“ฉันต้องเป็นราชาโจรสลัดให้ได้เลย!” สำหรับแฟน ๆ การ์ตูนเรื่อง One Piece ต้องคุ้นเคยกับประโยคแสนมุ่งมั่นของลูฟี่หมวกฟางอย่างแน่นอน การ์ตูนโจรสลัดอารมณ์ดีที่ผู้ชายหลายคนเฝ้าอ่านเฝ้าติดตามดูเรื่องราวของกลุ่มโจรสลัดนี้เรื่อยมาตั้งแต่เด็กจนโต และไม่น่าเชื่อว่าในปี 2019 แอนิเมชันเรื่อง One Piece จะเดินทางมาถึงปีที่ 20 แล้ว พร้อมกับการปล่อยตัวอย่างของแอนิเมชัน The Movie ลำดับที่ 14 ที่จัดเต็มความยิ่งใหญ่สำหรับเรื่องราวกว่า 20 ปี อันแสนยาวนาน UNLOCKMEN เองก็เป็นแฟนคลับการ์ตูน One Piece ไม่ต่างจากใคร ๆ ดังนั้นเมื่อแอนิเมชันเรื่องนี้เข้าฉายในประเทศไทยแถมยังครบรอบ 20 ปีอีก เราจึงไม่พลาดหยิบเรื่องราวของ One Piece The Movie มาร้อยเรียงให้เห็นถึงการเติบโตมาด้วยกันระหว่างคนดูและตัวละคร พร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความทรงจำ และความประทับใจที่ได้จากการ์ตูนเรื่องนี้ร่วมกัน แต่ละก้าวเดินของ ONE PIECE THE MOVIE นับตั้งแต่ One Piece The Movie ภาคแรกออกฉายเมื่อปี
หากคุณเคยได้ยินประโยคที่กล่าวว่า “สู้กับใครก็ไม่ยากเท่าสู้กับตัวเราเอง” ดูเหมือนซีรีส์เรื่องใหม่ที่กำลังจะฉายทาง Netflix เรื่องนี้ จะเป็นเคสตัวอย่างของสถานการณ์นี้ได้ดีที่สุด จะเป็นอย่างไรหากมีตัวเราอีกคนอยู่บนโลก แถมมันยังเหนือกว่าเราไปเสียทุกเรื่องอีกต่างหาก! Living with Yourself (ชีวิตติดเซลฟ์) คือเรื่องราวของ ไมลส์ อิลเลียตต์ (รับบทโดย พอล รัดด์) ชายหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำของชีวิตทั้งการงาน และชีวิตคู่ เขาจึงเข้ารับทรีตเมนต์ที่สปาแห่งหนึ่งซึ่งอ้างว่า “จะทำให้คุณกลายเป็นคนที่ดีขึ้น” หลังตื่นขึ้นมาเขาค้นพบว่าตัวเองมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็น ทุกสิ่งกำลังจะเป็นไปได้สวย แต่ปรากฏว่าตัวเขาคนเดิมกลับโผล่ขึ้นมาจากหลุมศพและพยายามกลับเข้ามาใช้ชีวิตอีกครั้ง! จนกลายเป็นว่ามี ไมลส์ อิลเลียตต์ สองคน หากแต่ใช้ได้เพียงหนึ่งชีวิตเดียว… สำหรับเรื่องราวในชีวิตติดเซลฟ์นี้ จะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวตนแบบปัจเจก และกระตุ้นให้คิดต่อว่า คนเราอยากจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิมจริงหรือไม่? โดยมีความยาวทั้งหมด 8 ตอน ถ่ายทอดผ่านหลากหลายแง่มุม และเส้นเรื่องที่ทับซ้อนไปมา การันตีผลงานด้วยฝีมือการสร้างและเขียนบทโดย ‘ทิโมธี กรีนเบิร์ก’ เจ้าของ 2 รางวัล Emmy จาก The Daily Show with Jon Stewart อีกทั้งยังกำกับโดยโจนาธาน เดย์ตัน และวาเลอรี
