มจากดีไซน์ภายนอก McLaren 600LT Spider ยังคงไว้ซึ่งดีไซน์จากรุ่น Coupe โดยตัวรถมีพื้นฐานความแข็งแกร่งจากโครงสร้างของแชสซีเฉพาะตัวอย่าง Carbon-Fibre MonoCell II Chassis อยู่ภายใต้รูปลักษณ์อันโค้งมน ส่วนที่อดพูดถึงไม่ได้ก็คือหลังคา Hard-Top ที่ระบบการทำงานเหมือนกับใน 570 Spider คือเปิด-ปิดได้ในความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมประตูแบบ Butterfly Door และท่อไอเสียคู่ตรงส่วนบนของรถก่อนถึงสปอยเลอร์หลัง รวมกันออกมาเป็นรูปลักษณ์ดุดันและลงตัวกับโมเดลเปิดประทุน ด้านขุมพลังใต้ฝากระโปรงของ McLaren 600LT Spider เป็นเครื่องยนต์ V8 ขนาด 3.8 ลิตร Twin-Turbocharged ให้กำลัง 592 แรงม้าทำงานควบคู่กับชุดเกียร์ 7-Speed Twin-Clutch transmission ที่สร้างอัตราการเร่ง
นอกจากรถยนต์มากมายที่ทยอยเปิดตัวใน Detroit Auto Show ไม่ว่าจะเป็น Toyota Supra (5th gen) หรือ Mustang Shelby 500GT ที่เป็นตัวแรงน่าโดนประจำงานแล้ว ภายอีเวนต์ยังขนของเล่นชิ้นใหญ่เอาใจชาว Truck Lover อย่าง Chevrolet Silverado ที่ผลิตจากเลโก้กว่า 300,000 ชิ้น มาตั้งอวดโฉมไว้ในงานอีกด้วย Chevrolet Silverado LEGO สเกล 1:1 เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Chevrolet, Lego และ Warner Bros ที่เริ่มโปรเจกต์แรกด้วยกันเมื่อปี 2017 ด้วย Batmobile LEGO โดยเป็นแบบจำลองเสมือนจริงที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก 2019 Chevrolet Silverado 1500 LT Trail Boss ในลุค Premium Truck สีแดงสด LEGO Silverado มีน้ำหนัก 3,307 ปอนด์ (1,500
เรียกได้ว่าสมการรอคอยสำหรับ New Mustang Shelby GT500 ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน Detroit Auto Show ไปหมาด ๆ พร้อมกับคำเปิดเผยจาก Ford ว่านี้จะเป็น “มัสแตงค์ที่แรงที่สุดของค่ายในเวลานี้” ด้วยขุมกำลังที่มาพร้อมแรงม้ามหาศาล Mustang Shelby GT500 (2020) เปิดตัวพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกที่ถูกพัฒนาใหม่ให้มีความดุดัน ด้วยกระจังหน้า 2 ช่องขนาดใหญ่ซึ่งจะสนับสนุนการทำงานของระบบ Aerodynamic และหมุนเวียนระบายความร้อนในระบบได้ดีขึ้นจาก Shelby GT350 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีบังโคลนขนาดใหญ่และ Diffuser ด้านหลังผลิตจากวัสดุที่สามารถระบายความร้อนได้ โดยทีมวิศวกรจาก Ford เคลมว่าอุโมงค์ลมที่เกิดจากการวิ่งของ Shelby GT500 (2020) นั้นสมบูรณ์แบบ ด้านภายในห้องโดยสารของ Mustang Shelby GT500 (2020) ก็ถูกออกแบบมาให้ป้องกันเสียงอย่างเงียบสนิท เริ่มจากแผงคอนโซลซึ่งผลิตจากเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์ เบาะผู้โดยสารจาก Recaro ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์เรื่องความนุ่มสบาย แต่ได้อารมณ์ของการเป็นรถสนามเต็ม ๆ แน่นอน นอกจากนี้แต่งเติมความหรูหราด้วยการตกแต่งด้านในของประตูด้วยหนังกลับ
