หลังจากที่เราทำเพลย์ลิสต์รวม 10 เพลงฮิตที่หนุ่ม ๆ คัฟเวอร์ศิลปินหญิงกันไปแล้ว (คลิก) ครั้งนี้เราจึงกลับมาทำตามสัญญาใจ จัดเพลย์ลิสต์คู่ตรงข้ามกันขึ้น ถึงเวลาที่จะมาฟัง 10 เพลงเพราะ ๆ ของศิลปินชายที่ถูกสาว ๆ เขานำมาคัฟเวอร์กันบ้างแล้ว จริงอยู่ว่าไม่มีอะไรจะคลาสสิกไปกว่าเวอร์ชันออริจินัล แต่บางครั้งการฟังเพลงเดิม ๆ ในเวอร์ชันที่ต่างออกไปก็ช่วยเติมเต็มหัวใจ สร้างบรรยากาศแห่งความรื่นรมย์ใหม่ ๆ เพื่อหนีความจำเจได้ไม่เลว Smells Like Teen Spirit – Tori Amos Original: Nirvana Tori Amos จัดว่าเป็นศิลปินหญิงที่เฟื่องฟูมาก ๆ ในยุค 90 ช่วงเวลาไล่เลี่ยกับวง Nirvana และ Kurt Cobain เวลาเปิด Smells Like Teen Spirit ฟัง แล้วโดนพ่อแม่พี่น้องหรือป้าข้างบ้านบ่นว่ารำคาญ ลองเปิดเป็นเวอร์ชันเปียโนนุ่ม ๆ ของสาวคนนี้แก้ขัดไปก่อน คุณเธอนำเพลงมาเรียบเรียงใหม่ชนิดที่ว่าไม่เหลือคราบความเกรี้ยวกราด แต่ฟังแล้วจิตใจอ่อนไหวจนน้ำตาจะไหลแทนได้ ลองเปิดใจแล้วฟังกันดู Half
เป็นธรรมเนียมของทุกปีที่ MusicRadar เว็บไซต์เพื่อคนทำเพลงจะเปิดให้ชาวเน็ตได้เข้ามาโหวตโพลต่าง ๆ ที่พวกเขาคิดหัวข้อขึ้นมา สำหรับปีนี้โพล ‘มือกลองเมทัลยอดเยี่ยมแห่งปี’ ก็ได้ผู้ชนะทั้ง 8 อันดับเป็นที่เรียบร้อย โดยความพีคของปีนี้คือผู้กลายเป็นมือวางอันดับ 1 ได้คะแนนสูงเกือบสองเท่าของผู้ถูกเสนอรายชื่อคนอื่น ๆ เลยทีเดียว! ว่าแต่เขาคนนั้นจะเป็นใคร วันนี้ UNLOCKMEN ขออนุญาตหยิบยกขึ้นมารายงานต่อให้คอเพลงได้ทราบโดยถ้วนทั่ว เราจะขออนุญาตเรียงลำดับจากอันดับ 8 ก่อนจะไปสิ้นสุดที่อันดับที่ 1 กันนะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เอ้า เริ่ม! 8. Jason Bittnet วง Overkill Jason Bittnet เพิ่งเข้าร่วมเป็นสมาชิกของวง Overkill เมื่อปี 2017 เท่านั้น แต่อัลบั้ม The Wings Of War ที่เพิ่งปล่อยออกมาปีนี้ ทำให้ความเทพของเขาเตะตาแฟนเพลงหลายคนจนเข้ามาติดโผของเว็บไซต์จนได้ ใครยังไม่เคยเห็นฝีไม้ลายมือตาคนนี้ก็ลองดูจากคลิปที่เราแนบไว้ด้านบนได้ครับ 7. Art Cruz วง Lamb of God Art
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ติดตามข่าวสารรอบโลกในช่วงนี้ เชื่อว่า ‘การประท้วงในฮ่องกง’ คือหนึ่งในเหตุการณ์ที่คุณกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด (คุณสามารถอ่านข้อมูลเรื่องนี้เต็ม ๆ ได้ที่นี่ คลิก ) ในหน้าประวัติศาสตร์แห่งวงการเพลง ที่ใดมีการประท้วงที่นั่นย่อมมีบทเพลงปลุกใจ เหล่าศิลปินผู้มีจุดยืนมักจะนำเรื่องราว ความคิด หรือทัศนคติของตัวเองที่มีต่อเหตุการณ์นั้น ๆ มาถ่ายทอดผ่านผลงานของตัวเอง และเมื่อวันเวลาล่วงเลยผ่าน การแสดงจุดยืนของพวกเขาในวันนั้น ล้วนเป็นมรดกที่ส่งต่ออิทธิพลทางความคิดบางอย่างสู่คนรุ่นหลังต่อไป ‘เพลงฮิปฮอป’ เรียกได้ว่าเป็นศิลปะและวัฒนธรรมแขนงหนึ่งที่อยู่คู่กับการประท้วงบนโลกนี้มาโดยตลอด เฉกเช่นที่บ้านเราเคยมีเพลง ‘ประเทศกูมี’ อันเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งบางเมื่อปีก่อน ชาวฮ่องกงก็มีศิลปินฮิปฮอปหลากหลายกลุ่มที่กำลังขับเคลื่อนสังคมในบ้านเกิดเมืองนอนตัวเองเช่นกัน ถึงแม้ศิลปินเมนสตรีมในฮ่องกงหลายคนจะแสดงตัวว่าอยู่ฝั่งเดียวกับรัฐบาล บ้างก็ไม่แม้แต่จะปริปากพูดเรื่องนี้ แต่ศิลปินนอกกระแสหลายคนก็กำลังเดินหน้าในการยืนหยัดจุดยืนของตน พวกเขามีความกล้าลุกขึ้นสร้างสรรค์บทเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประท้วงในครั้งนี้เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้คนในสังคม เพลงของพวกเขาถูกเผยแพร่จากใต้ดินขึ้นสู่บนดิน กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างในเวลาอันรวดเร็ว โดยที่ไม่มีองค์กรหรือหน่วยงานใดให้ความสนับสนุน Credit: Joseph Chan หนึ่งในเพลงที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้คือเพลงที่ชื่อว่า FUCKTHEPOPO ของศิลปินที่ชื่อ JB (屌狗) ซึ่งคำว่า POPO ในที่นี้ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหนแต่คือ Police หรือตำรวจนั่นเอง ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัย ฮิปฮอปกับตำรวจก็ดูจะเป็นสองสิ่งที่ไม่เคยลงรอยกัน โดยเพลงนี้ถูกปล่อยออกมาตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา และปัจจุบันยอดวิวใน Youtube พุ่งสูงถึง 1.8 ล้านกว่าวิวเป็นที่เรียบร้อย
“เราอาจเคยหลงใหลใช้เวลาร่วมกันชั่วขณะหนึ่ง แล้วเราก็พรากจากกัน พลัดหล่นหายไปในกาลเวลา” – โชติรส นาคสุทธิ์ ครั้งหนึ่งในชีวิตของทุกคนต้องเคยเอาตัวเองไปผูกไว้กับใครสักคนอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการผูกมัดที่เต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตามที เพราะความสัมพันธ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องใช้เวลาทำความรู้จักเพื่อเข้าใจกันและกัน ไม่ต่างจากศิลปะหรือแม้กระทั่งเซ็กซ์ระหว่างคนสองคน ต่างต้องใช้เวลาเพื่อคุ้นเคย ผูกพันเพื่อใกล้ชิด และคลายปมเชือกเพื่อจากลา เมื่อชีวิตความสัมพันธ์ของเราละม้ายคล้ายกับศิลปะที่ใช้เชือกพันธนาการร่างกายของมนุษย์อย่าง Shibari (ชิบาริ) จนบางครั้งแยกไม่ออก UNLOCKMEN จึงต้องการลงลึกสู่รายละเอียดทุกเรื่องที่สงสัย ดื่มด่ำกับทุกพันธนาการ จนให้กำเนิดอีเวนต์อาร์ต ๆ ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมค้นหากันว่าศิลปะ พันธนาการ ดนตรี และความสัมพันธ์ มันมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรในงาน SHIBARI WORKSHOP x GARAGE: “FREEDOM FROM BONDAGE อีเวนต์เดียวแต่กลับได้ร่วมวงสนทนากับ Unnamedminor หญิงสาวที่เชี่ยวชาญเรื่อง ‘การมัด’ สไตล์ชิบาริอย่างลึกซึ้ง และลูกแก้ว-โชติรส หญิงสาวผู้บอกเล่าความสัมพันธ์อันหลากหลายออกมาเป็นตัวอักษรและพึงพอใจกับ ‘อิสระ’ ในความสัมพันธ์ ทั้งคู่นั่งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างสถานการณ์ เพื่อค้นหาว่าการมัดกับอิสระจากความสัมพันธ์สามารถมาบรรจบกันได้หรือไม่ ก่อนสัมผัสกับบทสนทนาชวนให้คิดตามหรือดูการรัดรึงด้วยตาของตัวเอง แค่ก้าวเข้ามาภายในสตูดิโอเราจะเห็นโปสเตอร์ที่แปะเรียงราย ม่านสีแดง แสงไฟสลัว ควันจาง ๆ ดนตรีที่เปิดคลอ และเชือกกับห่วงที่ถูกห้อยไว้กลางห้อง โหมบรรยากาศรอบตัวให้น่าตื่นเต้นมากขึ้น ถ้อยคำเต็มไปด้วยความรู้สึกของลูกแก้วที่เอื้อนเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนไปจนถึงหลายคน
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ‘Rocketman’ หนังชีวประวัติศิลปินชื่อก้องโลก เอลตัน จอห์น (Elton John) ก็เพิ่งจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ไปหมาด ๆ ถึงแม้กระแสในไทยจะไม่ได้หวือหวาเท่า Bohemian Rhapsody หนังชีวประวัติวง Queen แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำรายได้สูงถึง 100 ล้านเหรียญ (ยอดจากตาราง Box Office ทั่วโลก) จากทุนสร้างเพียง 40 ล้าน เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จไปอย่างงดงาม นอกจากตัวภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวเส้นทางชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตก่อนจะมาเป็นท่านเซอร์เอลตัน จอห์นผู้ประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญเลยที่ทำให้หนังเรื่องนี้ทรงคุณค่าและให้แง่คิดมากมายคือความกล้านำเสนอด้านมืดของศิลปินมากความสามารถท่านนี้ เรียกได้ว่าเผยหมดเปลือกทั้งปัญหายาเสพติด ติดเซ็กซ์ และเสพติดการชอปปิงของเขา อย่างที่ทราบกันว่าภายหลังท่านเซอร์เอลตันได้เข้ารับการบำบัดและไม่ข้องเกี่ยวกับยาเสพติดมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่ไอ้เรื่องเหล้ายาปลาปิ้งนี้จัดว่าเป็นของคู่กันกับบรรดาศิลปินชื่อดังยุค 70 เลยก็ว่าได้ ท่านเซอร์เอลตันจึงมักจะออกมาเล่าประสบการณ์แย่ ๆ สมัยที่แกเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเพราะยาเสพติดให้เด็กรุ่นหลังได้ฟังเป็นอุทาหรณ์เสมอและเรื่องที่เรากำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ก็เป็นหนึ่งในวีรกรรมของแกเช่นกัน (แต่อาจจะไม่ได้คอขาดบาดตายถึงขนาดนั้นนะครับ) เอลตัน จอห์นได้ออกมาเผยผ่านหนังสือ Me: Elton John อัตชีวประวัติอย่างเป็นทางการของตัวเขาเองว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นมหาบุรุษแห่งดนตรีโฟล์กอย่าง บ็อบ ดีแลน เป็นคนสวน! ซึ่งความพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้มียาเสพติดเป็นเหตุ และท่านเซอร์ก็ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เอาไว้ดังนี้ “ช่วงปลายยุค 80 ผมเคยจัดปาร์ตี้สุดเหวี่ยงใน LA ผมเชิญทุกคนที่รู้จักมาร่วมงาน
วงการเพลงเปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ ปี แต่กว่าจะเห็น ‘การเปลี่ยนแปลง’ ที่ว่าออกมาเป็นรูปเป็นร่างก็มักจะผ่านไปแล้ว 10 ปีให้หลัง สำหรับปี 2019 นี้ เพลงใดก็ตามที่ถูกปล่อยเมื่อปี 2009 จะมีอายุครบสิบปีพอดิบพอดี พูดแบบนี้ฟังดูราวกับผ่านมาเนิ่นนาน แต่อันที่จริงถ้านั่งย้อนฟังดี ๆ หลายเพลงที่คุณชอบในวันนั้นกลับยังวนฟังได้ไม่เก่า เหมือนถูกปล่อยออกมาเมื่อไม่นานนี้เอง WEEKLY PLAYLIST สัปดาห์นี้ต่อเนื่องมาจากบทความ “BACK TO 2009″ เปิดกรุเพลงฮิตเมื่อ 10 ปีก่อน” ที่เราได้พูดถึงอัลบั้มในความทรงจำกันไป ครั้งนี้เราเลยจะมาชวนคุณเจาะเวลาหาอดีต ย้อนวันวาน ทบทวนความทรงจำกันแบบเพลงต่อเพลง เชื่อว่าต้องมีผลงานศิลปินคนโปรดคุณติดบ้าง อย่างน้อยก็สักเพลงหนึ่ง! Right Round – Flo Rida ปี 2009 เป็นยุคที่ยังไม่มี EDM ในผับ! ส่วนมากจะเปิดเป็นเพลงฮิปฮอปผสมอิเล็กทรอนิกส์เสียส่วนมาก ทำให้ Flo Rida กลายเป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในการเปิดในผับ ใครเพิ่งเริ่มเที่ยวยุคนั้นคงจะคิดถึงเพลงสไตล์นี้ไม่น้อย (เราก็คิดถึง) Hotel Room Service –
เมื่อสิบปีที่แล้วคุณเป็นอย่างไร ? ยังจำได้ไหมว่าตัวคุณในตอนนั้นชอบทำอะไรหรือกำลังอินกับอะไรอยู่ เผลอแป๊บเดียว เพลงที่คุณชอบฟัง หนังที่คุณชอบดูในช่วงเวลานั้นก็มีอายุครบสิบปีบริบูรณ์แล้วในปีนี้ และถ้าหากคุณมีความรักมั่นให้มันตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ คุณก็สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ‘ชอบมานานเป็นทศวรรษแล้ว’ นอกจากนั้น รู้หรือไม่ว่า Facebook ได้ขึ้นแท่นเป็น ‘บริการเครือข่ายสังคมที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก’ เป็นครั้งแรกในปี 2009 อีกด้วย ไม่แน่นะครับ เพลงฮิตในช่วงนั้นอาจจะเป็นเพลงแรก ๆ ที่คุณแชร์ลง Facebook ก็ได้! UNLOCKMEN จะพาคอเพลงไปย้อนดูสิบอัลบั้มเด็ดที่ถูกปล่อยออกมาในปีนั้น บ้างกลายเป็นอัลบั้มระดับตำนาน บ้างก็กลายเป็นอัลบั้มในดวงใจใครหลายคนจนถึงปัจจุบัน โดยเราจะขออนุญาตหยิบยกมาแค่ 10 อัลบั้มคร่าว ๆ เพราะไม่งั้นคงต้องเขียนบทความนี้ยาวไปถึงปลายปีเป็นแน่ ว่าแต่จะมีอัลบั้มไหนบ้าง มาดูกันเลย The Blueprint 3 By Jay-Z Date: 8 September 2009 คนที่ไม่ได้ติดตามแรปเปอร์ตัวเทพอย่าง Jay-Z หรือสนใจในเพลงฮิปฮอปเป็นพิเศษ คงจะงง ๆ ว่าอัลบั้ม The Blueprint หมายเลข 3 นี้มันสลักสำคัญมากขนาดไหน เหตุใดเราจึงหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอันดับแรก
ในชีวิตอันแสนสั้นของมนุษย์ บางช่วงเวลาก็ดูยาวนานราวไม่มีสิ้นสุด ความรู้สึกเหล่านี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณกำลัง ‘รอคอย‘ อะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็น รอรถ รอเรือ รออาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ รอเวลากลับบ้าน หรือรอใครสักคนโทรมา แต่จุดสูงสุดของความทรมานคงหนีไม่พ้น “รอเธอ” พูดแล้วก็หน่วงนะครับ ไม่ว่าคุณจะรอเธอเนื่องในโอกาสอะไร รอรัก หรือรอเลิก วันนี้ WEEKLY PLAYLIST กลับมาอีกครั้ง พร้อมคัดสรรเพลงเพราะโดนใจสำหรับคนรอเก่งทั้งไทยและเทศมาไว้ที่นี่แล้ว จะมีเพลงอะไรบ้าง มาดูกัน! The Man Who Can’t Be Moved – The Script เริ่มต้นกันด้วยเพลงชาติคนรออย่าง The Man Who Can’t Be Moved จาก The Script เรื่องราวของชายที่บังเอิญตกหลุมรักหญิงสาวผู้หนึ่งโดยบังเอิญ เขาจึงตัดสินใจยืนอยู่ตรงนั้น ตรงที่เขาได้พบกับเธอ ที่เดิมไม่ไปไหน! เผื่อคนทั้งโลกจะให้ความสนใจและเห็นใจ เอาไปพูดปากต่อปากจนโด่งดังไปทั่วโลก เผื่อเธอคนนั้นจะย้อนกลับมาหาในวันใดวันหนึ่ง ฟังดูเวอร์ใช่ไหมครับ? อันที่จริงเพลงนี้เปรียบเปรยถึงเวลาที่เราเจอใครสักคนที่ถูกใจ หัวใจเราจะเหมือนหยุดอยู่ ณ ช่วงเวลานั้นตลอดไป
เรากำลังเข้าสู่ยุคสมัยที่เทศกาลดนตรีต่างผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทั้งในไทยเองก็ดี ประเทศข้างเคียงก็ดี คอเพลงอย่างเรา ๆ ถ้ามีกำลังทรัพย์มากพอก็นับว่ามีตัวเลือกที่เยอะขึ้น ตอบโจทย์ได้มากขึ้น เพราะบางครั้งการดูให้ครบจำนวนวงที่ชอบ อาจทำให้เสียทั้งเงินและเวลา ในขณะที่การไปงานเทศกาลดนตรีสักแห่ง แม้บัตรจะราคาสูงกว่าก็นับว่าคุ้มค่า เพราะสามารถเก็บแต้มดูได้หลายวงในคราวเดียว แน่นอนว่างานใหญ่ ๆ จัดยาว ๆ ที่มาพร้อมผู้ร่วมงานจำนวนมหาศาล