ใกล้เข้ามาทุกทีกับงานประกาศรางวัลสุดยิ่งใหญ่ทรงคุณค่ามากที่สุดงานหนึ่งของโลกภาพยนตร์กับงานออสการ์ ครั้งที่ 92 (Oscar 2020) ทำเอาเหล่านักวิจารณ์รวมถึงคอหนังหลายคนต่างพากันจับตามองถึงรายชื่อหนัง นักแสดงและผู้กำกับที่มีโอกาสจะได้เข้าชิงรางวัลอันทรงเกียรติ UNLOCKMEN ยังไม่สามารถบอกได้ว่าใครจะได้รับรางวัลไหน หรือมาเดาว่าภาพยนตร์เรื่องใดจะผ่านการเข้ารอบเป็นหนึ่งในห้ารายชื่อเข้าชิงรางวัลในรอบสุดท้าย แต่เรากลับเห็นความน่าสนใจในรางวัลสาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม (Best International Feature Film) เดิมเคยชื่อว่ารางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม (Best Foreign Language Film) ว่าสองประเทศจากทวีปเอเชียที่กำลังมีข้อพิพาทขัดแย้งกันทั้งเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจอย่างเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ต่างก็ส่งหนังตัวเก็งเข้าช่วงชิงความเป็นหนึ่งในสาขาเดียวกัน บางคนอาจจะยังไม่เคยติดตามข่าวความขัดแย้งของสองประเทศเท่าไหร่นัก เราจึงขอเท้าความให้เข้าใจตรงกัน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2019 ญี่ปุ่นประกาศงดสั่งวัตถุดิบ 3 ชนิด ที่มีผลต่ออุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ เนื่องจากทางเกาหลีใต้ฟ้องร้องขอค่าเสียหายเพิ่มจากญี่ปุ่นกับเหตุการณ์ที่เคยทำไว้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (แต่ทั้งสองประเทศเคยเจรจาลงนามตั้งแต่ 1965) แถมทางฝั่งญี่ปุ่นยกเลิกสิทธิพิเศษทางการค้าของเกาหลีใต้ ส่วนทางเกาหลีใต้ก็ประกาศแบนสินค้าที่มาจากฝั่งญี่ปุ่น จึงทำให้ความตึงเครียดของทั้งสองประเทศทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กลับมายังวงการภาพยนตร์ ทั้งสองประเทศก็ต้องมาพบกันอีกครั้งในงานออสการ์ กับรางวัลสาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม ที่หลายประเทศต่างก็ส่งหนังดังของตัวเองเข้ามาเพื่อช่วงชิงรางวัลนี้ อย่างประเทศออสเตรเลียส่งภาพยนตร์เรื่อง Joy สเปนส่งเรื่อง Pain And Glory เยอรมนีส่งเรื่อง System Crasher หรือแอลจีเรียส่งเรื่อง Papicha
ถ้าพูดถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ่งแรกที่ใคร ๆ ต่างนึกถึงก็คงจะหนีไม่พ้น ‘Nazi’ และ ‘Adolf Hitler’ เพราะจุดเริ่มต้นของสงครามโลก ความขัดแย้ง และการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวเกิดขึ้นเพราะเขา ด้วยวีรกรรมและนโยบายการบริหารประเทศเยอรมนีของฮิตเลอร์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้เรื่องราวชีวิตของเขาถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์นับครั้งไม่ถ้วน แต่การเล่าเรื่องราวชีวิตของหัวหน้าพรรคนาซีผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนีครั้งนี้จะแตกต่างไปจากเดิม เพราะภาพยนตร์เรื่อง Jojo Rabbit จะเล่าถึงมุมมองใหม่ของผู้นำสุดโหดที่กลายเป็นเพียงเพื่อนคู่คิดในจินตนาการของเด็กชายคนหนึ่งเท่านั้น “เขาไม่ใช่ Adolf Hitler ที่คนทั่วโลกรู้จักและพากันเกลียดชัง แต่เขาเป็นชายเซ่อ ๆ เปี่ยมด้วยเสน่ห์และมีชีวิตอยู่ในโลกของเด็กไร้เดียงสา” – Taika Waititi ดังนั้นขอให้ลืมท่านผู้นำสุดโหดจากพรรคนาซีที่เคยรู้จักกันในหน้าประวัติศาสตร์กันไปก่อนเพราะ Adolf Hitler ในเรื่องนี้อาจทำให้เราเผลอหัวเราะและชื่นชอบเขาโดยไม่รู้ตัว JoJo Rabbit ภาพยนตร์ตลกร้ายเสียดสีสงครามของผู้กำกับสุดเพี้ยน Taika Waititi ที่เคยฝากฝีมือการกำกับหนังอินดี้อารมณ์ดีเรื่อง What We Do in the Shadows (2014) และ Hunt for the Wilderpeople (2016) เอาไว้ให้เห็นพอสมควรแล้วว่าสไตล์การเดินเรื่องของเขาเป็นแบบไหน เรื่องราวในภาพยนตร์ JoJo Rabbit ดัดแปลงมาจากหนังสือนิยายเรื่อง
ต่อให้การใช้ชีวิตที่ขึ้นตรงต่อระยะเวลา 24 ชั่วโมงจะยุ่งยากและวุ่นวายมากขนาดไหน เราก็เชื่อว่าหนุ่ม ๆ UNLOCKMEN คงไม่พลาดที่จะสละเวลาสัก 1-2 ชั่วโมง มาผ่อนคลายและเพลิดเพลินไปกับความบันเทิงยามค่ำ ด้วยภาพยนตร์เรื่องโปรดหรือซีรีส์สุดมันส์ ยิ่งช่วงปลายฝนต้นหนาวที่บรรยากาศไม่เอื้อแก่การออกไปสังสรรค์ที่ไหน เราเลยจะพาหนุ่ม ๆ มาอัปเดตคอนเทนต์ใหม่บนแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งยอดนิยมอย่าง Netflix และนี่คือ 3 ออริจินัลซีรีส์ประจำเดือนกันยายนที่เราอยากให้พวกคุณทุกคนได้ดู! THE SPY มินิซีรีส์ 6 ตอน ที่ได้แรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของ Eli Cohen เสมียนที่ผันตัวมาเป็นสายลับของหน่วยสืบราชการลับ Mossad อันเป็นสถาบันข่าวกรองและหน่วยปฏิบัติการพิเศษของอิสราเอลที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ซีรีส์ย้อนยุคเรื่องนี้จะพาหนุ่ม ๆ หวนกลับไปยังช่วงปี 1960 อีกครั้ง พร้อมตามติดชีวิตสายลับที่ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจสอดแนมสุดอันตรายในซีเรีย ภารกิจนี้จะสำเร็จลุล่วงหรือไม่ แล้วเขาจะปิดบังความลับของตนในประเทศศัตรูได้อีกนานแค่ไหน เตรียมรับชมพร้อมกัน 6 กันยายนนี้ THE I-LAND Fyre Festival เหตุการณ์ยอดแย่ของเทศกาลดนตรีบนเกาะที่หลอกเงินคนดูยังต้องชิดซ้าย เมื่อเจอกับซีรีส์ระทึกขวัญเรื่องใหม่ The I-Land ที่จะพาหนุ่ม ๆ ไปท่องเที่ยวบนเกาะนรกสุดโหดยากจะเอาชีวิตรอด ซีรีส์เรื่องนี้เล่าถึงกลุ่มคนแปลกหน้าที่ถูกล้างความทรงจำ พวกเขาต้องต่อสู้กับสภาพแวดล้อมน่าหดหู่ และกับดักที่จ้องจะคร่าชีวิตอยู่ทุกเมื่อ
สำหรับผู้ชายที่เติบโตมากับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่คงไม่มีใครไม่รู้จักตัวละครจาก X-Men ที่ชื่อว่า Logan และมีฉายาว่า Wolverine อย่างแน่นอน เพราะเราเห็น Hugh Jackman สวมบทเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ผู้มีพลังพิเศษสามารถเยียวยาบาดแผลได้รวดเร็ว จมูกไว หูดี มีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า รวมถึงกรงเล็บเหล็กทำจาก Adamantium ที่ได้มาจากการทดลองเถื่อน