หลายคนเคยบ่นว่า รถแรง กี่แรงอาชาก็เป็นได้แค่ม้าบ้าน วิ่งได้แค่ตามกฎหมายกำหนด สุดท้ายซื้อมาก็ไม่ได้อะไร นั่งอั้นกันอยู่บนถนน เราจะจ่ายเยอะกว่าไปเพื่ออะไร ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเราเองก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่นั่นก็ก่อนที่จะรู้จักกับถนนสายนี้ Autobahn ทางหลวงพิเศษของเยอรมนีที่ทำให้เราอยากไปเหยียบประเทศเยอรมนีมากกว่าที่เคย ความเร็วไม่ใช่ฆาตกรบนท้องถนน ก่อนจะเริ่มพูดถึงถนนเส้นนี้ เรื่องที่เราไม่อยากพลาดยกมาพูดถึงคือประเด็นเรื่องการขับขี่ด้วยความเร็วที่คนมักมองว่าคร่าชีวิตคนบนท้องถนน คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการเหยียบมิดไมล์มันสัมพันธ์กับอุบัติเหตุ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะใช่ แต่ถ้าจะมองกันอย่างยุติธรรมอีกนิด ความเร็วคงไม่ใช่ประเด็นเดียวของอุบัติเหตุ ข้อมูลจาก OECD’s International Transport Forum ปี 2013 คือหนึ่งในเครื่องยืนยันว่าความเร็วไม่ใช่ทั้งหมดของปัญหา เพราะเมื่อเผยจำนวนผู้เสียชีวิตแล้ว ประเทศเยอรมนีมีจำนวนผู้เสียชีวิตราว 3,339 คน สูงกว่าประเทศฝรั่งเศสที่จำกัดความเร็วเพียงเล็กน้อย (คนเสียชีวิต 3,268) และน้อยกว่าสหรัฐอเมริกาที่ออกกฎหมายจำกัดความเร็วเกือบ 10 เท่า เนื่องจากสถิติผู้เสียชีวิตของสหรัฐฯ สูงถึง 30,000 คน เมื่ออุบัติเหตุไม่ใช่เรื่องของความเร็ว เราคงต้องมามองมุมกลับกันบ้างว่าโครงสร้างถนนหรือเปล่าที่มีผลกับเรื่องนี้ และทำให้เราต้องจำกัดความเร็วความมัน เพราะแท้จริงแล้วถนนไม่ใช่แค่รางโง่ ๆ ให้รถแล่น ลาดยางเสร็จก็จบไป ไม่ต้องไปเหลียวแลอีก หลุมบ่อเล็กน้อย หรือลูกระนาดก็สร้างอุบัติเหตุถึงชีวิตได้ รวมถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนก็มีผล ฝนตกถนนลื่นก็เป็นสิ่งที่สร้างอุบัติเหตุได้บ่อยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ไม่นับรวมคนที่อยู่หลังพวงมาลัยซึ่งควรครองสติในการขับขี่ให้ได้ เคารพกฎกติกาบนท้องถนน ฯลฯ
ถือเป็นปีแห่งการแข่งขันสำหรับตลาดของรถสปอร์ต โดยเฉพาะสองค่ายยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น BMW ที่ปล่อย Z4 (G29) และ Toyota ที่ตัดสินใจหวนกลับมาผลิตตำนานที่เป็น Iconic ของค่ายอย่าง Supra (5th GEN) ออกมาอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือทั้งสองรุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นจากโรงงานเดียวกัน พร้อมข่าวลือสะพัดว่ามีการแชร์แพลตฟอร์มในการสร้างร่วมกันด้วย เพื่อคลายความสงสัยวันนี้เราจะมาเปรียบเทียบให้ชมกันว่าทั้งคู่นั้นมีจุดเหมือนและแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน BMW Z4 (G29) และ TOYOTA Supra (5th Gen) เปิดตัวออกมาในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน แต่ขณะเดียวกันทั้งสองก็มีความเหมือนก็คือการถูกย้ายฐานการผลิตออกจากบ้านเกิดตัวเอง ด้าน Z4 ไม่ได้ถูกผลิตขึ้นจากโรงงาน BMW ใน Dingolfing ประเทศเยอรมนี ส่วนทาง TOYOTA Supra (5th Gen) เองก็เป็นครั้งแรกที่สละแนวทางของความเป็นรถ Japan Domestic Market (JDM) ด้วยการย้ายฐานการผลิตจากโรงงาน Motomachi ใน Toyota City (ผลิต 4th Gen) ที่ควรใช้ผลิต Supra มาเข้าสายพานโรงงานเดียวกับ
“อยากได้รถที่คุ้มค่า ประหยัดน้ำมัน ออพชั่นเพียบ พร้อมพื้นที่กว้างขวางเพื่อความสะดวกสบาย” นี่น่าจะเป็นความคิดแรกที่คนอยากได้รถคิดในใจ แต่ในความเป็นจริงคงจะยากที่จะหาตัวเลือกที่ตอบโจทย์ครบได้ทุกข้อ การจะเลือกซื้อรถยนต์สักคัน ถือเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานสำหรับผู้ชาย แต่การจะเลือกซื้อแบบเดินเข้าไปจิ้มสุ่มสี่สุ่มห้าคงจะไม่ดี เพราะโดยเฉลี่ยช่วงเวลาที่เราจะอยู่กับรถหนึ่งคันนั้นยาวนานถึงราว 5-7 ปี เราจึงควรเลือกรถยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของตัวเองจริง หลายคนแอบปรึกษาเพื่อนรอบข้าง ถามคำแนะนำให้ช่วยเลือกให้ แต่อย่าลืมว่าแต่ละคนก็มีไลฟ์สไตล์ต่างกัน ความชอบต่างกัน การจะเปรียบว่ารุ่นไหนดีที่สุดจึงเป็นสิ่งนานาจิตตัง เพราะมีข้อดีแตกต่างกันออกไป ที่จริงรถยนต์แต่ละรุ่นจากแต่ละแบรนด์ ถูกออกแบบขึ้นมาโดยมีจุดเด่นและวัตถุประสงค์ในการใช้งานต่างกัน เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกรถยนต์ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์และตอบโจทย์การใช้รถยนต์ของตัวเอง บางคนอยากได้รถที่ดูดีมีความสปอร์ตที่สุด บางคนอยากได้รถที่ประหยัดมากที่สุด บางคนอยากได้รถที่มีพื้นที่มากที่สุด หรือบางคนอาจจะอยากได้รถที่มีออพชั่นทันสมัยให้มากที่สุด จากตัวเลือกที่มีมากมายในตลาด หลายคนจึงอยากให้เราแนะนำรถยนต์ที่ให้ได้มากกว่าในราคาที่คุ้มค่า เป็นรถที่มีในบ้านคันเดียวจบ ตอบโจทย์ได้ครบทุกไลฟ์สไตล์ วันนี้เราจึงยกตำแหน่งรถสุดคุ้ม พื้นที่ใหญ่ ราคาเล็ก ให้กับ Suzuki Ciaz Eco Sedan Suzuki Ciaz Eco Sedan เป็นรถ Eco Sedan ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 480,000 – 675,000 บาท ที่ได้ชื่อว่ามีพื้นที่ในห้องโดยสารกว้างใหญ่กว่าใครใน Segment เดียวกัน จึงเป็นรถที่เน้นความสะดวกสบายในการเดินทางมากกว่า แถมยังมีจุดเด่นเรื่องประหยัดน้ำมัน