ย่อมเป็นแหล่งรวมความวุ่นวายหลายสิ่งไว้ในสถานที่เดียว รายละเอียดยิบย่อยของมันจึงเพิ่มขึ้นอีกระดับ เหนือกว่าคอนเสิร์ตทั่ว ๆ ไปที่จัดคืนเดียวจบ ยิ่งคนที่ลงทุนแบกกระเป๋าไปกางเต็นท์นอนค้างอ้างแรมถึงต่างแดน ยิ่งต้องเตรียมความพร้อมมากเป็นพิเศษ มิฉะนั้นจากความสนุกที่ควรได้รับ อาจกลายเป็นประสบการณ์สุดเฟลครั้งใหญ่! แน่นอนว่าทางลัดที่ดีที่สุดในการเตรียมตัวไปมันส์กับเทศกาลดนตรีที่ต่างแดน (หรือจะในไทยก็ได้) ไม่ใช่การร่ำเรียนจากตำรา แต่เป็นการ ‘สอบถาม’ ผู้ที่เคยไปงานเหล่านั้นและผ่านประสบการณ์จริงมาก่อนเราแล้วนั่นเอง สำหรับมือใหม่ไร้ชั่วโมงบิน วันนี้ UNLOCKMEN ได้หยิบยกคำแนะนำดี ๆ จากเหล่ามนุษย์คอนเสิร์ตหลายชีวิตที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวในเทศกาลดนตรีต่างแดน ทั้งที่ไปกับกลุ่มเพื่อนก็ดี ไปคนเดียวก็ได้ ว่ามีอะไรบ้างที่เขาอยากจะแนะนำนักผจญคอนฯ หน้าใหม่ ๆ กันบ้าง ? แน่นอนว่าเพียบ ในระดับร่ายยาวเป็นห่างว่าว! เราจึงคัดสรรสิ่งที่เป็นประโยชน์คร่าว ๆ มาให้ทุกคนได้รู้ไว้ใช่ว่า จะมีอะไรบ้าง มาดู! 1. ติดตามแฟนเพจที่อัปเดตข่าวสาร ฟังดูอาจจะรู้สึกว่า
ค่ำคืนหนึ่งในเยอรมนีที่เงียบสงบดูเหมือนว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีเหมือนทุกวัน แต่แล้วเมื่อรุ่งเช้าชาวเมืองตื่นขึ้นมาพบกับกำแพงลวดหนามที่ฉีกประเทศให้แยกออกจากกัน เพียงข้ามคืนการเดินทางอย่างอิสระไปทั่วประเทศถูกปิดกั้นเพราะอุดมการณ์ที่แตกต่างช่วงสงครามเย็น UNLOCKMEN อยากพาทุกคนย้อนเวลากลับไปยังยุคสมัยแห่งความตึงเครียดอย่างสงครามเย็นที่ทำให้เยอรมนีแตกออกเป็นสองฝั่ง แต่ใต้ความเครียดอันกดดันแสนหดหู่ก็ยังมีเรื่องเท่ ๆ เกิดขึ้นฝั่งเยอรมนีตะวันออก เมื่อเหล่าปัญญาชนและผู้คิดนอกกรอบจะไม่ยอมอยู่ภายใต้เผด็จการอีกต่อไป การต่อต้านของเหล่าขบถมีหลายแบบ แต่สิ่งที่รวมคนหลากกลุ่มในเยอรมนีทั้งเด็กนักเรียน เด็กเกเร คนทำงานที่ไม่ชื่นชอบระบอบการปกครองที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่คือเสียงดนตรีและวงดนตรีที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์อย่างพังก์ (Punk) เมื่อพังก์กลายเป็นสัญลักษณ์ของเหล่าขบถ กำแพงลวดหนามถูกเปลี่ยนเป็นกำแพงใหญ่คล้ายม่านเหล็ก ระเบิดจำนวนมากถูกวางไว้นอกเขตพร้อมกับการคุ้มกันหนาแน่น มีหอสังเกตการณ์ของพลซุ่มยิง เพื่อให้แน่ใจว่าคนทั้งสองฝั่งไม่เล็ดลอดสายตาแอบไปมาหาสู่กันโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนีตะวันออกอย่างเลี่ยงไม่ได้ต้องการชีวิตเสรีภาพดั่งเคยมีมาตลอด หลาย ๆ คนออกมาแสดงความคิดเห็น ออกมาชุมนุมกันเพื่อเรียกร้องขอเสรีภาพแต่ก็ต้องล้มเหลวไปทุกครั้งเพราะผู้มีอำนาจทำเป็นมองไม่เห็นเสียงเหล่านี้ เมื่อพูดคุยกันอย่างปัญญาชนไม่สำเร็จ พวกคนที่พยายามเรียกร้องจากการชุมนุมประท้วงก็ยังคงเดินหน้ากันต่อ แต่บางคนมองว่าสุดท้ายคนเบื้องบนก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อไปอยู่ดี พวกเขาจึงหันเดินลงสู่ใต้ดินและทำอะไรนอกกรอบกันบ้าง วัยรุ่นหลายคนที่ชำนาญการช่างหันมาแต่งรถซิ่งสร้างแก๊งเพื่อขับรถก่อกวนเจ้าหน้าที่ทั่วเมือง เหล่าศิลปินที่ไม่สามารถเข้าไปแสดงดนตรีได้ดังเดิมหันมาจัดงานคอนเสิร์ตผิดกฎหมายผ่านการชักชวนกันแบบปากต่อปาก บางครั้งจัดคอนเสิร์ตเถื่อนในโบสถ์ บ้างก็เปลี่ยนไปจัดในชั้นใต้ดินของร้านเล็ก ๆ ตามตรอกที่ไม่มีใครสนใจ และไม่ลืมถ่ายวิดีโอเก็บไว้และส่งเทปบันทึกภาพเหล่านั้นให้คนในเยอรมนีตะวันออกที่ไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ต การกระทำนอกกรอบของกลุ่มต่อต้านสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนห่อเหี่ยวหลังม่านเหล็กได้อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อความห่ามอันบ้าคลั่งของเหล่าวัยรุ่นและนักดนตรีรู้ไปถึงหูของผู้มีอำนาจ สิ่งที่ตามมาคือกฎระเบียบเข้มงวดขึ้นกว่าเดิม กลุ่มเครือข่ายดนตรีพังก์ใต้ดินของเยอรมนีตะวันออกถูกจับตามองโดยรัฐบาลเผด็จการ แม้จะมีศิลปินตั้งหลายแนวที่แอบจัดคอนเสิร์ตผิดกฎหมายแต่ทำไมวงพังก์ถึงถูกจับตามองเป็นพิเศษ ? นั่นเป็นเพราะวงดนตรีพังก์เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์อันแตกต่าง การแต่งตัวจัดจ้าน บุคลิกพร้อมเผชิญหน้า รวมถึงบทเพลงเต็มไปด้วยอารมณ์ ความหมายของเนื้อเพลงที่บอกเล่ารุนแรง ส่วนพังก์จากเกาะอังกฤษมีเนื้อเพลงที่ว่าด้วยอนาคต สังคมและเศรษฐกิจที่พร้อมก้าวไปข้างหน้า แต่ปัญหาที่ผู้คนในเยอรมนีตะวันออกกำลังเผชิญมันตรงกันข้ามกับบทเพลงพังก์แบบอังกฤษอย่างสิ้นเชิง พวกเขาตกงาน ถูกกดขี่ ไม่มีเวลามานั่งนึกถึงอนาคตสว่างไสวอันแสนไกลเหมือนคนอังกฤษ สิ่งเหล่านี้หลอมรวมให้วงพังก์ในเยอรมนีตะวันออกมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากกว่าที่ไหน ๆ ด้วยความร้อนแรงแบบนี้จึงไม่แปลกที่ผู้มีอำนาจมองว่า