บุคลิกห่าม ๆ ของตัวละครและคาริสม่าของ Hugh Jackman ทำให้ใครหลายคนจดจำตัวละครตัวนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะตัวละครนี้ถือเป็นฮีโร่ที่เติบโตมาพร้อมกับใครหลายคน รวมถึงแฟชั่นหลายยุคสมัยตั้งแต่หนุ่มจนถึงวาระสุดท้ายของเขาที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจ จึงทำให้ UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับสไตล์ของชายคนนี้ไปพร้อมกัน การปรากฏตัวของ Logan ในโลกภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2000 ในภาพยนตร์รวมทีมฮีโร่มนุษย์กลายพันธุ์ X-Men (2000) พาเราไปทำความรู้จักกับนักสู้ใต้ดินไร้ความทรงจำ แต่จับพลัดจับผลูมาเป็นคนที่มีส่วนช่วยโลกให้พ้นภัย หลายคนคาดเดาว่า Logan ฉบับหนังอาจเกิดปี 1837 เพราะภาค X-Men Origins: Wolverine (2009) เขาเป็นทหารร่วมรบอยู่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ราวปี 1914 ต่อมาได้ช่วยชีวิตทหารหนุ่มชาวญี่ปุ่นไว้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เมืองนางาซากิ ในปี 1945
ช่วงเวลากว่า 20 ปี ไม่อาจนับได้เลยว่ามีภาพยนตร์ออกฉายไปแล้วทั้งหมดกี่เรื่อง แต่ท่ามกลางหนังจำนวนมากก็มักจะมีฉากจากหนังดังที่ตราตรึงผู้ชมจนทำให้ไม่อาจลืม บางคนจดจำฉากเล็ก ๆ ที่ปรากฏเพียงแค่เสี้ยววินาที ฉากสุดไร้สาระ หรือจำประโยคเด็ดที่ออกจากปากตัวละครที่เท่จนฮิตติดลมบนและกลายเป็นประโยคในตำนานที่ไม่ว่าผ่านมากี่ปี ภาพยนตร์คือการสร้างความทรงจำร่วมกันของผู้ชมทั่วทุกมุมโลก ทำให้เว็บไซต์วิจารณ์และให้คะแนนภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Rotten Tomatoes เกิดไอเดียสนุก ๆ ให้สมาชิกในเว็บไซต์ร่วมกันจัดอันดับ 21 ฉากประทับใจและทรงพลังจนพวกเขาจำได้ไม่ลืมจากหนังที่ออกฉายในช่วง 21 ปีที่ผ่านมาเพื่อดูว่าฉากอะไรในหนังเรื่องไหนที่ทำให้คนดูจดจำได้มากที่สุด และก็มีสมาชิกกว่า 25,000 คน ร่วมลงคะแนนโดยได้อันดับทั้งหมดดังนี้ อันดับ 21 ฉากซูเปอร์คาร์บินข้ามตึกจากเรื่อง Furious 7 (2015) อันดับ 20 ฉากร้องไห้ขณะถ่ายสารคดีจากเรื่อง The Blair Witch Project (1999) อันดับ 19 ฉากเดินข้ามสะพาน Edmund Pettus จากเรื่อง Selma (2014) อันดับ 18 ฉากจบโชว์ของ Satine จากเรื่อง Moulin
หากหนังรักไม่ใช่แนวทางของคุณ ลองมาดูหนัง ‘ไม่รัก’ กันบ้างดีกว่า เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา ทาง Netflix ได้ปล่อย Trailer ภาพยนตร์เรื่องใหม่ ‘Marriage Story’ ออกมาให้แฟน ๆ รับชมกันเป็นที่เรียบร้อย หนังเรื่องนี้กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมาก เพราะได้นักแสดงชั้นนำอย่าง Scarlett Johansson มารับบท Nicole ฝ่ายภรรยา และ Adam Driver มารับบท Charlie ฝ่ายสามี เรียกได้ว่าสลัดภาพ Black Widow แห่งทีม Avengers และ Kylo Ren จาก Star Wars ไปได้เลย เพราะบทบาทของพวกเขาในครั้งนี้ คือสองสามีภรรยาที่กำลังเผชิญปัญหาชีวิตคู่อย่างหนัก จนในที่สุดความไม่ลงรอยของพวกเขา ก็นำไปสู่จุดแตกหักนั่นก็คือ ‘การหย่าร้าง’ หนังมีตัวดำเนินเรื่องเป็นสามีและภรรยา Netflix เลยหัวใส ปล่อย Trailer ออกมาให้ชมถึง 2 ตัว โดยตัวแรกจะเป็นมุมมองที่ Nicole มีต่อ
หนุ่ม ๆ ทั้งหลายคงไม่พลาดดูซีรีส์ตีแผ่วงการหนังผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นยุค 80 กับเรื่อง The Naked Director จากช่อง Netflix เพื่อล้วงลึกและเข้าใจถึงโลกของการทำหนัง AV ที่เหนือจินตนาการ ทว่าในวันนี้ UNLOCKMEN จะไม่ได้มาพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหนัง AV แต่จะพูดถึงแฟชั่นแสนสะดุดตาของ Muranishi Toru พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาดังกล่าวของญี่ปุ่นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แฟชั่นยอดนิยมของชายหนุ่มช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร คนญี่ปุ่นมีแนวคิดเกี่ยวกับการแต่งตัวแบบไหน รับวัฒนธรรมการแต่งตัวมาจากใคร เพื่อเผยให้เห็นว่าอะไรบ้างที่มีส่วนทำให้สไตล์การแต่งตัวของราชาหนังเอวีโดดเด่นไม่แพ้ใครในเรื่อง ความเนี้ยบและลุคสุดทางการตั้งแต่หัวจรดเท้าคือสิ่งสำคัญของผู้ชายญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นถือเป็นชนชาติที่ให้ความสำคัญกับการแต่งตัวเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาคิดเสมอว่าการก้าวออกจากบ้านจะต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย ดังนั้นเสื้อผ้า หน้า ผม ทุกอย่างจะต้องเนี้ยบและพร้อมเสมอสำหรับทุกสถานการณ์ จึงทำให้ผู้ชายญี่ปุ่นวัยทำงานส่วนใหญ่จะแต่งตัวเคร่งเครียดคล้ายกันไปเสียหมด หลายครั้งที่มีคนพยายามหาคำตอบเรื่องความเนี้ยบที่ทำกันจนเคยชินของคนญี่ปุ่นว่ามันมีจุดเริ่มต้นมาจากไหน คำตอบที่ได้ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะได้รับการปลูกฝังกันมานาน หรือค่านิยมของการให้เกียรติตัวเองและผู้อื่น ทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คำนึงถึงการแต่งตัวให้เหมาะสมเวลาจะออกจากบ้าน ว่ากันว่าแฟชั่นจะเติบโตพร้อมกับเศรษฐกิจ หลังจากปี 1945 ที่ประเทศญี่ปุ่นยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้สูญเสียทั้งประชากร เมือง เงิน เป็นหนี้จำนวนมหาศาล ช่วงหลังสงครามโลกญี่ปุ่นแทบไม่เหลืออะไรเหลือเลยนอกจากซากปรักหักพัง ตอนนั้นคงไม่มีใครหน้าไหนในประเทศสนใจการแต่งตัวก่อนเรื่องปากท้องอย่างแน่นอน เหล่าผู้คนที่อยู่รอดจะต้องเอาตัวรอดให้ได้พร้อมกับขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวต่อไป และกว่าญี่ปุ่นจะฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างทุกวันนี้ก็ปาเข้าไปช่วงปลายโชวะ ระหว่างรอยต่อของต้นยุคเฮเซ (1986-1991) กว่าหลายสิบปีญี่ปุ่นเปลี่ยนฐานะจากประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เขยิบขึ้นมาเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจดีอันดับต้น ๆ
เราอาจจะเคยเจอภาพยนตร์ที่ดัดแปลงและสร้างจากชีวิตจริงมานับครั้งไม่ถ้วน บางเรื่องก็เป็นหนัง Feel good หรือบางเรื่องอาจจะเศร้าจนลืมไม่ลง สำหรับปีนี้ก็มีหนังชีวประวัติหลายเรื่องที่ออกฉายให้เราได้ชมกัน แต่คาดว่าคงไม่มีภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่องไหนในปีนี้ที่เจ็บเท่ากับ Honey Boy (2019) อีกแล้ว เหตุที่เราบอกว่าหนังเรื่องนี้เจ็บ นั่นเป็นเพราะ Honey Boy เป็นภาพยนตร์กึ่งชีวประวัติที่ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของนักแสดงชายชื่อดัง Shia LaBeouf ที่เมื่อก่อนเราคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็นอย่างดีกับหนังบู๊แฟรนไชส์เรื่อง Transformers และหลังจากนั้นเขาก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่คนวงการบันเทิงด้วยกันเบือนหน้าหนี เพราะความแปลกและความอินดี้ที่เกินจะรับไหว Shia LaBeouf ลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างในวงการภาพยนตร์ตั้งแต่การแสดงหนังบล็อกบัสเตอร์ หนังอินดี้ ไปจนถึงเล่นหนัง Rate-R แต่ไม่ว่าความท้าทายที่เข้ามาเป็นอะไร เขาก็พร้อมกระโจนใส่เสมอเช่นเดียวกับครั้งนี้ที่เขาก็ลองอะไรใหม่ ๆ อีกหนด้วยการก้าวขึ้นมาเป็นคนเขียนบทภาพยนตร์และแสดงเองในเรื่อง Honey Boy Honey Boy เรื่องราวว่าด้วยชีวิตจริงของชายที่ชื่อว่า Shia LaBeouf ตั้งแต่วัยเด็กก่อนก้าวเข้าสู่วงการฮอลลีวูด Jeffrey LaBeouf พ่อของเขาเป็นทหารอเมริกันที่ผ่านศึกสงครามเวียดนามผู้ตกงานนับครั้งไม่ถ้วน ขี้เมาและชอบทำร้ายร่างกายลูก แถมยังเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางอยู่บ่อยครั้ง ชีวิตวัยเด็กของ Shia LaBeouf จะต้องดำเนินไปตามความต้องการของพ่อ เติบโตมากับการเลี้ยงดูสไตล์ฮิปปี้ สิ่งที่พ่อต้องการจากตัวเขาคือความโด่งดัง ชื่อเสียงและเงินทอง โดยที่ไม่ถามว่าเด็กหนุ่มมีความฝันหรืออยากจะทำอะไร เมื่อพ่อขี้เมาพยายามทำตัวเป็นป๋าดันให้เด็กหนุ่มเข้าสู่วงการบันเทิง การต่อต้านของเขาจึงเผชิญผลลัพธ์สุดเจ็บปวด
The Man Who Fell To Earth คือหนัง Sci-Fi ปี 1976 ของผู้กำกับ Nicolas Roeg (คนเดียวกันกับที่กำกับ Castaway) สร้างโดยได้รับแรงบันดาลใจจากนิยายชื่อเดียวกันของนักเขียนนาม Walter Tevis บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวผู้เดินทางมาเยือนโลก โดยมีจุดประสงค์ในการนำทรัพยากรจากโลกกลับไปช่วยเหลือดวงดาวที่แสนแห้งแล้งของตัวเอง เมื่อเขาลงมาใช้ชีวิตปะปนกับชาวโลก เขาได้ตั้งชื่อตัวเองใหม่ว่า ‘Thomas Jerome Newton” (รับบทโดย