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่เคยต้องเลือก ระหว่างสิ่งที่ทำได้กับสิ่งที่ใจรัก และเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ระหว่างการเดินไปเรื่อย ๆ บนพื้นราบที่ไร้อุปสรรคกีดขวาง กับการยอมเดินลงบนเส้นทางที่ขรุขระแต่มีจุดหมายปลายทางที่ใฝ่ฝัน คุณจะเลือกเส้นทางไหน ? แม้ว่าคุณจะได้รับค่าตอบแทนที่ดี มีอาชีพที่มั่นคง แต่หลายครั้งเบื้องลึกในจิตใจก็คอยพร่ำกระซิบให้คุณไขว่คว้า ‘อะไรบางอย่าง’ แม้จะต้องแลกกับทุกสิ่งในชีวิต ‘เล็ก อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร’ หรือที่เรารู้จักเขาในชื่อ ‘เล็ก Greasy Cafe’ เคยผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นเช่นกัน จากอดีตช่างภาพอนาคตไกล ผู้ได้รับการยอมรับในวงการ สู่การเริ่มต้นใหม่อีกครั้งจากศูนย์ในฐานะศิลปิน อะไรที่ทำให้เขาตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่งที่เคยสร้าง UNLOCKMEN ขอยกเรื่องเล่าจากปากของเขาในงาน ZERO TO HERO TALK AND CONCERT: “The Art of Giving Up” วงสนทนาที่ไม่ได้ว่าด้วยความสำเร็จ มาให้ทุกคนได้ฟังอีกครั้งในวันนี้ ก่อนหน้านี้คุณเคยมีอาชีพที่มั่นคงอยู่แล้ว อะไรที่ทำให้ตัดสินใจมาเริ่มต้นใหม่จาก ‘ศูนย์’ ในวงการดนตรี? จริง ๆ มันเป็นเรื่องของโอกาสด้วยครับ เผอิญว่า ‘คุณรุ่ง สมอลล์รูม’ เขารู้จักกับเราอยู่แล้ว แล้วเขาก็รู้ว่าเราทำเพลง แม้ตอนนั้นจะไม่ได้ทำเป็นชิ้นเป็นอัน รุ่งเขามาบอกว่ากำลังจะเปิดค่ายเพลง
“วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง” วันลอยกระทงกำลังจะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง! ถึงเทรนด์รักษ์โลกจะมาแรงจนหลายคนลังเลว่าจะลอยหรือไม่ลอยดี เพราะไม่อยากสร้างความสกปรกให้น่านน้ำและทรัพยากรธรรมชาติ แต่ในช่วงเวลาพิเศษแบบนี้ ไม่ว่าจะอากาศสบาย ๆ ก็ดี ลมเย็น ๆ ก็ดี ไหนจะพระจันทร์ดวงโตแบบหนึ่งปีมีครั้ง การดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ ซึมซับกลิ่นอายแห่งความรื่นรมย์ก็เป็นอะไรที่ปฏิเสธไม่ลงจริง ๆ วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN จึงร่วมมือกันสร้างเพลย์ลิสต์แบบจัดหนักจัดเต็มสำหรับคนอยากอินเทศกาล เราจะมาแนะนำเพลงเกี่ยวกับ ‘พระจันทร์’ ทั้งไทยและสากล ให้เอาไปเปิดฟังเพลงชมจันทร์กันเพลิน ๆ ในวันลอยกระทงที่จะถึงนี้ จะมีเพลงอะไรบ้าง เรามาดูกัน เพลงสากล 1. Pink Moon – Nick Drake อันที่จริงเพลงนี้ซ่อนความหมายเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตของ Nick Drake ผู้แต่งเพลงนี้เอาไว้ แต่ความเบาสบายของดนตรี และท่อนฮุคติดหูร้องตามง่าย “Pink Moon” จึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับการเปิดคลอเอาไว้ยามดวงจันทร์สุกสว่างสดใสกว่าทุกคืน 2. Harvest Moon – Neil Young หากจะเอ่ยถึงเพลงที่เกี่ยวกับการเต้นรำใต้แสงจันทร์ ไม่มีอะไรจะโรแมนติกไปกว่า Harvest Moon ของ Neil