David Bowie) เขาก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีผู้ร่ำรวย เขามีความสัมพันธ์แปลกประหลาดกับหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งนามว่า Mary-Lou (รับบทโดย Candy Clark) เพราะถึงแม้จะตกลงปลงใจอยู่กินเฉกเช่นคนรัก แต่คนดูหนังอย่างเราก็ไม่อาจตอบได้เต็มปากว่ามนุษย์ต่างดาวอย่างเขาหลงรัก Mary-Lou จริง ๆ หรือไม่ The Man Who Fell To Earth จัดว่าเป็นหนัง Sci-Fi อีกเรื่องที่ขึ้นชื่อว่า ‘แปลกประหลาด’ เข้าใจยาก ต้องอาศัยการตีความเยอะ แถมยังใช้วิธีการตัดต่อที่ซับซ้อน จะเรียกว่าเป็นหนังดูยากก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นหนังสุดคลาสสิกที่มี
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเน็ตฟลิกซ์พาเราไปขุดคุ้ยประวัติศาสตร์รัสเซียใน THE LAST CZARS มอบประสบการณ์เขย่าขวัญกระตุกต่อมหลอนใน TYPEWRITER และสานต่อเรื่องราววุ่นวายของเด็ก ๆ เมืองฮอว์กินส์ให้จบลงในซีรีส์ยอดนิยมอย่าง STRANGER THING 3 เดือนสิงหาคมนี้ UNLOCKMEN ก็ไม่พลาดที่จะพาหนุ่ม ๆ ไปอัปเดตคอนเทนต์มันส์ ๆ บนแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่กำลังดุเดือดที่สุดในตอนนี้ จะมีซีรีส์เรื่องใดที่ผู้ชายอย่างเราควรค่าแก่การเสียเวลายามค่ำคืนให้กับมัน ไปดูกันเลยครับ! WU ASSASSINS เมื่อชีวิตเรียบง่ายของเชฟหนุ่มแห่งซานฟรานซิสโกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขากลายเป็นผู้สืบทอดเจตจำนงของมือสังหารในยุคโบราณ และต้องเข้าร่วมต่อสู้เพื่อปกป้องโลกจากอำนาจมืด ความชั่วร้าย ตลอดจนกำจัดเหล่าทรชนที่ใช้พลังในทางที่ผิดให้สิ้นซาก WU ASSASSINS เป็นการผสมผสานระหว่างภาพยนตร์บันเทิงคดีวิทยาศาสตร์และศิลปะการต่อสู้แบบกังฟู ผูกโยงเรื่องด้วยความแข็งแกร่งและพลังของนักบวช 1,000 รูปที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเชฟหนุ่มคนนี้ แต่หนทางการต่อสู้ของเขานั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะศัตรูตัวฉกาจกลับเป็นคนใกล้ตัวที่คุ้นเคยอย่างดี ร่วมซึมซับศาสตร์แห่งกังฟูและการต่อสู้สุดระทึกไปพร้อมกัน 8 สิงหาคม 2019 BETTER THAN US ซีรีส์เรื่องนี้เล่าถึงอนาคตของกรุงมอสโกที่โลกเต็มไปด้วยความเจริญและมวลมนุษย์ต้องอยู่อาศัยร่วมกับหุ่นยนต์ เป็นการนำโลกปัจจุบันและโลกไซเบอร์พังก์ผนวกเข้าด้วยกัน แต่แล้วหุ่นยนต์สาวที่ขับเคลื่อนด้วยฮาร์ดแวร์ดันเข้ามามีบทบาทในครอบครัวที่กำลังร้าวฉาน ความโกลาหลและอันตรายจึงเริ่มคืบคลานเข้ามาในครอบครัวนี้โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว เนื่องจากหุ่นยนต์ตัวดังกล่าวเป็นที่ต้องการของบริษัทยักษ์ใหญ่ หน่วยสืบสวนคดีฆาตกรรม และกลุ่มผู้ก่อการร้ายในตลาดมืด แล้วชะตากรรมของครอบครัวนี้และหุ่นยนต์สาวอัจฉริยะจะเป็นอย่างไร รอติดตามได้ 16 สิงหาคม 2019